
เศรษฐกิจไทย-เศรษฐกิจโลก 2023 ต้องระวังอะไร “ศุภวุฒิ สายเชื้อ” ส่งคำเตือน

เศรษฐกิจไทย-เศรษฐกิจโลก 2023 ต้องระวังอะไร ศุภวุฒิ สายเชื้อ ส่งคำเตือน และให้การบ้านรัฐบาลใหม่
ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ นักเศรษฐศาสตร์ และที่ปรึกษากลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ฉายภาพรวมเศรษฐกิจโลกปีนี้ว่า ถ้าเราจำกันได้ ในช่วงต้นปี ธนาคารกลางสหรัฐและนักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์กันว่าเงินเฟ้อจะปราบง่าย โดยขึ้นดอกเบี้ย 1-1.5% จะสามารถจัดการได้
แต่เวลาผ่านไปปรากฏว่าดอกเบี้ยไม่ได้ขึ้นแค่เปอร์เซ็นต์เดียว ขึ้นไปถึง 4.5% และก็ยังปราบเงินเฟ้อไม่ได้
ประเด็นสั้นๆ คือพอมาเฉลี่ยปีนี้ดอกเบี้ยยังติดลบอยู่ เพราะเป็นดอกเบี้ยนโยบายอยู่ 4.5% ขณะเดียวกันเงินเฟ้ออยู่สูงกว่านั้นคือ 6-7% แต่ปีหน้าเขาคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐจะขึ้นดอกเบี้ย 5% กว่า และเงินเฟ้อจะดรอปลงมา จากตัวเลขของเขาที่ผมเอามาดูล่าสุด เขาคาดการณ์ว่าปีหน้าจะขึ้นดอกเบี้ย และเงินเฟ้อจะเหลือ 3.1% นักเศรษฐศาสตร์จะรู้เลยว่า เวลาขึ้นดอกเบี้ยมันจะให้ผลช้าไปอีกสักประมาณ 6-12 เดือน และ 18 เดือน จะกลายเป็นผลกระทบในเชิงที่จะกดกำลังซื้อ และปัจจัยทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผลไปกดในปีหน้าเป็นหลัก
ในสหรัฐมีการคาดการณ์กันอย่างกว้างขวางว่าไตรมาสที่ 1 ถึง 2 หรือแม้กระทั่งไตรมาสที่ 3 จะเจอกับ “ภาวะเศรษฐกิจถดถอย” โดยมีนักเศรษฐศาสตร์มากกว่าร้อยละ 60 เขาคาดว่าจะเกิดขึ้นแน่ๆ ในสหรัฐ
ปัจจัยต่อมาคือเรื่องสงครามรัสเซีย-ยูเครน ปีนี้เราก็ไม่ได้คาดการณ์ว่ารัสเซียจะบุกยูเครนแต่ปรากฏว่าบุก แต่แล้วก็ผิดคาดอีก รัสเซียคงคาดว่าใช้เวลาไม่เกิน 3 สัปดาห์จะยึดยูเครนได้ทั้งหมด แต่ปรากฏว่ามาตอนนี้ยังต้องสู้รบอยู่ และการสู้รบกันหนักขึ้น หลังจากพ้นฤดูหนาวไปแล้ว โดยมองว่าหลังช่วงมีนาคม-เมษายนคงจะรบกันเพิ่มอีก จะยิ่งส่งผลกระทบรุนแรงแค่ไหนหรือไม่ในเชิงของราคาน้ำมันและราคาอาหาร หรือสามารถหาทางพูดคุยเจรจาได้
นี่คือปัจจัยที่จะชวนให้ “เศรษฐกิจยุโรป” เข้าสู่ “ภาวะถดถอยต่อเนื่อง” อย่างแน่นอน
สองภาพที่ฉายคือ กลุ่มอเมริกากับยุโรปเมื่อขนาดเศรษฐกิจบวกกัน ก็เกินกว่า 40% ของ GDP โลกแล้ว มาวิเคราะห์ปัจจัยที่สาม คือประเทศจีนที่เคยมีนโยบาย “โควิดเป็นศูนย์” ปรากฏว่ากระทบกับระบบเศรษฐกิจอย่างรุนแรง
เศรษฐกิจของจีนในปีนี้โตประมาณ 2% กว่าๆ ไม่ถึง 3% รัฐบาลจึงต้องเปลี่ยนนโยบายจากหน้ามือเป็นหลังมือ ให้สามารถกระทำกิจกรรมต่างๆ ได้
ปรากฏว่าโควิดก็ระบาดไปไม่รู้ว่ามากน้อยแค่ไหน เพราะทางการไม่ได้เก็บตัวเลขที่ครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งผู้ติดเชื้อรายใหม่และจำนวนผู้เสียชีวิต แต่เราพอจะดูได้ว่ามีคนต้องใช้บริการโรงพยาบาลมากขึ้น การซื้อยาหาได้ยากขึ้น และมีการคาดการณ์กันทางวิชาการ ตามที่เราเห็นข่าวว่าให้ระวังประเทศจีนจะมีผู้เสียชีวิตได้มากถึง 1 ล้านคน หรือใกล้เคียงกับตัวเลขดังกล่าว
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับโควิดว่าจะกลายพันธุ์หรือกระจายไปไกลแค่ไหนได้อีก
คาดว่าจะมีการระบาดสามระลอก คือ ช่วงนี้ ช่วงปีใหม่ และช่วงตรุษจีน
เพราะฉะนั้นต้องถามว่าการตอบสนองของรัฐบาลจีนจะเป็นอย่างไร เกิดระบาดมากจนระบบสาธารณสุขไปไม่ไหวจะกลับมาปิดประเทศอีกหรือไม่?
หรือเขาจะพยายามต่อสู้ลุยไปหากระบบสาธารณสุขไม่ได้รับผลกระทบรุนแรงขนาดนั้น ก็สามารถทำให้เปิดประเทศได้ เราไม่รู้อะไรเลย
ดังนั้น เศรษฐกิจโลกจะมีอยู่ 3 ปัจจัยหลักๆ นี้ สำหรับปีหน้าที่ต้องไปศึกษาดูกันว่าจะรุนแรงแค่ไหนอย่างไร ได้แก่ 1. ดอกเบี้ยปรับและเงินเฟ้อ 2. สงครามยูเครน และ 3. จีนเปิดประเทศ
สําหรับในประเทศไทย มีผู้ตั้งความหวังเอาไว้สูงว่าเศรษฐกิจโลกปีหน้าจะโตช้ากว่าปีนี้ แต่เราจะโตแบบสวนทางสูงกว่าปีนี้เพราะเราคาดหวังอย่างเดียวเลยคือเรื่องของการท่องเที่ยว
แนวโน้มที่ผ่านมาเหมือนจะดูดีคือนักท่องเที่ยวเข้ามาเกินกว่า 10 ล้านคน ปีหน้าจะเป็น 20-22 ล้านคน ปีต่อไปอาจจะคาดการณ์ว่า 30 ล้านเลย
เราเลยหวังตัวแปรแทบจะตัวเดียวเลยคือการท่องเที่ยว ปัจจัยเสริมที่สำคัญคือเศรษฐกิจของจีนในการเปิดประเทศ จะส่งผลมาถึงเราหรือไม่ เป็นสิ่งที่ต้องตั้งคำถาม
ถ้าให้ผมเดาผมคิดว่าการเปิดประเทศของเขาจะเน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในมากกว่า ไม่ใช่ภายนอก แต่ก็อาจจะมีผลเชิงบวกกับเราบ้าง เช่น มีการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มมากขึ้นและซื้อสินค้าจากประเทศไทย ก็ถือว่าเขาเป็นลูกค้ารายใหญ่ของเราในการส่งออก
โดยรวมแล้วเศรษฐกิจไทยในปีหน้า ท่องเที่ยวเป็นตัวหลัก ส่วนตัวอื่นแผ่วหมด ส่งออกโตน้อยมา กำลังซื้อภายในตามการคาดการณ์แบงก์ชาติแผ่ว แถมการใช้งบกลางรัฐบาลแผ่วแล้ว และคงใช้กันจนจะหมดในช่วงเลือกตั้ง
ขณะที่การลงทุนคนไทย-ต่างชาติ ผมเดาว่าเขาคงรอความชัดเจนทางการเมืองก่อน
ซึ่งการที่เราเลือกพึ่งพาท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียว เหมือนกับว่าเราไม่มีทางเลือกอื่นๆ เลย เปรียบเสมือนคุณข้ามฟากเพียงเรือลำเดียวแล้ว
ดังนั้น ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกขาลง จำเป็นต้องมีผู้นำที่มีวิธีคิดเฉียบแหลม ต้องมองภาพรวม มองระยะยาว ว่าจะมีนโยบายปฏิรูปประเทศในภาพใหญ่อย่างไร
แต่ผมพูดตรงๆ เลย เหมือนที่พูดกันเมื่อ 9 ปีก่อนว่า “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” จนผ่านมา 9 ปีผมก็อยากถามว่าได้ปฏิรูปจริงหรือเปล่า?
เมื่อถามว่า ถ้าเลือกตั้งไปแล้วได้รัฐบาลหน้าตาแบบเดิม คนบริหารเดิม จะเป็นอย่างไร
ดร.ศุภวุฒิตอบทันทีว่า ผลก็เหมือนเดิม เหมือนกับ 9 ปีที่ผ่านมา ผมถึงคิดว่าต้องถามว่าจริงๆ แล้วประชาชนต้องการอะไร? ดังนั้น “การเลือกตั้ง” คือการที่จะต้องถามประชาชนว่าต้องการอะไร?
9 ปีที่ผ่านมาเรามีการเลือกตั้งครั้งเดียวและเลือกตั้งครั้งนั้นเป็นเลือกตั้งที่มีกฎเกณฑ์ที่หลายส่วนสะท้อนว่าใช้ไม่ได้ จึงมีเสียงเรียกร้องให้มีการแก้กฎ
ถ้าหากถามว่าแล้ว “ถ้าไม่มีการเลือกตั้ง” ตามกำหนด ประเทศจะเป็นอย่างไร
ผมตอบง่ายมาก คือ ทุกอย่างจะเหมือนเดิม เว้นแต่ประชาชนจะทนไม่ได้และออกมา ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำได้หรือไม่ได้ เพราะที่ผ่านมารัฐบาลสามารถคุมอำนาจได้
สำหรับคำเตือนถึงประชาชนในปีหน้า ผมมองว่า แบงก์ชาติคงจะขึ้นดอกเบี้ยตลอด จะเป็นดอกเบี้ยขาขึ้น ปัจจัยการผลิตต่างๆ การเงินจะแพงขึ้นแน่นอน เงินเฟ้อประเทศไทยจะปรับได้หรือไม่ก็ไม่รู้ เพราะว่าเงินเฟ้อยังสูงอยู่ ตลาดส่งออกคงจะไม่ดี เพราะเศรษฐกิจโลกไม่ดี เราจะเห็นได้เลยว่าสิ่งที่เราเคยพึ่งพาอย่างเช่นการส่งออกก็จะไม่ดี เราก็จะเหลือเพียงแค่การท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียว
แต่ถามว่าสิ่งที่จะแตกต่างจากเดิมคืออะไร คือ มันจะแพงขึ้นดอกเบี้ยจะเป็นขาขึ้น เพราะฉะนั้นการเป็นหนี้จะไม่ง่ายเหมือนเดิม ไม่ง่ายเท่าเดิม การใช้คืนหนี้จะยากขึ้น
ดังนั้น คุณจะต้องดูแลตัวเองในเรื่องของการทำงานให้ได้ผลตอบแทนที่สูง
ในความเห็นของผมการแก้หนี้ครัวเรือนต้องแก้ด้วยการให้รายได้เพิ่มไม่ใช่การแก้โดยการพยายามนึกว่าไปลดหนี้
ในยุคที่เศรษฐกิจควรจะเป็นขาขึ้น คือยุคที่รายได้เราควรจะเพิ่มขึ้นด้วย เพื่อจะเอารายได้ที่เพิ่มขึ้นไปใช้หนี้ ต้องหาเงินหารายได้ให้โตแล้วต้องหารายได้ให้โตมากกว่าเงินเฟ้อ
แต่นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย มันเป็นเรื่องที่ยากมาก ผมถึงบอกว่าในที่สุดแล้วต้องกลับมาดูเรื่องการขยายตัวของเศรษฐกิจและตัวเราเองต้องระมัดระวังว่าข้างหน้าจะไม่เหมือนกับในอดีตแล้ว
การกู้เงินมาเพื่อไปใช้ในการบริโภคปัจจุบัน มันจะเป็นภาระในอนาคตเพราะดอกเบี้ยจะสูงขึ้น ต้องระมัดระวังตัวเองอย่างนั้น
ส่วนภาค SMEs หรือภาคธุรกิจเขาจะต้องรู้ว่าตอนนี้ เรื่องเงินจะต้องเป็นเรื่องที่ดูแลให้ดีที่สุด เรื่องกระแสเงินสดต้องมีให้เพียงพอเป็นเรื่องใหญ่ หลายส่วนก็จะพยายามควบคุมค่าใช้จ่าย ขณะเดียวกันบางส่วนก็อยากจะลงทุนลองเสี่ยงดูเพื่อที่จะขยายตลาด เพราะว่าในหลักการถ้าเงินมันเฟ้อหรือเศรษฐกิจขาขึ้นหน่อย คนก็อยากจะดึงมาร์เก็ตแชร์ ก็จะต้องใช้กระแสเงินสดในการขับเคลื่อน
ดังนั้น เป็นเรื่องยากมากสำหรับ SMEs แต่ขอย้ำว่าบรรยากาศจะไม่เหมือนกับในอดีตอีกแล้ว ที่ว่าไม่ต้องแคร์เรื่องต้นทุน เพราะตอนนี้ต้นทุนจะขึ้นตลอดต้องคุมทั้งต้นทุนคุมค่าใช้จ่ายให้มีกระแสเงินสดให้เพียงพอ
การบ้านโจทย์ใหญ่ของคนที่จะบริหารต่อไป คือต้องกลับมาที่เรื่องความเป็นประชาธิปไตย เพราะความเป็นประชาธิปไตยต้องคิดให้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง
ในความหมายสำหรับผม คือคุณจะต้องหางานที่ดีให้กับประชาชนได้ ให้งานที่เขาทำมีรายได้สูง จะต้องเป็นหน้าที่หลักของระบบประชาธิปไตย เพราะประชาธิปไตยสนใจประชาชนเป็นที่ตั้ง และประชาชนก็จะสนใจว่าตัวเองมีงานที่ดีทำหรือไม่ เป็นงานที่มีเกียรติมีผลตอบแทนสูงหรือไม่
สำหรับผมสิ่งแรกที่ต้องทำคือมีการรีเทรน, อัพสกิล และรีสกิล ให้กับคนไทยเพราะเราก็พูดกันทุกปีว่ามีบัณฑิตจบใหม่เตะฝุ่นกี่แสนคนต่อปี หรือจะมีการนำเสนอว่าคนไทยขาดทักษะไม่ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน เช่น เราต้องการโปรแกรมเมอร์ ต้องการนักวิเคราะห์ข้อมูลก็หาไม่ได้
ผมคิดว่าต้องเอาพื้นฐานในการทำตรงนี้ให้ดีก่อนเรื่องรีสกิล
คิดง่ายๆ เช่นคนที่ขับ Grab ขนส่ง ไรเดอร์ ให้เขารีเทิร์นมาเป็นโปรแกรมเมอร์บ้างดีหรือไม่ เป็นต้น
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022