

เทศมองไทย
ยุทธศาสตร์ของอาเซียน
ในโลกยุคสงครามการค้า
บทความแสดงความคิดเห็นของ อัษมา คาหลิด นักวิจัยอิสระที่ปรากฏในเซาธ์ ไชน่า มอร์นิ่ง โพสต์ เมื่อ 1 มิถุนายนที่ผ่านมา มีข้อเสนอที่น่าคิดและชวนท้าทายเป็นอย่างยิ่ง ว่าด้วยการรังสรรค์ ยุทธศาสตร์ของอาเซียน เสียใหม่ ให้สอดคล้องกับสภาวะแวดล้อมของโลกในยุคสงครามการค้า หากประสบความสำเร็จ ผลที่ได้ก็คือ การจัดระเบียบใหม่ในระดับภูมิภาคที่มีอาเซียนเป็นศูนย์กลาง ที่ท้าทายก็คือ อาเซียนเองจะสามารถก้าวข้ามความแตกแยกภายใน เพื่อสร้างสิ่งใหม่ๆ เช่นนี้ได้หรือไม่
ข้อเสนอที่ว่านี้มีขึ้นหลังจากที่เมื่อเดือนที่ผ่านมา จีนและกลุ่มประเทศอาเซียน สามารถทำความตกลง “ยกระดับ” ข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างกันที่มีมานาน 15 ปีแล้วขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง กำหนดจะมีการลงนามกันอย่างเป็นทางการในตอนกลายปีนี้
พร้อมๆ กับที่ อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน ทำหนังสือเรียกร้องไปยัง โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐอเมริกา เพื่อหาทางจัดการประชุมสุดยอด สหรัฐ-อาเซียน ขึ้นสำหรับแก้ปัญหา “ภาษีศุลกากร” ถือเป็นการ “ตอบสนอง” นโยบายภาษีของทรัมป์ร่วมกันในนามของอาเซียน
ในทัศนะของผู้เขียน ความตกลงการค้าเสรีของอาเซียนกับจีน นั้นไม่ใช่เรื่องไม่ดี เพราะในที่สุดก็จะส่งผลในเชิงป้องกันผลกระทบจากนโยบายภาษีของทรัมป์ได้เป็นอย่างดี
แต่ในเวลาเดียวกันก็มีความเสี่ยง เสี่ยงที่จะทำให้อาเซียนกลายเป็นการต้องพึ่งพาจีนมากจนเกินไป และมีโอกาสไม่น้อยที่จะทำให้อาเซียนกลายเป็นตลาดระบายสินค้าส่งออกจากจีนที่เพิ่มมากขึ้นทุกปี แต่ในทางกลับกันจีนกลับซื้อจากอาเซียนน้อยลงเรื่อยๆ
ข้อเสนอของผู้เขียนก็คือ ความตกลงการค้าเสรีกับจีนก็ทำไป แต่ในเวลาเดียวกัน อาเซียนก็จำเป็นต้องถ่วงดุลจีนด้วยการหันมาสร้างความหลากหลายให้กับตลาดส่งออกของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นชาติเพื่อนบ้านในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก เรื่อยไปจนกระทั่งถึงภาคพื้นยุโรปและอื่นๆ
ถัดมา ผู้เขียนเสนอว่า อาเซียนควรใช้จังหวะเวลาในตอนนี้ คิดใคร่ครวญให้ดีถึง “โมเดลการค้า” ใหม่ๆ ที่ “เน้นให้ความสำคัญกับการค้าภายในกลุ่มประเทศอาเซียน” ด้วยกันเองเป็นหลักสำคัญ นำเอาจุดเด่นและความชำนิชำนาญในด้านอุตสาหกรรมที่แตกต่างกันออกไปมาแปรให้เป็นการค้าภายในที่เข้มแข็งและมั่นคง
ผู้เขียนยกตัวอย่างเช่น เวียดนาม ที่มีอุตสาหกรรมเด่นคือ อิเล็กทรอนิกส์ ในขณะที่ไทยมีอุตสาหกรรมรถยนต์ เหล็กกล้า พลังงานและอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารเป็นสำคัญ ในขณะที่ต่างฝ่ายต่างเผชิญหน้ากับภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกามหาศาลที่ 46 เปอร์เซ็นต์และ 36 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ
การค้าภายในของอาเซียน มีอัตราภาษีศุลกากรซึ่งกันและกันเป็นศูนย์ก็จริง แต่การค้าภายในคิดสัดส่วนเป็นเพียงแค่ 22 เปอร์เซ็นต์ของการค้าอาเซียนทั้งหมด เพราะปัญหาจาก “อุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี” ที่มีอยู่สูงมาก ในการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งล่าสุด มีความพยายามแก้ไขปัญหานี้ด้วยการเจรจาต่อรอง กำหนดจะลงนามในความตกลงเรื่องนี้กันในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ และคาดหวังกันว่าจะช่วยให้การค้าภายในของอาเซียนขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
ประการสุดท้าย อาเซียนต้องพยายามไม่ให้การเจรจาต่อรองเรื่องภาษีกับสหรัฐอเมริกา กลายเป็นปัจจัยสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นภายในอาเซียนเอง การเจรจาต่อรองที่ดูเหมือนจะเกิดขึ้นควบคู่กันไปทั้งในนามของอาเซียนโดยรวมกับการเจรจาทวิภาคีของแต่ละประเทศ อาจกลายเป็นการทำลายความเป็นเอกภาพของอาเซียน
และทำให้สถานการณ์กลายเป็นเข้าข้างสหรัฐอเมริกามากยิ่งขึ้น
การประชุมร่วมระหว่างอาเซียน-สหรัฐอเมริกา ควรเป็นไปเพื่อกำหนด “กรอบทำงานที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน”
แต่กระนั้นความสำเร็จตามกรอบคิด กรอบทำงานที่ว่านั้น จะเป็นไปได้ก็ขึ้นอยู่กับว่า อาเซียนสามารถเอาชนะความตแกแยกภายในได้หรือไม่
ตัวอย่างเช่น ชาติสมาชิกอย่างสิงคโปร์ กับฟิลิปปินส์ ที่เผชิญหน้ากับอัตรากาษีจากสหรัฐอเมริกาที่ต่ำกว่า อาจไม่ตระหนักถึงความจำเป็นเร่งด่วนในเรื่องนี้ ต่างกับประเทศอย่างเวียดนามหรือไทย เป็นต้น
แต่ถ้าหากอาเซียนสามารถเอาชนะความท้าทายภายในองค์กรเช่นนี้ได้
สามารถหลอมรวมการดำเนินการทางการทูตเพื่อแก้ปัญหาแรงกดดันจากสหรัฐอเมริกา
เสริมสร้างสถานะของอาเซียนให้แข็งแกร่ง ขยายฐานพันธมิตร
ในขณะที่ยังคงสามารถรักษาความเป็นอิสระ มีศักยภาพในการแข่งขันสูงขึ้น เป็นตัวของตัวเองในเชิงยุทธศาสตร์เอาไว้ได้ และเป็นผู้นำของภูมิภาคได้ในที่สุด
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022