
จากวิกฤตสู่วิสัยทัศน์ : เมื่อผู้นำทั่วโลกพบกันที่เกาหลีใต้ก่อนเลือกตั้ง

บทความพิเศษ | พิธา ลิ้มเจริญรัตน์
จากวิกฤตสู่วิสัยทัศน์
: เมื่อผู้นำทั่วโลกพบกันที่เกาหลีใต้ก่อนเลือกตั้ง
ผมเดินทางมาร่วมประชุม Asia Leadership Conference (ALC) 2025 ที่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งจัดขึ้นโดย Chosun Ilbo หรือ Chosun Media สื่อเก่าแก่ที่สุดของประเทศที่มีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางเศรษฐกิจ สังคม และประชาธิปไตยของเกาหลีมาตลอดศตวรรษที่ผ่านมา
ALC ไม่ใช่เพียงเวทีประชุมเชิงวิชาการ แต่เป็นสนามแห่งวิสัยทัศน์ระดับภูมิภาคที่โลกจับตามอง ผู้ร่วมเวทีในอดีตมีทั้ง George W. Bush, David Cameron, Nicolas Sarkozy, Ban Ki-moon, Goh Chok Tong, Sanna Marin, รวมถึงนักคิดอย่าง Henry Kissinger, Joseph Nye, Fareed Zakaria, และ Thomas Friedman สะท้อนให้เห็นว่า ALC ไม่ใช่แค่เวทีของเอเชีย แต่คือเวทีที่เอเชียพูดกับโลก
ปีนี้ ผู้นำรุ่นใหม่อย่าง Rishi Sunak อดีตนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร, Raghav Chadha นักการเมืองอินเดียจากพรรค AAP และศาสตราจารย์ James A. Robinson ผู้ร่วมเขียน Why Nations Fail ก็เดินทางมาร่วมพูดในเวทีเดียวกัน ในฐานะผู้สังเกตการณ์จากอาเซียน
ผมยิ่งตระหนักถึงความสำคัญของ ALC ในฐานะสนามทดสอบแนวคิดใหม่ๆ ที่สะท้อนถึง “อนาคตใหม่แห่งเอเชีย”
การมาถึงเกาหลีใต้ของผมครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของหลายระดับ ทั้งระดับประเทศ ภูมิภาค และระดับโลก
ในระดับประเทศ เกาหลีใต้กำลังเข้าสู่การเลือกตั้งประธานาธิบดีพิเศษในวันที่ 3 มิถุนายน 2025 หลังจากเผชิญวิกฤตรัฐธรรมนูญเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งประชาชนจะได้มีโอกาสกำหนดอนาคตของตนเองอีกครั้ง ผ่านการลงคะแนนเสียง
ในระดับภูมิภาค เอเชียตะวันออก เอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กำลังเผชิญแรงกดดันจากการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจโลก ไม่ว่าจะเป็นการแย่งชิงห่วงโซ่อุปทานด้านเทคโนโลยี การตั้งกำแพงภาษี หรือความไม่แน่นอนของระบบพันธมิตรเดิม ประเทศต่างๆ ในภูมิภาคจำเป็นต้องคิดใหม่ถึงการร่วมมือในแบบที่พึ่งตนเองได้มากขึ้น ไม่ใช่แค่เลือกข้าง
ในระดับโลก โลกของเรากำลังเผชิญวิกฤตไร้พรมแดน ทั้งสภาพอากาศสุดขั้ว สังคมสูงวัย และการแพร่กระจายของข้อมูลเท็จ ที่ไม่สามารถจัดการได้ด้วยรัฐชาติเดียวอีกต่อไป
เอเชียจึงไม่ได้เป็นเพียงเวทีของความขัดแย้ง หากแต่เป็น “จุดเริ่มต้นของความร่วมมือใหม่”
สิ่งที่ผมตั้งใจจะเรียนรู้มากที่สุดจากเกาหลีใต้ คือเหตุใดประชาชนจึงรักและปกป้องประชาธิปไตยของพวกเขาอย่างลึกซึ้ง
ผมและผู้อ่านหลายท่านคงได้ติดตามบทสัมภาษณ์ของ ศ. James A. Robinson บน BBC Thai ที่พูดถึงความคล้ายคลึงระหว่างประเทศไทยกับเกาหลีใต้ในยุค 1980 ทั้งสองประเทศในเวลานั้นมี GDP ต่อหัวใกล้เคียงกัน มีโครงสร้างเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเกิดใหม่คล้ายคลึงกัน และต่างก็เคยเผชิญรัฐประหารหลายครั้ง
แต่เกาหลีใต้ค่อยๆ หลุดพ้นจากวงจรอำนาจนิยมด้วยพลังของประชาชน
บทเรียนสำคัญในประวัติศาสตร์เกาหลีใต้มาจาก 4 เหตุการณ์หลักที่ทำลายวงจรของเผด็จการ ได้แก่
เหตุการณ์ล้อมปราบที่กวางจู (1980) ซึ่งปลุกจิตสำนึกประชาชนทั่วประเทศให้ไม่ยอมจำนนต่ออำนาจที่ไร้ความชอบธรรม
การประท้วงขับไล่เผด็จการในปี 1987 ที่นำไปสู่การจัดตั้งรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน
การเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกปี 1988 ซึ่งบังคับให้รัฐบาลต้องปรับตัวสู่การเปิดประเทศ
และสุดท้ายคือการสร้างระบบสื่อและภาคประชาสังคมที่มีอิสระและมีพลังในการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง
เกาหลีใต้จึงไม่เพียงเป็นประเทศที่ “เลือกประชาธิปไตย” ได้สำเร็จ แต่ยังเป็นประเทศที่ “ปกป้องประชาธิปไตย” ได้ตลอด 3 ทศวรรษที ผ่านมาแล้วทุกท่านคงทราบดีว่าปีที่แล้วประชาธิปไตยของเกาหลีโดน ทดสอบอย่างหนักด้วยประธานาธิบดีที่ถูกเลือกมาโดยประชาชนเอง (democratic resilenece test of South Korea)
เมื่อปลายปี 2024 ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ยุน ซอก-ยอล (Yoon Suk-yeol) ได้ประกาศกฎอัยการศึกเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม โดยอ้างว่ารัฐสภาถูกควบคุมโดย “กลุ่มต่อต้านรัฐ” ทำให้เกิดแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ในสังคมและรัฐธรรมนูญ
วันที่ 14 ธันวาคม 2024 รัฐสภาเกาหลีใต้ลงมติถอดถอนประธานาธิบดียุน ซอก-ยอล และในวันที่ 4 เมษายน 2025 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ให้พ้นจากตำแหน่ง ซึ่งนำไปสู่การจัดการเลือกตั้งพิเศษในวันที่ 3 มิถุนายน 2025
ในช่วงเวลานี้ ปะเหมาะเคราะห์ดี ผมมีโอกาสเป็นผู้ดำเนินรายการใน session พิเศษร่วมกับฮัน ด็อก-ซู (Han Duck-soo) อดีตนายกรัฐมนตรีเกาหลีใต้สองสมัย รวมถึงเป็นนายกฯ ในช่วงของประธานาธิบดียุน ซอก-ยอล ด้วย เขาจึงอยู่ใจกลาง เบื้องหลังวิกฤตการเมืองเมื่อปลายปีที่แล้ว ทั้งในฐานะอดีตผู้นำฝ่ายบริหาร และหนึ่งในสักขีพยานของประชาธิปไตยที่ถูกท้าทายอย่างรุนแรง
เราได้แลกเปลี่ยนกันถึงบทเรียนในอดีต และสิ่งที่อาจเกิดขึ้นต่อไปในปีที่สำคัญนี้ของเกาหลีใต้
อดีตนายกรัฐมนตรีฮัน ด็อก-ซู (Han Duck-soo) ของเกาหลีใต้มีบทบาทสำคัญในวิกฤตการเมืองช่วงปลายปี 2024 ถึงต้นปี 2025 หลังจากประธานาธิบดียุน ซอก-ยอล (Yoon Suk-yeol) ประกาศกฎอัยการศึกเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2024 ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักและนำไปสู่การถอดถอนในวันที่ 14 ธันวาคม ฮัน ด็อก-ซู ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรักษาการประธานาธิบดี
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2024 ฮันถูกสภานิติบัญญัติถอดถอนจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยกล่าวหาว่าเขาขัดขวางการแต่งตั้งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและไม่สนับสนุนการสืบสวนประธานาธิบดียุนและภริยา
แต่ต่อมา เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2025 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 7 ต่อ 1 ยกเลิกการถอดถอนฮัน ด็อก-ซู โดยระบุว่าการกระทำของเขาไม่ร้ายแรงพอที่จะนำไปสู่การถอดถอน
หลังจากนั้น ฮัน ด็อก-ซู กลับมาดำรงตำแหน่งรักษาการประธานาธิบดีอีกครั้ง แต่ในวันที่ 1 พฤษภาคม 2025 เขาลาออกจากตำแหน่งเพื่อเตรียมลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีในการเลือกตั้งพิเศษวันที่ 3 มิถุนายน 2025
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม เขาประกาศถอนตัวจากการแข่งขันและสนับสนุนคิม มุน-ซู (Kim Moon-soo) ผู้สมัครจากพรรคพลังประชาชน (People Power Party) เพื่อหลีกเลี่ยงการแตกแยกของคะแนนเสียงฝ่ายอนุรักษนิยม
ปัจจุบัน ฮัน ด็อก-ซู ไม่ได้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆ แต่ยังคงมีบทบาทในฐานะผู้มีอิทธิพลทางการเมืองและเศรษฐกิจของเกาหลีใต้
การเลือกตั้งครั้งนี้จึงมีผู้สมัครหลัก 4 คน ได้แก่:
– Lee Jae-myung (อายุ 60) – พรรคประชาธิปัตย์ (Democratic Party) :
อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดคย็องกี และอดีตผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2022 เสนอนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านเทคโนโลยี AI, การลงทุนในอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ และนโยบายต่างประเทศที่เน้นความสมดุลระหว่างจีนและสหรัฐ
– Kim Moon-soo (อายุ 72) – พรรคพลังประชาชน (People Power Party) :
สายอนุรักษนิยม อดีตรัฐมนตรีกระทรวงแรงงาน สนับสนุนการลดภาษี การเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหม และความร่วมมือที่แนบแน่นยิ่งขึ้นกับสหรัฐอเมริกา
– Lee Jun-seok (อายุ 40) – พรรคปฏิรูปใหม่ (New Reform Party) :
ผู้นำการเมืองรุ่นใหม่ เสนอนโยบายเปิดพื้นที่ทางการเมืองให้กับคนรุ่นใหม่ เน้นการลดความขัดแย้งทางการเมือง และเร่งปฏิรูปการศึกษา-เทคโนโลยี เพื่อเตรียมประเทศสู่ยุคใหม่
– Kwon Yeong-guk (อายุ 54) – พรรคแรงงานประชาธิปไตย (Democratic Labor) :
นักกฎหมายด้านสิทธิมนุษยชน ผู้ผลักดันนโยบายรัฐสวัสดิการแบบสแกนดิเนเวีย เสนอการปฏิรูประบบภาษี การต่อต้านการเลือกปฏิบัติ และการออกกฎหมายสิทธิพลเมืองที่เข้มแข็ง
ผลสำรวจล่าสุดระบุว่า Lee Jae-myung นำอยู่ด้วยคะแนน 45% ตามมาด้วย Kim Moon-soo ที่ 36% แต่ช่องว่างนี้ยังไม่ขาด และขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในช่วงโค้งสุดท้าย
เวที ALC ปีนี้ทำให้ผมตระหนักว่า ไม่มีประชาธิปไตยใดจะปลอดภัยโดยอัตโนมัติ และไม่มีประเทศใดที่ล้มเหลวอย่างถาวร หากยังมีประชาชนที่กล้าเงยหน้าขึ้นสู้ และผู้นำที่กล้าฟังเสียงของพวกเขา
เกาหลีใต้ในวันนี้จึงไม่ใช่แค่ประเทศที่รอดจากวิกฤต แต่คือคำเตือนและแรงบันดาลใจให้กับทุกประเทศที่ยังคงต่อสู้เพื่ออนาคตของประชาธิปไตย โดยเฉพาะประเทศไทยของเรา
มาตามการเลือกตั้งครั้งสำคัญของประเทศเกาหลีใต้และส่งกำลังใจให้ฝ่ายประชาธิปไตยของกันและกัน นะครับ!
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022
เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต



