bg-single

ปรากฏการณ์ฟื้นคืน ของตระกูลทางการเมือง

09.06.2025

Agora | กฤตภาศ ศักดิษฐานนท์

วิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

www.facebook.com/bintokrit

ปรากฏการณ์ฟื้นคืน

ของตระกูลทางการเมือง

การเมืองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทุกวันนี้มีทิศทางที่ปรากฏให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ว่าอยู่ในกระแสการฟื้นคืนของ “ตระกูลทางการเมือง” (Political Dynasty) คือการที่บางตระกูลมีอำนาจและอิทธิพลเหนือกว่าประชาชนทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด โดยขยายเครือข่ายอำนาจแบบกระจุกตัวอยู่ในวงศ์วานว่านเครือ และส่งต่ออำนาจไปสู่ทายาทราวกับสืบทอดมรดก

สภาพการณ์เช่นนี้ขัดแย้งกับอุดมคติของประชาธิปไตยภายใต้หลักการเรื่อง “ความเสมอภาคทางการเมือง”

เนื่องจากพื้นฐานของสังคมประชาธิปไตยนั้นมุ่งหวังให้ประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจที่แท้จริงสามารถเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมืองผ่านกลไกต่างๆ อย่างเป็นธรรม ไม่เอื้อต่อใครคนใดคนหนึ่งเป็นพิเศษ โดยเปิดกว้างให้แก่คนทั่วไปได้ใช้ความรู้ความสามารถที่มีอยู่อาสาเข้ามาทำงานตามวาระ

แม้ว่าอิทธิพลของตระกูลทางการเมืองจะดูไปด้วยกันไม่ได้กับหลักการประชาธิปไตยก็ตาม ทว่า ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กลับแสดงให้เห็นถึงกระแสการฟื้นคืนอำนาจจากตระกูลการเมืองต่างๆ อย่างเด่นชัด

เช่น ตระกูลดูเตอร์เต้กับมาร์กอสในฟิลิปปินส์ ตระกูลฮุนในกัมพูชา ตระกูลลีในสิงคโปร์ ตระกูลซูการ์โนในอินโดนีเซีย ตระกูลราซัคในมาเลเซีย และตระกูลชินวัตรในไทย ฯลฯ

ซึ่งแนวโน้มนี้ไม่เป็นผลดีต่อระบอบประชาธิปไตย

ดร.โซฟี ลูเมียร์ (Dr.Sophie Lemiere) นักมานุษยวิทยาการเมือง (political anthropologist) แห่ง College de France กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาเลเซีย ได้วิเคราะห์เรื่องนี้ไว้ในบทความเรื่อง “Political dynasties are making a comeback in Southeast Asia. Here’s why it matters” เผยแพร่ทางเว็บไซต์ของสำนักข่าว Channel News Asia ประเทศสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา

ตามลิงก์ https://www.channelnewsasia.com/commentary/political-family-southeast-asia-marcos-megawati-paetongtarn-5131906

ลูเมียร์มองว่าปรากฏการณ์ของตระกูลทางการเมืองที่ยึดกุมบทบาทนำในประเทศไม่ใช่ลักษณะเฉพาะของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เท่านั้น หากแต่เกิดขึ้นทั่วโลก

ประเทศประชาธิปไตยอื่นๆ ต่างก็มีตระกูลทางการเมืองที่ทรงอิทธิพลในประเทศของตนเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นตระกูลเคนเนดี้ บุช และคลินตันในสหรัฐอเมริกา ตระกูลทรูโดในแคนาดา ตระกูลเลอเปนในฝรั่งเศส ตระกูลเนห์รูและตระกูลคานธีในอินเดีย เป็นต้น

แต่ถึงจะพบเห็นได้ทั่วไปก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นสิ่งดีที่ควรยอมรับ

ปัญหาของการเมืองในแบบนี้ก็คือกลายเป็นพื้นที่ขับเคี่ยวช่วงชิงอำนาจกันระหว่างตระกูลทางการเมืองต่างๆ แทนที่กระบวนการนิติบัญญัติและการออกนโยบายสาธารณะจะเป็นเรื่องที่มุ่งไปสู่ผลประโยชน์ส่วนรวมของทุกคนในประเทศเป็นหลัก

ตัวอย่างเช่นในฟิลิปปินส์ซึ่งมีตระกูลการเมืองจำนวนมากลงชิงชัยในสนามเลือกตั้งล่าสุดในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ทำให้นโยบายต่างๆ ดูเป็นเรื่องของการชิงไหวชิงพริบในหมู่ชนชั้นนำด้วยกันเอง

มิใช่การแก้ปัญหาส่วนรวมหรือนโยบายพื้นฐานของประชาชนทุกคน

การเมืองฟิลิปปินส์สะท้อนภาพเช่นนี้ออกมาอย่างต่อเนื่องในปีนี้ จากผลการเลือกตั้งที่ผ่านมาซึ่งแสดงให้เห็นอิทธิพลของตระกูลการเมืองอย่างเด่นชัด

จากการที่อดีตประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตอร์เต้ (Rodrigo Duterte) คว้าชัยในบ้านเกิดจากการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีเมืองดาเวา (Davao) แม้ว่าตัวเขาเองจะถูกดำเนินคดีที่ศาลอาญาโลก ณ กรุงเฮก ข้อหาก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ (crimes against humanity) ก็ตาม แต่ฐานเสียงของเขาก็ดูจะไม่นำพา

ลูกชายคนสุดท้องของดูเตอร์เต้ก็ได้ดำรงตำแหน่งรองนายกเทศมนตรี ส่วนลูกชายคนโตได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ขณะที่หลานชายอีกสองคนก็ได้รับตำแหน่งสำคัญในเทศบาลดาเวา รวมทั้งลูกสาวซึ่งได้เป็นรองประธานาธิบดีของฟิลิปปินส์ด้วย

ไม่เพียงแต่ตระกูลดูเตอร์เต้เท่านั้นที่เล่นการเมืองกันทั้งบ้าน แต่ตระกูลอื่นๆ ก็เช่นกัน ตระกูลมาร์กอสหวนกลับมาสู่บัลลังก์อำนาจแบบยกขบวนตั้งแต่ปี 2565 โดยตำแหน่งผู้นำประเทศตกเป็นของประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ หรือ “บองบอง” ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นพันธมิตรกับตระกูลดูเตอร์เต้ ก่อนเกิดความขัดแย้งกระทั่งกลายมาเป็นศัตรูกันในปัจจุบัน และนำไปสู่การแบ่งขั้วแตกแยกในหมู่ประชาชน

นอกจากนั้น การกลับคืนสู่อำนาจของตระกูลมาร์กอสยังเป็นความพยายามเขียนประวัติศาสตร์ใหม่ หลังตกเป็นผู้ร้ายในสายตาชาวโลกอยู่หลายสิบปีนับจากความพ่ายแพ้ด้วยการลุกฮือของประชาชนเมื่อปี 2529

อีกทั้งยังก่อกระแสถวิลหาเสถียรภาพและความสงบเรียบร้อย จนหลงลืมแง่มุมเลวร้ายของเผด็จการในอดีต

ลักษณะของตระกูลทางการเมืองไม่ได้ขึ้นอยู่กับเพศแต่อยู่ที่เลือดเนื้อเชื้อไข ดังนั้น ทายาทอาจเป็นชายหรือหญิงก็ได้ทั้งนั้น

เห็นได้จากนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของไทยคือแพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวคนเล็กของทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

ในขณะที่อินโดนีเซียก็มีนางเมกาวตี ซูการ์โนบุตรี ที่เคยดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเช่นเดียวกับบิดาของเธอ

ในขณะที่ประเทศอื่นๆ มีบุตรชายอดีตผู้นำที่ได้สืบทอดตำแหน่งผู้นำในกาลต่อมา เช่น ฮุน มาเนต ที่ตามหลังฮุน เซน ในกัมพูชา นาจิบ ราซัค ตามหลังอับดุล ราซัค ในมาเลเซีย และเฟอร์ดินาน มาร์กอส จูเนียร์ ที่ตามหลังเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส ในฟิลิปปินส์

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าสตรีจะขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดได้แต่ก็ต้องรับแรงกดดันจากสังคมการเมืองที่รายล้อมไปด้วยบุรุษแทบทั้งหมด

ตระกูลการเมืองมีที่มาหรือ “ราก” จากการกำเนิด “รัฐสมัยใหม่” ที่สถาปนาระบบบริหารราชการซึ่งแต่เดิมไม่เคยมี ระบบราชการนั้นอิงอยู่กับมาตรฐานความรู้ความสามารถที่ไม่ขึ้นกับความสัมพันธ์ส่วนตัว (meritocratic) แต่ในช่วงต้นของการวางระบบจำเป็นต้องอาศัยชนชั้นนำดั้งเดิมในการสถาปนาโครงสร้างนี้ให้ทำงานได้ จึงเกิดการประนีประนอมและผสมผสานระหว่างชนชั้นนำเดิมที่ถือครองทรัพยากรอยู่เข้ากับการบริหารจัดการระบบราชการแบบใหม่ ซึ่งเปิดพื้นที่ให้คนทั่วไปเข้ามาสู่ตำแหน่งแห่งหนทางราชการและการเมืองได้ในยุคแรก

และตระกูลทางการเมืองก็คือร่องรอยการปรับตัวและผสานอำนาจของชนชั้นนำทางเศรษฐกิจและการเมืองเข้าไปสู่กลไกที่ไม่อิงตัวบุคคลในยุคหลัง

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตระกูลทางการเมืองได้เปรียบและยังคงทรงอิทธิพลอยู่เสมอมี 3 ประการก็คือ

(1) การจดจำชื่อ (name recognition)

(2) การควบคุมทรัพยากร (resource control)

และ (3) เครือข่ายอุปถัมภ์ (patronage networks) ซึ่งทำให้เกิดความภักดีของผู้สนับสนุนผ่านการบริหารทรัพยากรที่เกื้อหนุนกันภายในเครือข่าย

ปัจจัยข้อแรกเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ไม่ยากเพราะประชาชนมีโอกาสเลือกคนจากนามสกุลที่คุ้นเคยมากกว่านามสกุลที่ไม่คุ้นหูอยู่แล้ว ต่อให้ไม่รู้จักผู้ลงสมัครเลยก็ตาม แต่ถ้าผู้นั้นใช้นามสกุลเดียวกับคนที่เขาเคยสนับสนุนมาก่อน ประชาชนก็มีแนวโน้มว่าจะกากบาทเลือกคนผู้นั้น

ปัจจัยข้อที่สองคือการที่นักการเมืองจัดสรรงบประมาณ โครงการ นโยบาย และผลประโยชน์ต่างๆ ลงไปสู่ฐานเสียงของตน จนหล่อเลี้ยงประชาชนให้เกิดความจงรักภักดีต่อผู้มีอำนาจ

โดยสัมพันธ์กับปัจจัยข้อที่สามที่เป็นการช่วยเหลือเกื้อหนุนกันระหว่างนักการเมืองและผู้สนับสนุนในระยะยาวเกิดเป็นเครือข่ายการอุปถัมภ์ที่พึ่งพาอาศัยกัน และยิ่งนานวันตระกูลทางการเมืองเหล่านั้นก็ยิ่งทรงอิทธิพลมากขึ้น

ลูเมียร์ยกตัวอย่างนโยบายประชานิยมของพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเกษตรกรรมและสาธารณสุข ซึ่งทำให้ผู้คนมหาศาลในพื้นที่ชนบทกลายมาเป็นฐานเสียงที่มั่นคงให้กับตระกูลชินวัตร

ตระกูลการเมืองทำให้เกิดปรากฏการณ์ “เด็กสร้างทางการเมือง” (political nepo-babies) ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ซึ่งมีอภิสิทธิ์เหนือผู้อื่น และเป็นทายาทของผู้นำการเมืองที่ยังทรงอิทธิพลในประเทศนั้นๆ อยู่ อันเป็นอุปสรรคต่อความเสมอภาคทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย

ลูเมียร์เสนอวิธีหยุดวงจรหรือทำลายวัฏจักรนี้ด้วยการปฏิรูประบบการเมือง เช่น การสร้างความเข้มแข็งให้พรรคการเมือง

การยุติกฎหมายที่เอื้อประโยชน์เฉพาะกลุ่ม ต่อต้านระบบอุปถัมภ์ ไม่เล่นพรรคเล่นพวก และเสริมสร้างพลังการเคลื่อนไหวในระดับรากหญ้า

รวมทั้งใช้เครื่องมืออื่นๆ ช่วย อย่างเช่นโซเชียลมีเดียในแพลตฟอร์มต่างๆ

แต่ลูเมียร์ก็ตระหนักดีว่าไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะตระกูลทางการเมืองก็ปรับตัวเก่งเช่นกัน ตัวอย่างเช่น ตระกูลมาร์กอสที่ฉวยใช้ TikTok เป็นเครื่องมือในการรณรงค์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

จึงค่อนข้างชัดเจนว่าแนวโน้มของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังอยู่ในกระแสฟื้นคืนของตระกูลการเมืองที่ทรงอิทธิพลเหนือประชาชนและทนทานจากการปรับตัวตามยุคสมัย

ทิศทางนี้ยังคงดำเนินต่อไป ส่วนจะนานเพียงใด

คงไม่มีใครตอบได้



เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต

พาณิชย์เดินหน้า…จัดงานประชุมสัมมนามันสำปะหลังโลก ยกระดับมันสำปะหลังไทย ขยายตลาดส่งออก ดันเศรษฐกิจฐานรากเติบโต
“รองฯตี๋ ”สั่งสืบ 8 รวบแก็งแว้น ย่านตลาดบางปะกอก เหตุรวมตัวมั่วยา ส่งเสียงดังก่อความรำคาญ กำชับท้องที่กวดขัน คาดโทษหากเกียร์ว่าง
ปักธง เทียนวรรณ เปิดโฉม บุรุษรัตน์ สามัญชน จาก ‘ศรีบูรพา’
ปรีดี แปลก อดุล : คุณธรรมน้ำมิตร (74)
‘โฉมหน้าของศักดินาภิวัตน์ในปัจจุบัน’ (2)
เดินหน้าสู่ปีที่ 4 (21) ความตายจากฟากฟ้า
เมษา พฤษภา 2553 ประสาน 2 การเคลื่อนไหวใหญ่ ระหว่าง รัฐบาล กับ คนเสื้อแดง
มนุษย์เป็นเพียงผลลัพธ์ของเหตุบังเอิญ
ปฏิบัติการเหมันต์ทมิฬ (2) (Operation Dark Winter)
การเล่นกอล์ฟช่วยให้มีอายุยืน จริงหรือไม่?
33 ปี ชีวิตสีกากี พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ (132)
ตามไปดูการใช้ AI ในโรงเรียน ‘ญี่ปุ่น’