bg-single

ทําไมสวัสดิการเด็กในไทย ถึงไม่พัฒนา

02.06.2025

ฝนไม่ถึงดิน | ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี

 

ทําไมสวัสดิการเด็กในไทย

ถึงไม่พัฒนา

 

เมื่อเราพูดถึงเรื่องเด็ก เรามักได้ยินคำใหญ่ๆ ว่าเด็กคืออนาคตของสังคม เป็นอนาคตแรงงาน เป็นแสงสว่างแห่งการเปลี่ยนแปลง

แต่เมื่อพิจารณาแล้วเราจะพบว่า สวัสดิการด้านเด็กพัฒนาไปอย่างล่าช้า

ขณะที่สวัสดิการเรื่องคนแก่ เรื่องรักษาพยาบาล ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

แต่สวัสดิการเด็กไม่วาในมิติใด ตั้งแต่เงินเด็กที่รัฐบาลให้สัญญาว่าจะพัฒนาสู่ระบบถ้วนหน้า แต่สุดท้ายก็ไม่มีการตั้งงบประมาณ เพื่อจัดสรรนโยบายนี้ เช่นเดียวกับเงินเด็กของประกันสังคมที่ปรับเพิ่มอย่างล่าช้า

คำถามเพราะอะไร เรื่องสวัสดิการเด็กที่ใครๆ ก็พร่ำบอกว่าสำคัญถึงพัฒนาอย่างล่าช้า

ข้อมูลจากกรมกิจการเด็กและเยาวชนปี 2567 ระบุว่า ประเทศไทยมีเด็กอายุ 0-17 ปี จํานวน 11.8 ล้านคน คิดเป็น 17% ของประชากรทั้งหมด

แต่งบประมาณที่จัดสรรให้กับการพัฒนาเด็กโดยตรงมีเพียง 2.3% ของงบประมาณแผ่นดิน ขณะที่งบฯ ด้านผู้สูงอายุได้รับการจัดสรรถึง 8.7%

เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดที่รัฐบาลให้เดือนละ 600 บาท ตั้งแต่ปี 2558 จนถึงปัจจุบันไม่มีการปรับเพิ่ม ทั้งที่ค่าครองชีพเพิ่มขึ้นกว่า 15%

ส่วนเงินช่วยเหลือบุตรจากประกันสังคมที่ 800 บาทต่อเดือน ก็ปรับเพิ่มจาก 600 บาทเมื่อปี 2565 หลังจากค้างอยู่ที่ 600 บาทมานานกว่า 8 ปี

กระทั่งคณะกรรมการจากการเลือกตั้ง ได้ผลักดันให้เงินเด็กปรับเพิ่มขึ้นเป็น 1,000 บาท ในปี 2568

ปัญหาที่ซับซ้อนกว่าที่คิด

 

ปัญหาที่ทําให้สวัสดิการเด็กไม่พัฒนามีหลายชั้น

เริ่มจากประเด็นง่ายๆ ที่มีผลอย่างมากคือเด็กไม่มีสิทธิเลือกตั้ง เมื่อพวกเขาไม่สามารถลงคะแนนเสียง ไม่มีอํานาจต่อรองทางการเมือง นโยบายที่ดูแลเด็กจึงไม่ใช่ความสำคัญลำดับแรกของนักการเมือง

ต่างจากผู้สูงอายุที่มีสิทธิเลือกตั้งและมีจํานวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันมีผู้สูงอายุ 12 ล้านคน และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 20 ล้านคนในอีก 10 ปีข้างหน้า พวกเขาคือฐานเสียงที่นักการเมืองต้องเอาใจ

ปัญหาต่อมาคือเรื่องของเวลา การลงทุนในเด็กเหมือนปลูกต้นไม้ ต้องรอ 15-20 ปีกว่าจะเห็นผล ขณะที่การให้สวัสดิการผู้สูงอายุหรือการรักษาพยาบาลเห็นผลทันที

นักการเมืองที่มีวาระ 4 ปี จึงเลือกนโยบายที่ “เห็นผลเร็ว” เพราะมันช่วยให้ได้คะแนนเสียงในการเลือกตั้งครั้งต่อไป

การลงทุนระยะยาวในเด็กจึงไม่น่าสนใจสําหรับพวกเขา

ที่ซับซ้อนไปกว่านั้นคือความเชื่อที่ฝังแน่นในสังคมไทย เรายังติดอยู่กับความคิดว่า “เลี้ยงลูกเป็นเรื่องของครอบครัว” ไม่ใช่หน้าที่ของรัฐ ทําให้การผลักดันนโยบายสวัสดิการเด็กถูกมองว่าเป็นการ “ตามใจ” หรือ “สร้างภาระให้รัฐ”

ทั้งที่ประเทศที่พัฒนาแล้วมองว่าการลงทุนในเด็กคือการลงทุนในอนาคตของประเทศ ไม่ใช่แค่เรื่องส่วนตัวของแต่ละครอบครัว

หรือบางกลุ่มก็อาจรับข้อมูลที่ผิดพลาดบิดเบือนว่า สวัสดิการเด็กให้ประโยชน์แก่แรงงานข้ามชาติ

ซึ่งนอกจากขัดกับหลักสิทธิมนุษยชนแล้วยังขัดกับข้อเท็จจริงด้วยว่าสวัสดิการเด็กร้อยละ 98 เป็นสวัสดิการที่ให้ประโยชน์แก่เด็กและพ่อแม่สัญชาติไทย

 

สุดท้ายคือปัญหาเชิงโครงสร้าง หน่วยงานที่ดูแลเด็กในไทยกระจายอยู่หลายกระทรวง ตั้งแต่กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

ทําให้ขาดการบูรณาการและทิศทางที่ชัดเจน แต่ละหน่วยงานทํางานแยกส่วน ไม่มีใครรับผิดชอบภาพรวม งบประมาณกระจัดกระจาย นโยบายไม่ต่อเนื่อง

และที่สําคัญคือไม่มีใครต้องรับผิดชอบเมื่อสวัสดิการเด็กไม่ก้าวหน้า

พอมองที่ข้อมูลเชิงประจักษ์เด็กไทย 21% อยู่ในครอบครัวยากจน 15% ประสบปัญหาทุพโภชนาการ 8% ไม่ได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐาน

ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนว่าเรากําลังสูญเสียศักยภาพของคนรุ่นใหม่ ที่จะต้องมาแบกรับภาระประเทศในอนาคต งานวิจัยจำนวนมากระบุถึงตัวทวีคูณในการลงทุนในเด็กว่า การลงทุน 1 บาทในการพัฒนาเด็กปฐมวัย จะได้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจถึง 7 บาทในระยะยาว

แต่ข้อมูลนี้ดูเหมือนไม่มีใครสนใจ

ประเทศที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาสวัสดิการเด็กมักมีแนวคิดที่ชัดเจนว่า “เด็กคือทรัพย์สินของชาติ” ไม่ใช่แค่เรื่องของครอบครัว

ฟินแลนด์ที่มีระบบ “Baby Box” ให้กับทารกแรกเกิดทุกคน ประกอบด้วยเสื้อผ้า ผ้าห่ม และอุปกรณ์จำเป็นมูลค่ากว่า 5,000 บาท พร้อมเงินอุดหนุนเด็ก 3,500 บาทต่อเดือนจนอายุ 17 ปี

ผลคือฟินแลนด์มีอัตราการตายของทารกต่ำที่สุดในโลก และเด็กมีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุด

เกาหลีใต้ที่เคยมีปัญหาคล้ายไทย ได้ปฏิรูประบบสวัสดิการเด็กครั้งใหญ่เมื่อปี 2013 ด้วยการตั้ง “Ministry of Gender Equality and Family” ที่ดูแลนโยบายเด็กและครอบครัวแบบบูรณาการ เพิ่มเงินอุดหนุนเด็กจาก 3,000 เป็น 10,000 บาทต่อเดือน

พร้อมระบบ childcare ที่รัฐสนับสนุน 80% ของค่าใช้จ่าย ผลคือคุณภาพชีวิตเด็กเกาหลีดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดภายใน 10 ปี

 

การแก้ปัญหานี้ต้องเริ่มจากการเปลี่ยนมุมมอง เด็กไม่ใช่ “ภาระ” แต่เป็น “การลงทุน” ต้องมีหน่วยงานกลางที่ดูแลนโยบายเด็กแบบบูรณาการ มีการตั้งเป้าหมายระยะยาวที่เป็นรูปธรรม

ไม่ใช่แค่ประกาศนโยบายแล้วทิ้ง

ที่สําคัญคือต้องสร้างกลไกให้เสียงของเด็กและครอบครัวถูกรับฟัง อาจผ่านองค์กรภาคประชาสังคม

หรือการมีตัวแทนที่พูดแทนเด็กในระดับนโยบาย ไม่ใช่ปล่อยให้เด็กเป็นแค่ “กลุ่มเงียบ” ที่ไม่มีใครได้ยินเสียง

รัฐบาลใช้จ่ายงบประมาณมหาศาลกับงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น แต่ปฏิเสธการตั้งงบประมาณเด็กถ้วนหน้า

เช่นเดียวกันกับสำนักงานประกันสังคมที่มีงบประมาณด้านการบริหารจัดการมหาศาล ใช้จ่ายกับการประชาสัมพันธ์ ปฏิทินราคาหลายสิบล้าน รถผู้บริหารราคาแพงที่ใช้เวลาในการดำเนินงานไม่นานนัก

แต่เรื่องเงินเด็กกลับขยับอย่างเชื่องช้า

เป็นสิ่งที่น่าเศร้าสำหรับสวัสดิการเด็กในประเทศเรา



เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต

พาณิชย์เดินหน้า…จัดงานประชุมสัมมนามันสำปะหลังโลก ยกระดับมันสำปะหลังไทย ขยายตลาดส่งออก ดันเศรษฐกิจฐานรากเติบโต
“รองฯตี๋ ”สั่งสืบ 8 รวบแก็งแว้น ย่านตลาดบางปะกอก เหตุรวมตัวมั่วยา ส่งเสียงดังก่อความรำคาญ กำชับท้องที่กวดขัน คาดโทษหากเกียร์ว่าง
ปักธง เทียนวรรณ เปิดโฉม บุรุษรัตน์ สามัญชน จาก ‘ศรีบูรพา’
ปรีดี แปลก อดุล : คุณธรรมน้ำมิตร (74)
‘โฉมหน้าของศักดินาภิวัตน์ในปัจจุบัน’ (2)
เดินหน้าสู่ปีที่ 4 (21) ความตายจากฟากฟ้า
เมษา พฤษภา 2553 ประสาน 2 การเคลื่อนไหวใหญ่ ระหว่าง รัฐบาล กับ คนเสื้อแดง
มนุษย์เป็นเพียงผลลัพธ์ของเหตุบังเอิญ
ปฏิบัติการเหมันต์ทมิฬ (2) (Operation Dark Winter)
การเล่นกอล์ฟช่วยให้มีอายุยืน จริงหรือไม่?
33 ปี ชีวิตสีกากี พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ (132)
ตามไปดูการใช้ AI ในโรงเรียน ‘ญี่ปุ่น’