

สัปดาห์ที่ผ่านมามีการเสนอร่างกฎหมายที่เรียกว่า พ.ร.บ.แก้ไขประมวลกฎหมายที่ดินโดยพรรคก้าวไกล ซึ่งมีสาระสำคัญที่น่าสนใจคือ
หนึ่ง แก้ไขบทนิยามของคำว่า “สิทธิในที่ดิน” ให้รวมถึงสิทธิของชุมชนที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปใช้ประโยชน์ในที่ดิน
สอง กำหนดให้ชุมชนเป็นผู้ทรงสิทธิในที่ดินตามที่ได้รับอนุญาตและสิทธิในการเข้าถือครองและใช้ประโยชน์ร่วมกันตามวิถีชุมน
สาม แก้ไขเงื่อนเวลาการทอดทิ้งหรือไม่ทำประโยชน์ในที่ดินให้สั้นลงจาก 10 ปี เหลือ 5 ปี และให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอำนาจในการตรวจสอบที่ดินและยื่นคำร้องต่อศาล
สี่ ยกเลิกการใช้คำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดของศาลในการขอออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์
ห้า อนุญาตให้ใช้หลักฐานอื่นที่แสดงว่ามีการทำประโยชน์ในพื้นที่ดังกล่าวจริงในการขอออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ จากเดิมให้ใช้รูปถ่ายทางอากาศ
หก กำหนดให้ผู้มีสิทธิตามกฎหมายว่าด้วยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมที่ได้รับการพิสูจน์สิทธิเป็นที่เรียบร้อยแล้วสามารถออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ได้ (จากเดิมระบุเฉพาะที่ได้รับหนังสือรับรองว่ามีการทำประโยชน์แล้ว)
เจ็ด กำหนดให้ปลัดกระทรวงยุติธรรมเป็นผู้ดำเนินการตั้งคณะกรรมการสอบสวนการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ออกโดยคลาดเคลื่อนหรือมิชอบด้วยกฎหมาย
ร่างนี้ถูดปัดตกในสภาตั้งแต่วาระแรก เมื่อถูกปัดตก ปรากฏว่าร่าง พ.ร.บ.นี้นำไปเชื่อมโยงเรื่องที่ ครม.สั่งให้ศึกษาถึงความเป็นไปได้ในการแก้กฎหมายให้ต่างชาติเข้ามาเช่าที่ดินในประเทศไทยได้ 99 ปี
แน่นอนว่า มันทำให้เกิดวาทกรรมสำเร็จรูปจากกลุ่มที่มักเข้าใจว่าตัวเองเป็นซ้ายทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่า “ขวา” หรืออะไร
เพราะดูเหมือนว่าความรู้ของชาวเน็ตไทยเข้าใจแค่ว่า ขวา คือ คนนิยมกษัตริย์ ซ้ายคือ คนเท่ากัน เสมอภาค ลดความเหลื่อมล้ำ กระจายอำนาจ บลา บลา บลา
สรุปคือซ้ายเท่ากับพรรคก้าวไกล จบข่าว
ซึ่งพรรคก้าวไกลอาจจะไม่ได้มองว่าตัวเองเป็นซ้ายด้วยซ้ำ
แต่การขายวาทกรรมซ้ายมักง่ายทลายทุนผูกขาดสร้างรัฐสวัสดิการ เราต้องมีภาษีมรดก ยึดที่ดินนายทุนมาให้ชุมชน มันทรงเสน่ห์ มันเข้าใจง่าย
เหมือนคนนั่งฟังเพลงเพื่อชีวิตในผับนายทุนแล้วก็เคลิ้มๆ ว่าตัวเองช่างเป็นคนที่รักความเป็นธรรม ช่างเห็นใจผู้ถูกกดขี่ ฟังไปจิบเบียร์นายทุนไปแล้วก็กลับบ้านนอน
ชาวเน็ต ชาว x เมื่อรู้ว่าร่างแก้ไขประมวลกฎหมายที่ดินของพรรคก้าวไกลถูกปัดตก ก็เอาไปเขียนไปอธิบายกันใหญ่โตว่า รัฐบาลนี้จะขายชาติให้คนต่างชาติมามีสิทธิเช่าที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ได้ตั้ง 99 ปี แถมยังจะให้ต่างชาติมาซื้อคอนโดฯ ได้ในสัดส่วน 75% แบบนี้คนไทยก็แย่สิ
ต่างชาติแห่กันมาซื้อ แห่กันมาเช่า ราคาอสังหาฯ จะแพงขึ้นจนคนไทยจนๆ หรือคนไทยชั้นกลางไม่มีสิทธิซื้อ เพราะนายทุนต่างชาติมาบิดเบือนกลไกตลาด รัฐบาลออกกฎหมายมาเอื้อนายทุนอสังหาฯ
แน่ล่ะสิ นายกฯ ก็เจ้าของธุรกิจอสังหา ชินวัตรก็ทำธุรกิจอสังหาฯ อะไรมันจะพอเหมาะพอเจาะขนาดนั้น
จากนั้นรัฐบาลก็ยังจะมาปัดตกกฎหมายที่ดินที่ต้องการลดความเหลื่อมล้ำในการถือครองที่ดินอีก
แต่ในความเป็นจริงมันเป็นคนละเรื่องโดยสิ้นเชิง
การแก้กฎหมายให้ต่างชาติมาซื้อคอนโดฯ ได้ 75% เป็นเรื่องของมาตรการแก้ไขปัญหาคอนโดฯ สร้างมาแล้วขายไม่ออก
ทำไมถึงขายไม่ออก เศรษฐกิจซบเซา? ดอกเบี้ยแพง? ธนาคารไม่ปล่อยกู้?
เราอยู่ในภาวะเงินฝืดมาเกือบปี แบงก์ชาติก็ยืนยันไม่ลดดอกเบี้ย รัฐบาลก็เสนอว่า เพิ่มสัดส่วนให้ต่างชาติมาซื้อคอนโดฯ ได้มากขึ้นดีไหม แล้วคงสัดส่วนสิทธิการโหวตไว้เท่าเดิมคือ 49%
ทีนี้ถ้าโวยวายกันมาก ไม่เอา ไม่ให้แก้กฎหมาย กลัวต่างชาติมากว้านซื้อไป แล้วอสังหาฯ เจ๊งระเนระนาด ก็อย่าลืมว่าเจ้าสัวน่ะไม่ล้มหรือล้มก็ล้มบนฟูก แต่จินตนาการว่าจะมีคนตกงานอีกเท่าไหร่จากภาวะอสังหาฯ ล้มละลาย และจะกระทบเศรษฐกิจในภาพรวมอีกเท่าไหร่
แทนการโวยวายเรื่องเอื้อนายทุน ทำไมเราไม่มานั่งคุยกันว่า ถ้าเปิดให้ต่างชาติมาซื้อคอนโดฯ ได้ในสัดส่วนที่มากขึ้น รัฐบาลต้องมีนโยบายบ้านและที่อยู่อาศัยสำหรับคนรายได้น้อยขึ้นมาเป็นคู่ขนาน หรือออกกฎหมายว่า คอนโดฯ ที่ต่างชาติจะมาซื้อต้องราคา 10 ล้านบาทขึ้นไปไหม? เพื่อให้คอนโดฯ ราคาสองล้าน ถึงเก้าล้าน เป็นสิทธิสำหรับคนไทย ไม่มีคนต่างชาติมาแย่งซื้อจนราคาพุ่งแพงแล้วคนไทยซื้อไม่ไหว
จากนั้น เราควรกดดันให้รัฐมีมาตรการให้ธนาคารปล่อยสินเชื่อบ้านให้มากขึ้น
ไม่ใช่ปล่อยให้ธนาคารแสวงหากำไรแบบเสือนอนกิน เลือกแต่จะลงทุนกับอะไรที่ไม่มีความเสี่ยงเลยไม่ได้ ธนาคารต้องกล้าๆ ประเมินและปล่อยสินเชื่อมากกว่านี้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
เพราะเมื่อเศรษฐกิจโต คนมีรายได้มากขึ้น ใครๆ ก็อยากเอาเงินมาใช้หนี้ธนาคารทั้งนั้น ไม่ใช่เพราะเขาทั้งหลายเป็นคนดี แต่ใช้หนี้เพื่อสร้างเครดิตในการกู้ที่มากกว่าเดิม ธนาคารมีลูกหนี้ที่มีเงินมาใช้หนี้ แล้วกู้ใหม่ไปลงทุนใหม่หรือซื้อบ้านซื้อคอนโดฯ เพิ่ม ธนาคารก็มีแต่จะได้กำไรเพิ่ม
แต่ ณ วันนี้ธนาคารไทยทำธุรกิจแบบอยู่ในเซฟโซนหนักมาก ผลก็คือภาวะเศรษฐกิจที่อ่อมหนักแบบที่เราเจอกันอยู่ตอนนี้
สรุป เรื่องต่างชาติซื้อคอนโดฯ กับการเช่าที่ดิน 99 ปี เป็นมาตรการ กระตุ้นฟื้นฟูเศรษฐกิจ ไม่เกี่ยวกับเรื่องการยื่นแก้กฎหมายที่ดิน
คิดง่ายๆ ว่า บ่อน้ำมันแห้งมาก ในเวลานี้ ทางออกเดียวของเราคือต้องหา “น้ำ” จากข้างนอกมาเติม
และคนไทยก็เลือกเอาก็แล้วกันว่าจะแก้ปัญหาแบบเอาเงินจากภายนอกเติม หรืออยู่แบบเสียสินสงวนศักดิ์ไว้วงศ์หงส์
ไม่ยอมให้ต่างชาติเข้ามาซื้ออะไรทั้งนั้น จะยอมอยู่แห้งๆ กันไปแบบนี้แหละ เราเป็นคนตัวเล็กตัวน้อยก็ท่องไว้ว่าอย่าเอื้อนายทุน นี่มันมาตรการช่วยนายทุนชัดๆ แล้วก็แห้งตายไป
กลับมาที่ร่าง พ.ร.บ.แก้ไขประมวลกฎหมายที่ดิน ของพรรคก้าวไกล
ฉันเข้าใจในความปรารถนาดี หรือความตั้งใจที่ดีในความพยายามจะแก้กฎหมายที่ดินโดยเฉพาะประเด็นการถือครองที่ดิน
อย่างที่เรารู้กันดีว่า ปัญหาความเหลื่อมล้ำในการถือครองที่ดินของประเทศไทยนั้นสูงและเป็นอุปสรรคที่สำคัญในการนำพาประชาชนคนไทยให้หลุดพ้นจากความยากจน เพราะตัวเลขคร่าวๆ คือ ประชากรร้อยละ 10 ของประเทศนี้ถือครองที่ดินร้อยละ 90 ของประเทศ
บุคคลที่ถือครองที่ดินรายใหญ่ในประเทศนี้มีเพียง 4,613 เท่านั้น
ลงไปดูให้ละเอียดขึ้นก็ยังจะเห็นว่า ถือครองที่ดินแปลงขนาดเกิน 100 ไร่มี 121 ราย ถือครองที่ดิน 500-999 ไร่ และอีก 113 รายถือครองที่ดินเกินกว่า 1,000 ไร่ ส่วนนิติบุคคลมีผู้ถือครองที่ดินขนาดใหญ่เกิน 100 ไร่ จำนวน 2,205 ราย ถือครองที่ดินจำนวน 500-999 ไร่ มีผู้ถือครองที่ดินจำนวน 100 ราย และ 42 รายถือครองที่ดินเกิน 1,000 ไร่ หนักว่านั้นร้อยละ 20 ของเกษตรกรไทย ไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตัวเอง
ดู https://prachatai.com/journal/2019/11/85310
เพราะฉะนั้น ฉันคิดว่า เราคิดตรงกัน และเห็นตรงกันว่า ประเทศไทยมีปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำในการถือครองที่ดิน
แต่เราจะแก้ปัญหานี้อย่างไร?
วิธีที่อยู่ในร่างกฎหมายของก้าวไกลดูเหมือนจะเน้นเรื่องสิทธิชุมชน เช่น ให้ชุมชนเป็นผู้ทรงสิทธิในการถือครองและใช้ประโยชน์ตามวิถีชุมชน
คำถามคือ ชุมชนในที่นี้แปลว่าอะไร?
และใช้ประโยชน์ตามวิถีชุมชนคืออะไร?
การทำสนามฟุตบอลเป็นวิถีชุมชนหรือไม่?
การทำตลาดนัดเป็นวิถีชุมชนหรือไม่?
การเปิดเซเว่นฯ เป็นวิถีชุมชนหรือไม่?
ทำบ่อนไก่ชน วัวชน เป็นวิถีชุมชนหรือไม่?
หรือคำว่าวิถีชุมชนต้องหมายถึง การทำไร่น่าสวนผสม ป่าชุมชน ปลูกผักอินทรีย์ ทำผ้าย้อมคราม ทำชา ทำเครื่องปั้นดินเผา ทำสุราชุมชนเก๋ๆ ทำธุรกิจที่เกี่ยวกับความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม ทำบ้านดิน ทำไร่หมุนเวียน ฯลฯ
อะไรคือวิถีชุมชน? และใครมี “อำนาจ” ในการวินิจฉัยว่าสิ่งนี้เป็นวิถีชุมชน สิ่งนี้ไม่เป็น และถึงที่สุด เราที่เรียกตัวเองว่าผู้เคารพในหลักการประชาธิปไตย เสรีภาพในเนื้อตัว ร่างกาย การใช้ชีวิตรู้เท่าทันเรื่อง hegemony อำนาจนำ รัฐเวชกรรมห้าร้อยอย่าง เรา happy กับการให้ใครสักคนหรือคณะกรรมการสักชุดหนึ่งมามีอำนาจวินิจฉัยหรือว่า สิ่งนี้เป็นวิถีชุมชน สิ่งนี้ไม่เป็น?
มิพักต้องมาเถียงกันว่านิยามของชุมชนคืออะไร? มีองค์ประกอบอะไรบ้าง และใครเป็นผู้กำหนดองค์ประกอบนั้น
และแน่ใจได้อย่างไรว่าจะหาฉันทามติร่วมกันได้ว่า
นิยามชุมชนตามกฎหมายที่ดินใหม่นี้ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง?
มันแสดงให้เห็นชัดเจนว่า ร่างกฎหมายนี้ของพรรคก้าวไกล ไม่ได้ผ่านกระบวนการทำงานมาอย่างประณีตเลย
ทำกันออกมาได้หยาบเหมือนงานกลุ่มนักเรียนมัธยม เช่น การลดเวลาการถือครองที่ดินที่ถูกทอดทิ้งและไม่ได้ทำประโยชน์จากสิบปีเป็นห้าปี โดยอ้างว่านายทุนมักมีที่ดินมากมาย ทิ้งไว้ให้รกร้างว่างเปล่า ไม่ทำประโยชน์อะไรเลย
ดังนั้น หากไปสำรวจพบว่า มีที่ดินตรงไหนรกร้างเกินห้าปี เจ้าของจะสิ้นสุดกรรมสิทธิ์ในการถือครองทันที
ประการแรกที่ต้องพิจารณาคือ ฉันอยากจะถามคนร่างกฎหมายนี้ว่า ทำไมถึงคิดว่า ด้วยกฎหมายนี้จะทำให้รัฐบาลเที่ยวไปยึดที่จากนายทุนได้ มิหนำซ้ำคนที่เดือดร้อนน่าจะเป็นคนตัวเล็กๆ มากกว่า
เช่น มีคนถามว่าทำงานอยู่ต่างประเทศแล้วซื้อที่ดินทิ้งไว้ ไม่ได้เข้าไปพัฒนาที่ดินเลย แบบนี้หากเกินห้าปีก็ต้องถูกยึดเลยหรือ?
คนร่างกฎหมายอาจจะเถียงว่า นี่เป็นเงื่อนไขให้คนที่ถือครองที่ดินต้องเข้าไปทำ “กิจกรรม” บางอย่างบนที่ดินของตนเอง และกิจกรรมนี้เองจะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ เป็นการบังคับทางอ้อมให้คนนายทุนต้อง “คาย” ที่ดินออกมาหรือไม่ก็ต้องไปทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ก่อให้เกิดการจ้างงานหรือการพัฒนาพื้นที่
ฉันก็อยากจะบอกอีกนั่นแหละว่ากลุ่มคนที่มีศักยภาพจะหาประโยชน์จากช่องโหว่ของกฎหมายได้มากที่สุดก็คือนายทุน เพราะฉะนั้น ฝันไปเถอะว่านายทุนที่มีที่ดินร้อยไร่ สองร้อยไร่ เขาจะปล่อยให้ที่ดินของเขาเข้าเงื่อนไขที่จะถูกยึด
และเขาย่อมมีวิธีที่จะไม่ต้องไปลงทุนอะไรกับมันมากเลย ดูตัวอย่างการทำสวนกล้วย สวนมะนาวในที่ดินกลางเมืองกรุงเทพฯ ก็ได้
แล้วเราจะไม่แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในการถือครองที่ดินในประเทศไทยหรือ?
ก่อนจะตอบคำถามนี้ ฉันคิดว่าเราต้องถามตัวเองก่อนว่าเราจะสมาทานแนวคิดเรื่องเศรษฐกิจ และทรัพย์สินส่วนบุคคลในระดับไหน ระหว่างคอมมิวนิสต์ (ชื่อก็บอกแล้วว่าเน้นคอมมูน หรือสิทธิชุมชน ไม่เชื่อเรื่องกรรมสิทธิ์ของบุคคล) สังคมนิยม เน้นใช้มาตรการทางภาษี ไม่ว่าจะเป็นภาษีที่ดิน และภาษีมรดก เสรีนิยมที่เชื่อว่า รัฐพึงแทรกแซงเอกชน ปัจเจกบุคคลให้น้อยที่สุด ปล่อยให้กลไกตลาดทำงาน หรือเสรีนิยม ทุนนิยมที่ค่อนไปทางสังคมนิดหน่อย คือ เชื่อในกลไกตลาด การแข่งขันเสรี แต่รัฐมีหน้าที่ไปโอบอุ้มช่วยคนที่เปราะบาง อ่อนแอ
เราจะชอบหรือไม่ชอบพรรคเพื่อไทย แต่เราต้องยอมรับว่าแนวทางของการออกแบบนโยบายเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยอยู่ในแนวทางที่เชื่อในทุนนิยม เชื่อในการแข่งขันตามกลไกตลาดที่เป็นจริง
ไม่เห็นด้วยกับแนวทางที่ให้รัฐบาลเข้าไปแทรกแซง “ตลาด” สนับสนุนการ privatized รัฐวิสาหกิจ รวมถึงมหาวิทยาลัย
ขณะเดียวกันก็มีนโยบายที่เสริมอำนาจ empowering คนตัวเล็ก ที่ไม่ใช่สังคมสงคราะห์ เช่น กองทุนหมู่บ้าน เป็นการให้อิสระแก่ชุมชน ในการบริหารจัดการกองทุน การให้สินเชื่อกันเองระหว่างคนในชุมชน และรัฐเข้าไปยุ่มย่ามด้วยน้อยที่สุด
สนับสนุนธุรกิจขนาดจิ๋ว อย่างวิสาหกิจชุมชน และให้อิสระแก่ชาวบ้านในการค้นหาตัวเอง ลองผิดลองถูก ในขณะที่อีกขาหนึ่งก็ทำสามสิบบาทรักษาทุกโรค เพื่อให้ตรงนี้เป็นหลังพิงของประชาชนทุกคนในทางสุขภาพ
แต่นโยบายทางเศรษฐกิจเช่นนี้กลับถูกบิดเบือนว่า เอื้อทุนใหญ่ ไปพร้อมกับซื้อคนจนด้วยนโยบายประชานิยมเพราะไม่ทลายทุนใหญ่ หนำซ้ำยังสนับสนุน ส่งเสริมให้ทุนใหญ่ของไทยไปลงทุนในต่างประเทศด้วยซ้ำ
การ privatized รัฐวิสาหกิจ ถูกมองว่าขายชาติ ทำให้รัฐบาลต้องแบกรับภาระขาดทุนของรัฐวิสาหกิจบางอย่างไปเรื่อยๆ เช่น ขสมก. ในคุณภาพก็ไม่พัฒนา
มาถึงเรื่องที่ดิน น่าแปลกใจมากที่พรรคก้าวไกล ที่มักโฆษณาว่าตัวเองไม่สนับสนุนให้รัฐบาลมีอำนาจมากเกินไป ต้องการการกระจายอำนาจ
กลับเสนอกฎหมายที่ไปเพิ่มอำนาจรัฐในการใช้อำนาจวินิจฉัยเข้ามาแทรกแซงกรรมสิทธิ์การถือครองที่ดินของปัจเจกบุคคล
ขณะเดียวกันก็ต้องการขยายสิทธิ์การถือครองที่ดินให้ “ชุมชน” ที่ยังไม่มีนิยามที่ชัดเจน ซึ่งมันไม่ผิดที่เราจะสมาทานเรื่องโฉนดชุมชน
ไม่ผิดที่เราจะสมาทานว่ารัฐบาลพึงมีอำนาจวินิจฉัยประเด็นกรรมสิทธิ์ที่ดิน แต่ ณ วันนี้ เราคิดว่าเรามีรัฐบาลที่เรา “ไว้ใจ” และกลไกของระบบราชการที่เรา “ไว้ใจ” ได้มากขนาดนั้นหรือ?
และในบรรดาทุกพรรคการเมืองในประเทศไทยตอนนี้ ก็มีพรรคก้าวไกลนี่แหละ ที่บอกว่ารัฐบาลกับระบบราชการมันโกง มันคอร์รัปชั่น มันมีส่วย มันตรวจสอบยาก
ขณะเดียวกันก็อยากจะแก้กฎหมายให้ไปเพิ่มอำนาจวินิจฉัยให้รัฐบาล แถมยังไม่มีนิยามว่าอะไรคือ “ชุมชน” อะไรคือ “วิถีชุมชน” กฎหมายแบบนี้หากออกไปย่อมรังแต่จะสร้างกรณีพิพาท
และไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำอะไรเลย
สําหรับฉันสมาทานแนวทางเศรษฐกิจทุนนิยม เสรีนิยม
เพราะฉันเป็นคนจำพวกไม่ต้องการให้รัฐบาลมีอำนาจมากเกินไป ไม่ต้องการให้รัฐบาลเป็น strong state เท่าๆ กับที่ไม่ต้องการให้รัฐราชการเข้มแข็ง เท่าๆ กับไม่เอาตุลาการภิวัฒน์ ที่มีศาล มีองค์กรอิสระ มีเทคโนแครต มากำกับดูแลการทำงานของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งจนง่อยเปลี้ยเสียขา เป็นรัฐบาลไร้น้ำยา ซึ่งสิ่งนี้คือปัญหาที่สังคมไทยเจออยู่ ณ ปัจจุบันนี้
ปัญหาของสังคมไทย และความเหลื่อมล้ำทุกมิติ รวมไปถึงปัญหาที่ดิน สำหรับฉันมันต้องเริ่มจากที่เราเข้าใจตรงกันว่า เราเลือกทางทุนนิยมประชาธิปไตย เราต้องไม่ตีโจทย์ผิดไปที่การ “ทลายทุนผูกขาด” ว่า เท่ากับการ “ทลายนายทุน”
ปัญหาของประเทศไทย ไม่ได้อยู่ที่ “นายทุน” แต่อยู่ที่ระบบราชการ และอยู่ที่สังคมไทยเองชอบเข้าข้างอำนาจของ “คนดี”
เช่น มองว่าธนาคารแห่งประเทศไทยน่าเชื่อถือกว่ารัฐบาล มองว่าข้าราชการดีกว่านักการเมือง มองว่าศาลและองค์กรอิสระ “ดี” และ “น่าเชื่อถือ” กว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ดีกว่านักการเมือง
ถ้าตีโจทย์ตรงนี้ไม่แตก เราจะโยนขี้ทุกก้อนไปที่รัฐบาล นักการเมือง และนายทุน แล้วเสพวาทกรรมนักการเมืองเอื้อนายทุนซ้ำไปซ้ำมาแบบเพจของเอ็นจีโอไทยที่หากินกับเรื่องพวกนี้และพร้อม simplified ทุกปัญหาไปที่ “ทุนเจ้าสัว” ทั้งๆ ที่ปัญหามันซับซ้อนกว่านั้นมาก
เมื่อไหร่ก็ตามที่สังคมไทยหันมายอมรับอำนาจรัฐของตัวแทนประชาชนที่มาจากการเลือกตั้งเหนือสิ่งอื่นใด
เมื่อนั้นแหละที่รัฐบาลจะเริ่มปลดล็อกกฎหมายที่เอื้อให้เกิดความเหลื่อมล้ำในการถือครองและเข้าถึงทรัพยากรทุกอย่างในประเทศนี้ทั้งดิน น้ำ ลม ไฟ และการปลดล็อกคเรื่องนี้
ไม่ต้องเขียนกฎหมายอะไรเพิ่มแต่คือการยกเลิกกฎหมายนับหมื่นนับพันฉบับที่เป็นพันธนาการ มัดมือมัดเท้าสามัญชนคนตัวเล็กให้ปราศจากซึ่งสิทธิในการเข้าถึงที่ดิน น้ำ ป่า และพลังงานต่างหาก
ทางออกของปัญหาที่ดินในประเทศไทยคือการยกเลิกกฎหมาย ไม่ใช่ “เขียนกฎหมาย” ไม่ต้องยึดที่ดินนายทุน ที่ดินของ “ราชการ” ควรได้รับการปฏิรูปให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ให้ราชการคายที่ดินในมือของตัวเองออกมา มหาวิทยาลัยที่มีที่ดินเยอะๆ ควรมีแบบแผนการพัฒนาให้เอื้อประโยชน์ต่อชุมชนมากกว่าแสวงหากำไร
และฉันยืนยันว่า ยกเว้นป่าต้นน้ำ ป่าที่เป็นอุทยานแห่งชาติที่สำคัญควรนำมา privatized ให้เอกชนบริหารจัดการ โดยรัฐกำกับดูแล เช่น ให้ทำเป็นอุตสาหกรรมป่าไม้ หรือต้องพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ตามพิมพ์เขียวที่กำหนดไว้เท่านั้น
ส่วนคนจนในเมืองให้รัฐบาลทำ public housing อย่างจริงจัง โดยไปเอาภาษีจาก “นายทุน” ที่รัฐก็สนับสนุน ส่งเสริมนั่นแหละ
หรือที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย ควรถูกนำมาพัฒนาเหมือนธุรกิจอสังหาฯ อย่างเช่น ธุรกิจฮังคิวของญี่ปุ่นที่ลงทุนกับรถไฟโดยมีเป้าที่แท้จริงเป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ริมทางรถไฟทั้งหมด เป็นต้น
ในชนบทสิ่งที่เรียกว่านิคมสร้างตนเอง ควรถูกนำมาปัดฝุ่นให้ทันสมัย สร้างแรงจูงใจให้คนรุ่นใหม่ไปทำการเกษตรนวัตกรรม เอไอ ไฮเทคโนโลยี เป็นต้น
ย้ำ เราต้องการยกเลิกกฎหมาย ปลดปล่อยศักยภาพประชาชน มากกว่าเพิ่มกฎหมายแล้วเพิ่มอำนาจรัฐ ดังที่ปรากฏในร่างกฎหมายที่ดินของก้าวไกล
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022