

Agora กฤตภาศ ศักดิษฐานนท์
www.facebook.com/bintokrit
ประเมินสถานการณ์
ไทย-กัมพูชาจาก RLI
เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2568 สถาบันโรเบิร์ต แลนซิง (Robert Lansing Institute) หรือ RLI ประเทศสหรัฐอเมริกาได้ประเมินสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาเผยแพร่เป็นบทความเรื่อง “Rising Tensions Between Thailand and Cambodia : Causes, Scenarios, Consequences, and Foreign Interests” ทางเว็บไซต์ของสถาบัน RLI
โดยสถาบัน RLI แยกประเด็นวิเคราะห์ออกเป็น 4 ด้าน คือ
(1) สาเหตุของความตึงเครียดที่ทวีขึ้น (Causes of Growing Tensions)
(2) ฉากทัศน์ที่น่าจะเป็นหรือสถานการณ์ที่เป็นไปได้ (Possible Scenarios)
(3) ผลที่ตามมาในภูมิภาค (Consequences for the Region)
และ (4) ผลประโยชน์และกำลังของต่างชาติ (Foreign Forces and Interests)
ดังนี้
1.สาเหตุของความตึงเครียดที่ทวีขึ้น
สาเหตุที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาร้อนระอุขึ้นมาก็เนื่องจากปัจจัย 4 ประการ
อย่างแรกคือข้อพิพาทเรื่องดินแดนและประวัติศาสตร์ (Historical and Territorial Disputes) สืบเนื่องจากคดีปราสาทพระวิหารที่แม้ว่าศาลโลกจะตัดสินใจให้ตัวปราสาทเป็นของกัมพูชาไปแล้ว แต่ข้อขัดแย้งเรื่องดินแดนรอบปราสาทก็ยังคงอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการใช้วาทะโวหารกระตุ้นอารมณ์ชาตินิยมขึ้นก็ยิ่งทำให้สถานการณ์ลุกลามได้
อย่างที่สองการวางกำลังทหารตามแนวชายแดนและกิจกรรมผิดกฎหมายในบริเวณนั้น (Border Militarization and Illegal Activities) การที่กองทัพวางกำลังประชิดตะเข็บชายแดนและมีกิจกรรมผิดกฎหมายหลายอย่าง เช่น การลักลอบตัดไม้ การแอบขนส่งสินค้า การค้ามนุษย์ ฯลฯ ที่ดำเนินไปในแนวพรมแดนได้สร้างความตึงเครียดระหว่างสองประเทศ ทำให้ต่างฝ่ายต่างเผชิญหน้าในพื้นที่พิพาทซึ่งล่อแหลมต่อการปะทะ
อย่างที่สามคือความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและการขาดเสถียรภาพ (Political Changes and Domestic Instability) ทั้งไทยและกัมพูชาต่างก็มีปัญหาเรื่องเสถียรภาพทางการเมืองด้วยกันทั้งคู่ นอกจากนี้การปกครองในไทยยังได้รับอิทธิพลจากกองทัพ ในขณะที่กัมพูชาอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านผู้นำใหม่ ซึ่งฮุน มาเนต ทายาทของอดีตนายกรัฐมนตรีฮุน เซน ยังไม่สามารถสถาปนาอำนาจได้อย่างมั่นคงเหมือนบิดา
ทั้งสองชาติจึงมีแนวโน้มที่จะใช้แนวทางที่เน้นความมั่นคงและท่าทีแบบชาตินิยม ทำให้การทูตแบบทวิภาคีของสองประเทศมีความเปราะบาง ไม่สามารถสนองตอบปัญหาได้อย่างเหมาะสม
อย่างที่สี่คือประเด็นปัญหาด้านแรงงานและชาติพันธุ์ (Ethnic and Labor Issues) กัมพูชามองว่าไทยไม่ปฏิบัติต่อแรงงานกัมพูชาในประเทศไทยด้วยดี และเกิดกระแสต่อต้านกัมพูชาในหมู่คนไทยที่พุ่งสูงขึ้น
(บทความไม่ได้ให้ข้อมูลว่ามีกระแสชาวกัมพูชาต่อต้านไทยเช่นกัน อย่างเช่น การรณรงค์ให้แบนสินค้าไทย ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานแต่รุนแรง แต่เรื่องนี้ชาวไทยส่วนใหญ่ทราบดีอยู่แล้ว)
2.ฉากทัศน์ที่น่าจะเป็นหรือสถานการณ์ที่เป็นไปได้
RLI คาดการณ์ว่ามี “ฉากทัศน์” (Scenario) ที่เป็นไปได้ 4 แบบ คือ
ฉากทัศน์ที่ 1 คือความสัมพันธ์ทางการทูตเพิ่มความตึงเครียดแต่ไม่มีการใช้กำลังอาวุธ
ซึ่ง RLI ประเมินว่าสถานการณ์นี้มีความเป็นไปได้มากที่สุด โดยจะเกิดความขัดแย้งขึ้นจากการใช้วาทะโวหารที่รุนแรงสร้างความเกลียดชัง การระงับหรือจำกัดวีซ่าเข้าประเทศ การปิดพรมแดนเป็นการชั่วคราว เกิดขบวนประท้วงภายใต้กระแสชาตินิยม แต่หลีกเลี่ยงการเกิดสงครามจากการที่ต้องพึ่งพาอาศัยกันทางเศรษฐกิจ และการมีประชาคมอาเซียนเข้ามาช่วยเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ย
ฉากทัศน์ที่เป็นไปได้แบบที่ 2 คือการปะทะกันในพื้นที่ชายแดนโดยไม่ได้ตั้งใจมาก่อน โดยเกิดขึ้นตามแนวที่เกิดความขัดแย้งซึ่งอาจมาจากหน่วยลาดตระเวนในพื้นที่หรือไม่ก็กลุ่มที่ทำธุรกิจผิดกฎหมาย
สถานการณ์เช่นนี้เป็นไปตามสภาพการณ์ ไม่ได้มาจากการสั่งการล่วงหน้าหรือวางแผนไว้ก่อนทำให้เกิดการยิงกันเป็นบางช่วง RLI ยกตัวอย่างว่าคล้ายกับเหตุการณ์ที่เขาพระวิหารช่วงปี พ.ศ.2551-2554
ฉากทัศน์ที่เป็นไปได้แบบที่ 3 คือความขัดแย้งแบบลูกผสมที่ยืดเยื้อ โดยมีผู้ที่อยู่เบื้องหลังทั้งสองประเทศเข้ามามีส่วนได้ส่วนเสียกับความขัดแย้งที่เกิดขึ้น สถานการณ์ในแบบนี้จะมีความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้นแต่ไม่เกิดสงครามโดยตรง หากแต่ห้ำหั่นกันผ่านสงครามข้อมูลข่าวสาร การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ และการใช้ผู้อพยพเข้าเมือง กลุ่มผู้ลี้ภัย หรือพวกอาชญากรในการทำลายฝ่ายตรงข้ามแทนกำลังทหาร
ฉากทัศน์ที่เป็นไปได้แบบที่ 4 คือมีตัวกลางเข้ามาเจรจาไกล่เกลี่ยความขัดแย้ง ประเทศที่สามหรือกลุ่มประเทศซึ่งสามารถเข้ามาเป็นตัวกลางได้ก็ เช่น อาเซียน จีน สหรัฐอเมริกา หรือญี่ปุ่น ด้วยการยื่นมือเข้ามาแทรกแซงทางการทูตเพื่อหาข้อตกลงร่วมกัน
แต่สถานการณ์นี้จะเกิดขึ้นได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับไทยและกัมพูชาว่าจะยินดีเปิดรับตัวกลางที่เข้ามาประสานมากน้อยแค่ไหน
3.ผลที่ตามมาในภูมิภาค
ผลที่ตามมาจากสถานการณ์นี้มี 4 ด้าน ได้แก่ (1) ความมั่นคง (2) ด้านมนุษยธรรม (3) ด้านเศรษฐกิจ และ (4) ด้านความเป็นเอกภาพของอาเซียน
เริ่มจากข้อแรกด้านความมั่นคงนั้น ผลพวงหรือผลกระทบที่ตามมาจากเหตุการณ์ความขัดแย้งของสองประเทศจะส่งผลไปสู่ประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคด้วย (อินโดจีนและอาเซียน)
การปะทะกันด้วยกำลังแม้เพียงเล็กน้อยก็ทำให้กระเทือนต่อความมั่นคงในภูมิภาคอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ซึ่งจะกระทบไปสู่ปัญหาความขัดแย้งในจุดอื่นๆ ของภูมิภาคไม่มากก็น้อย
ข้อที่สองด้านมนุษยธรรม เช่น ส่งผลให้เกิดการลี้ภัย ผู้อพยพ กระทบสภาพเศรษฐกิจจนเกิดการชะงักงัน และเกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ส่วนข้อที่สามด้านเศรษฐกิจนั้นคือภาวะเศรษฐกิจถดถอย ผลพวงที่ตามมาอย่างแน่นอนคือกระทบต่อการทำงานของแรงงานกัมพูชาในไทย ในขณะที่ไทยก็มีปัญหากับการเข้าไปลงทุนในกัมพูชา
ข้อสุดท้ายคือด้านเอกภาพของอาเซียนซึ่งทำให้เกิดความแตกแยกในหมู่ชาติสมาชิก ไม่เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
หลักการไม่แทรกแซงกิจการของประเทศอื่นถูกท้าทายว่าจะดำนินต่อไปได้หรือไม่ อย่างไร
4.ผลประโยชน์และกำลังของต่างชาติ
คาดการณ์ว่าชาติต่างๆ ที่มีผลประโยชน์ในภูมิภาคจะมีแสดงบทบาทที่ต่างกันออกไป
ประเทศจีนซึ่งมีความสัมพันธ์ที่แนบชิดกับกัมพูชาเป็นพิเศษทั้งทางเศรษฐกิจและการทหารก็จะใช้โอกาสนี้เพิ่มอิทธิพลของตัวเองในกัมพูชาให้มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม และกดดันให้ไทยวางตัวเป็นกลางในยุทธศาสตร์อินโดแปซิฟิก
นอกจากนี้ การมีบทบาทสำคัญของจีนต่อสถานการณ์ความขัดแย้งนี้ยังทำให้จีนมีอิทธิพลเหนือการตัดสินใจของประชาคมอาเซียน
ส่วนสหรัฐอเมริกาจะเข้ามาสนับสนุนไทยโดยวางบทบาทเป็นผู้สร้างเสถียรภาพให้กับภูมิภาค และสนับสนุนการเคลื่อนไหวของขบวนการประชาธิปไตยในไทย
ยิ่งจีนพยายามมีบทบาทมากเท่าไหร่ สหรัฐก็ยิ่งมีแนวโน้มว่าจะขยับมากยิ่งขึ้น แต่สหรัฐไม่มีอิทธิพลมากนักในกัมพูชาซึ่งมีจีนหนุนหลังอยู่
ขณะที่เวียดนามจะสังเกตการณ์อยู่เงียบๆ อย่างระมัดระวัง เนื่องจากความกังวลว่าสถานการณ์อาจลุกลามบานปลายจนกระทบเวียดนาม หรือเหตุการณ์อาจทำให้กัมพูชายิ่งอยู่ภายใต้จีนมากขึ้นเรื่อยๆ
ฉะนั้นเวียดนามอาจเดินเกมลับๆ เพื่อกดดันให้กัมพูชาหาทางคลายความตึงเครียดลง
สุดท้ายก็คือญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ที่มีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจกับทั้งสองประเทศ ดังนั้นจึงพยายามหาทางทำให้เกิดสันติผ่านกลไกคลี่คลายความขัดแย้งของประชาคมอาเซียน เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปสงค์และอุปทานในภูมิภาคซึ่งทั้งญี่ปุ่นและเกาหลีมีความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนอยู่