เว็บไซต์นี้ใช้คุ้กกี้เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีมีประสิทธิภาพยิ่งขี้น อ่านเพิ่มเติมคลิก (Privacy Policy) และ (Cookies Policy)
bg-single

จับท่าที ผบ.เหล่าทัพ กลางศึกเขมร เงียบ แต่เด็ดขาด จับตา 3 ขุนพลอีสาน ชิงแม่ทัพภาค 2 ต้อง เปลี่ยนม้า กลางศึก

06.06.2025

รายงานพิเศษ

 

จับท่าที ผบ.เหล่าทัพ กลางศึกเขมร

เงียบ แต่เด็ดขาด

จับตา 3 ขุนพลอีสาน ชิงแม่ทัพภาค 2

ต้อง เปลี่ยนม้า กลางศึก

 

ท่าทีของผู้นำกองทัพกำลังเป็นที่จับตามองในสถานการณ์ตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชาหลังเกิดเหตุปะทะกันที่ช่องบก และลามจนกลายเป็นความขัดแย้ง ถึงขั้นจะลากไทยไปฟ้องศาลโลก

จะเห็นได้ว่า ฝ่ายผู้บัญชาการเหล่าทัพดูเงียบเชียบ หลีกเลี่ยงที่จะให้สัมภาษณ์ หรือแสดงออกใดๆ เนื่องจากในระดับนโยบายตั้งแต่นายกรัฐมนตรี ลงมาถึงนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงและ รมว.กลาโหม ต้องการให้ฝ่ายความมั่นคงระมัดระวังในการแสดงออก และไม่ทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งเลวร้ายไปมากกว่านี้

แม้ว่าฝ่ายความมั่นคงจะเห็นพ้องกันว่ามาตรการกดดันกัมพูชาที่ได้ผลมากที่สุด และนุ่มนวลที่สุดคือ การปิดด่านชายแดนและจุดผ่อนปรนต่างๆ

แต่ทว่า ฝ่ายรัฐบาลและนายภูมิธรรมไม่เห็นด้วยเพราะเกรงจะทำให้การเจรจาไม่ประสบผลสำเร็จ

พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์

ทั้งนี้ ฝ่ายกองทัพเสนอให้ปิดด่านชายแดนแค่บางจุดที่เป็นจุดสำคัญ เพื่อเพิ่มแรงกดดันภายในกัมพูชาก็ตาม แต่ก็เป็นแผนที่ถูกพักเอาไว้เสียก่อน

มีรายงานว่าฝ่ายความมั่นคงมีแผนที่จะกดดันกัมพูชาด้วยการปิดด่านทั้งในพื้นที่ปัญหา และด่านสำคัญ เช่น คลองลึก-ปอยเปต จ.สระแก้ว ที่ถือเป็นตลาดการค้าใหญ่ของกัมพูชา และเป็นพื้นที่ที่มีกาสิโน รองรับคนไทยมีผลประโยชน์สูง

อีกทั้งเป็นที่ตั้งของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นแหล่งทุนสำคัญของบางฝ่ายในกัมพูชาเพราะมีการตั้งข้อสังเกตว่าสถานการณ์ชายแดนด้านนี้รุนแรงขึ้น เข้มข้นขึ้นหลังจากที่ฝ่ายกองทัพไทยมุ่งที่จะไปปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ปอยเปต ซึ่งมีกระแสข่าวว่าเป็นแหล่งผลประโยชน์ของคนมีสีในกัมพูชาที่เป็นสายตรงของผู้มีอำนาจในกัมพูชา

ดังนั้น เมื่อมาตรการปิดด่านทำไม่ได้กองทัพจึงต้องหาทางอื่น บิ๊กปู พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ในฐานะผู้บัญชาการทหารบก จึงเป็นกำลังหลักในการรับมือสถานการณ์นี้

โดยหลังจากที่ถูกมองว่าการเจรจากับ พล.อ.เมาโซะพัน ผู้บัญชาการทหารบกกัมพูชา เมื่อ 29 พฤษภาคม 2568 ที่ช่องจอมสุรินทร์ ที่ฝ่ายไทยเสียเปรียบฝ่ายกัมพูชา ที่ไม่ยอมถอยออกจากพื้นที่ของประเทศไทยในแนวต้นพญาสัตบรรณ ที่ล้ำเข้ามา 150 เมตร

อีกทั้งยังออกแถลงการณ์ ที่ไม่เป็นไปตามข้อตกลงพร้อมทั้งทำหนังสือประท้วงผ่านกระทรวงการต่างประเทศกดดันให้ไทยสอบสวนคนที่ยิงทหารกัมพูชาเสียชีวิตและลงโทษคนที่สั่งการ

ส่งผลให้ พล.อ.พนาอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดเอง

พล.ท.บุญสิน พาดกลาง

จะเห็นได้ว่าหนทางหนึ่งของฝ่ายกองทัพที่จะกดดันกัมพูชาคือการแสดงกำลังหรือ Show of Force พล.อ.พนาจึงสั่งให้หน่วยคุมกำลังระดับกองพล ในกองทัพภาค 1 และหน่วยขึ้นตรง ทบ. แสดงความพร้อมรบ โดยมี D-Day ในวันสำคัญ 3 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา

โดยแม่ทัพใหญ่ พล.ท.อมฤต บุญสุยา แม่ทัพภาค 1 และ ผบ.ฉก.ทม.รอ.904 ตระเวนตรวจความพร้อมรบ ด้วยการนำอาวุธยุทโธปกรณ์ รถถัง รถเกราะ รถสายพานลำเลียงพลและกำลังพล ออกมาโชว์ความพร้อม ทั้งกองพลทหารราบที่ 9 (พล.ร.9) กองพลเสือดำ กองกำลังสุรสีห์ กาญจนบุรี และกองพลสไตรก์เกอร์ กองพลทหารราบที่ 11 (พล.ร.11) ชลบุรี และทหารม้าคอแดง กรมทหารม้าที่ 4 รักษาพระองค์ (ม.4 รอ.) กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2 รอ.) ที่สระบุรี ก่อนหน้านั้น กองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ร.2 รอ.) กองพลบูรพาพยัคฆ์

ในวันเดียวกัน กองพลทหารปืนใหญ่ ลพบุรี และหน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศ (นปอ.) ทุ่งสีกัน ก็มีการแสดงความพร้อมรบ เพื่อเป็นการส่งสัญญาณไปถึงกัมพูชา ก็ว่าได้

ขณะที่มีรายงานว่าในหมู่ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ทั้ง ผบ.อ๊อบ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้มีการหารือกับ พล.อ.พนา ผบ.ทบ. ในการสนับสนุนเครื่องมือยุทโธปกรณ์ ด้านการข่าว และแผนที่ ภาพถ่ายต่างๆ

และ บิ๊กไก่ พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผบ.ทอ. ในการวางแผนเตรียมการรับมือสถานการณ์ในแต่ละระดับอย่างรอบคอบ แม้ว่าสถานการณ์อาจจะไม่ไปถึงการสู้รบขนาดใหญ่ ที่จะสามารถใช้กำลังทางอากาศหรือเครื่องบินรบเข้าปฏิบัติการได้ แต่กองทัพอากาศก็สนับสนุนยุทโธปกรณ์ที่จำเป็นให้กับกองกำลังสุรนารี ของกองทัพภาค 2 ทบ.

ในส่วนของกองทัพเรือ ที่บิ๊กแมว พล.ร.อ.จิรพล ว่องวิทย์ ผบ.ทร. ก็เตรียมความพร้อมทั้งในส่วนของกองกำลังป้องกันชายแดนจันทบุรี-ตราด โดยกำลังของหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ที่ดูแลชายแดนด้านตะวันออกไปจนถึงหลักเขตที่ 73 หลักเขตสุดท้ายก่อนลงทะเล

และในส่วนของกองเรือยุทธการ ที่เตรียมกำลังรบทางเรือในการดูแลน่านน้ำ อธิปไตยทางทะเล หากเกิดการสู้รบขึ้น ก็อาจจะได้รับผลกระทบตลอดแนวชายแดน

พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล

ผบ.เหล่าทัพมีความระมัดระวังอย่างมากในการที่จะแสดงความคิดเห็นผ่านสื่อ หรือแม้แต่การประชุมวงต่างๆ เพราะอาจจะมีผลกระทบต่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

เนื่องจากเห็นว่าในเวลานี้มีความขัดแย้งภายในประเทศสูง ที่เป็นผลจากการเมือง ที่นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร และนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีความสนิทสนมใกล้ชิดกับครอบครัวตระกูลฮุน ทั้งสมเด็จฮุน เซน และ พล.อ.ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรี

อนึ่ง เวลานี้สถานการณ์ยังคงอยู่ในความรับผิดชอบในส่วนของกองทัพภาค 2 และกองทัพบก ยังไม่ถึงขั้นที่จะใช้กำลังของทั้ง 3 เหล่าทัพ จึงทำให้ พล.อ.ทรงวิทย์ทำหน้าที่เพียงผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลังอย่างเงียบๆ แต่มีการประชุม ติดตามสถานการณ์ และร่วมหาทางแก้ปัญหามาตลอด และนายภูมิธรรมเองก็ได้มีการหารือ พูดคุยกับผู้บัญชาการเหล่าทัพทุกวัน

ด้วยเป็นเรื่องระหว่างประเทศ ที่มีความเปราะบาง อีกทั้งผู้นำกัมพูชามีความสนิทสนมใกล้ชิดกับผู้นำรัฐบาลไทย จึงทำให้ฝ่ายทหารโดยเฉพาะระดับผู้บัญชาการเหล่าทัพหลีกเลี่ยงที่จะให้สัมภาษณ์ เพราะหากพูดไปอาจจะกระทบความสัมพันธ์ และอาจทำให้สถานการณ์รุนแรงขึ้น ซึ่งจะสวนทางกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการใช้สันติวิธีและการเจรจา

ที่ผ่านมาจึงมีเพียง พล.อ.อ.พันธ์ภักดีเท่านั้น ที่ให้สัมภาษณ์เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับพี่น้องประชาชนในการทำหน้าที่ของกองทัพอากาศในการดูแลความปลอดภัยในทางอากาศแก่พี่น้องประชาชน

“เราก็มีการเตรียมการ แต่ไม่ต้องตื่นตระหนกอะไร ขอให้เชื่อมั่นการเตรียมการของกองทัพ เราไม่ได้อยู่เฉยๆ” ผบ.ทอ.กล่าว

ขณะที่มีรายงานว่า พล.อ.ทรงวิทย์ได้กล่าวกับนายทหารที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาว่า

“ถึงเวลาที่จะต้องเอาความเป็นนักรบของเราออกมา คิดหาทางแก้ปัญหา ในการปกป้องแผ่นดินและปกป้องประเทศของเรา”

พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี

สถานการณ์ระหว่างไทย-กัมพูชาคงไม่จบง่ายๆ ภายในเวลากว่า 3 เดือนที่เหลือ เพราะผู้บัญชาการเหล่าทัพส่วนใหญ่ก็จะเกษียณราชการ 30 กันยายน 2568 นี้กันแล้ว ทั้ง พล.อ.ทรงวิทย์ พล.ร.อ.จิรพล พล.อ.อ.พันธ์ภักดี คงมีเพียง พล.อ.พนา ที่มีอายุราชการถึงตุลาคม 2570 ที่จะรับหน้าที่ในการดูแลสถานการณ์ต่อไป และรอผู้บัญชาการเหล่าทัพชุดใหม่มารับไม้ต่อ

แต่ที่ถูกจับตามองมากที่สุดคือ แม่ทัพกุ้ง พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาค 2 ที่ได้กลายเป็นขวัญใจประชาชนไปแล้วในฐานะแม่ทัพผู้นำสู้ศึกกับทหารกัมพูชา ที่กำลังจะเกษียณ 30 กันยายนนี้เหลือเวลาอีกประมาณ 3 เดือนที่จะทิ้งทวน ในการแก้ปัญหาว่าจะสามารถทำให้จบในยุคนี้ได้หรือไม่ และต้องส่งไม้ต่อให้กับแม่ทัพภาค 2 คนต่อไป

พลตรี วีระยุทธ รักศิลป์

โดยมี 3 แคนดิเดต ทั้ง “รองเติ่ง” พล.ต.วีระยุทธ รักศิลป์ รองแม่ทัพภาค 2 เพื่อน ตท.26 ของ พล.ท.บุญสิน และเป็นเพื่อนของ พล.อ.พนา ผบ.ทบ. ที่ได้ชื่อว่าเป็นเต็งหนึ่ง เพราะเติบโตจากอีสานใต้ และเคยผ่านตำแหน่งหลักในสายกำลังรบ มาจนเป็น ผบ. พล.ร.6 และ ผบ.กกล.สุรนารี มีประสบการณ์ในพื้นที่อีสานใต้ และร่วมรบในศึกเขาพระวิหาร ปี 2554 และได้รับมอบหมายให้คุมงานสำคัญในพื้นที่ มาตลอด

พลตรี นรธิป โพยนอก

แต่ในหมู่เตรียมทหาร 26 ก็ยังจับตามอง รองยูร พล.ต.นรธิป โพยนอก รองแม่ทัพภาค 2 เพื่อน ตท.26 ที่ก็มีโอกาส เพราะก็เป็นนักรบอีสานใต้และเติบโตมาจากหลายหน่วย

พล.ต.นรธิปจบมาก็ลงหน่วยอีสาน เป็นผู้หมวด และผู้กอง, ฝอ.3 ที่ ร.23 พัน.3 จ.สุรินทร์ จนเป็นผู้พัน ผบ.พัน.ร. มทบ.21

พลตรี ณัฏฐ์ ศรีอินทร์

ไม่แค่นั้น ในภาคสนาม ก็มาอยู่อีสานใต้เนื่องจากเป็น ทส.ผบ.กกล.สุรนารี ก่อนมาเป็น ผบ.หน่วยรบ เป็น ผบ.กกล.ทหารพราน ส่วนแยก 15 (โครงการฯ 838 ค่ายปักธงชัย) และเป็นนายทหารฝ่าย เสธ.กกล.สุรนารี อีกหลายปี จนเป็น เสธ.กกล.สุรนารี และเป็น ผบ.คุมกำลัง เป็น ผบ.ร.23 และ ผบ.ฉก.2 ปี อีกด้วย ก่อนมาเป็น เสธ.ทภ.2 และเป็น ผบ.พล.ร.3 และ ผบ.กกล.สุรศักดิ์มนตรี คุมอีสานเหนือ โดยใน ตท.26 วิจารณ์กันว่า อย่ามองข้าม พล.ต.นรธิป

ส่วนแคนดิเดตอีกคน คือ รองณัฏฐ์ พล.ต.ณัฏฐ์ ศรีอินทร์ รองแม่ทัพภาค 2 ที่เติบโตจากอีสานใต้ และผ่านมาทุกตำแหน่งในสายบู๊ คุมกำลัง ทั้งผู้การทหารพราน นักรบชุดดำ และทหารลาย จนเป็น ผบ.พล.ร.6 และ ผบ.กกล.สุรนารี

เป็นนายทหารนักรบอีสานใต้ ผ่านมาหลายสมรภูมิสำคัญ สู้กับทหารเขมร เพื่อรักษาแผ่นดินไทยมาหลายพื้นที่ และรับหน้าที่เต็มๆ ในศึกเขาพระวิหาร ปี 2554 จนเป็นที่ครั่นคร้าม น่าเกรงขามของทหารกัมพูชา ที่เรียกชื่อติดปากว่า ณัฏฐ์ ศรีอินทร์ แถมเป็นคนสุรินทร์ พูดภาษาเขมร สื่อสารได้โดยตรง ฟังภาษาเขมรได้ และด้วยวีรกรรมเหล่านี้ ทำให้ พล.ต.ณัฏฐ์ได้รับรางวัลเกียรติยศจักรดาว ศิษย์เก่าดีเด่นโรงเรียนเตรียมทหาร

แต่ทว่า พล.ต.ณัฏฐ์ เป็นรุ่นน้อง ตท.27 จึงยากที่ พล.อ.พนาจะสนับสนุนให้ขึ้นเป็นแม่ทัพภาค 2 เพราะคงต้องดันเพื่อน ตท.26 ขึ้นแม่ทัพภาค 2 คนใหม่ เพราะจะต้องเลือกคนที่ไว้ใจและคุมได้อย่างเพื่อนร่วมรุ่น

อีกทั้งในการโยกย้ายที่ผ่านมาของ พล.อ.พนา ก็ดึงเพื่อน ตท.26 หลายคนมาคุมตำแหน่งสำคัญ จนกลายเป็นแผงอำนาจ ตท.26 โดยเพราะ พล.อ.พนาจะต้องนั่งเก้าอี้ ผบ.ทบ.นี้ ยาวนานถึง 2570 ก็ย่อมต้องทำให้เก้าอี้นี้มั่นคง อีกทั้งเป็นการดูแลเพื่อนๆ อีกด้วย

เพราะในตุลาคม 2568 นี้เป็นต้นไป พล.อ.พนาจะกลายเป็นผู้บัญชาการเหล่าทัพที่มีอาวุโส เพราะ ผบ.เหล่าทัพชุดปัจจุบัน เกษียณราชการหมด

แต่ ผบ.เหล่าทัพชุดใหม่ที่จะขึ้นมาแทน ก็คาดว่าจะเป็นเตรียมทหารรุ่นพี่ ตท.24 และ ตท.25 แต่ก็ถือว่า พล.อ.พนาเป็น ผบ.ทบ. ที่กล้ามใหญ่ เปี่ยมอำนาจมากสุด

ท่ามกลางการจับตามองว่าจะสู้ศึกนอกศึกเขมรนี้อย่างไรให้ชนะโดยไม่ต้องรบ หรือหากต้องรบ ก็ต้องชนะเท่านั้น

พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์



เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต

แค่ลมหายใจ ก็รู้ทันใดว่าอ้วน!!
การปกครองเปลี่ยน-แฟชั่นปรับ : แฟชั่นสมัยคณะราษฎร-สงคราม (12) เจ้านายสนับสนุนรัฐนิยมในสมัยสร้างชาติ
สวนสาธารณะสูงวัย : สังคมภายนอกครอบครัว และบทเรียนจากเฉิงตู
ดาวกับดวงวันพฤหัสบดีที่ 10 กรกฎาคม 2568
อินฟลูเอนเซอร์ คืออะไร ? รู้จักอาชีพยอดฮิต พร้อมต้นแบบที่ประสบความสำเร็จ
33 ปี ชีวิตสีกากี พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ (131)
เล่าถวาย ‘พระธรรมทูต’ | ธงทอง จันทรางศุ
อนุสาสน์ เทียนวรรณ บทนิยาม ใคร คนหนังสือพิมพ์ ปัญญาชน ไพร่กระฎุมพี
สถานการณ์จริงของผู้สูงอายุในประเทศไทย
ความอดทนอดกลั้น (Tolerance) : คุณธรรมพื้นฐานของโลกร่วมสมัย
พลเมืองไทย พลเมืองโลก ดูจากปัญหาแผนที่ | ธงชัย วินิจจะกูล
ความมหัศจรรย์ ของนักปั่น Tour de France