

ฝนไม่ถึงดิน | ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี
ลูกหลานเราจะเติบโตอย่างไร
ถ้าเราดูแลครูของเราไม่ดี
การเสียชีวิตของคุณครูอันเกี่ยวเนื่องจากความกดดันจากสภาพการทำงานเป็นประเด็นที่สะเทือนใจอย่างมาก
การเสียชีวิตของคนธรรมดาที่ไม่มีเหรียญตรา ไม่มียศตำแหน่งใหญ่โต สามารถมอบบทเรียนอะไรแก่เราได้หรือไม่ ถึงปัญหาของระบบการศึกษาไทยในปัจจุบัน
ในวิกฤตของสังคมผู้สูงอายุ เรายิ่งต้องพัฒนาเด็กๆ ของเราอย่างเต็มที่เพื่อให้พวกเขาเติบโตตามฝันอย่างสุดกำลัง
คำถามสำคัญเราได้ให้ความสำคัญกับบุคลากรการศึกษามากน้อยเพียงใด
บทความนี้ไม่ได้เจาะจงถึงกรณีการเสียชีวิตข้างต้นอย่างเดียว
แต่ขยายสู่ประเด็นสำคัญที่เราละเลยต่อการดูแลบุคลากรด้านการศึกษา
หลายเดือนก่อนผมได้เข้าร่วมงานรับฟังความคิดเห็นจากกลุ่มครูธุรการ ซึ่งมีข้อร้องเรียนสำคัญคือกระทรวงศึกษาธิการได้ปรับเปลี่ยนพวกเขาสู่การจ้างเหมาบริการ ซึ่งเดิมทีระบบครูธุรการนี้ถูกพัฒนามาตั้งแต่สมัยคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรีภายใต้โครงการคืนครูให้นักเรียนผ่านการขยายการจ้างครูธุรการ เพื่อมาเป็นฝ่ายสนับสนุนการเรียนการสอนให้แก่ครู
แม้แนวคิดนี้จะดีแต่ระบบการจัดการไม่ดีนัก ครูธุรการไม่มี career-path ครูธุรการบางท่านต้องดูแลหลายโรงเรียนขนาดเล็กในต่างจังหวัด บางท่านต้องสอนด้วย ระบบสวัสดิการต่างๆ ไม่ดี ใช้สิทธิ์ประกันสังคม
ซ้ำร้ายพอถึงเวลาก็ปรับพวกเขาสู่การจ้างเหมาบริการ และโดนตัดสิทธิประโยชน์ประกันสังคมรวมถึงบำนาญต่างๆ
เอาเป็นว่าตอนนี้เราพอมองเห็นภาพว่าหากส่วนงานสนับสนุนการศึกษาไร้อนาคตจะให้เราคาดหวังการศึกษาให้มีคุณภาพได้อย่างไร
ส่วนในเงื่อนไขของข้าราชการครู ซึ่งเรามักมีความเข้าใจที่ผิดว่าข้าราชการครูมีสวัสดิการดีเงินเดือนมั่นคงนั้น
แต่พอเจาะลงไปที่ภาระงานแล้วเราจะพบความเปราะบางสูง เมื่อไม่มีระบบการสนับสนุนต่างๆ ที่ครบถ้วน
ซ้ำร้ายระบบราชการยังทำงานอยู่บนเงื่อนไขการจับผิดคนปฏิบัติงานชั้นผู้น้อย
เราจะได้ยินข่าวที่เกี่ยวข้องว่า ครูสั่งอาหารเผื่อเด็กระดับชั้นอื่นแล้วโดนให้ออกจากราชการ
และในสถานศึกษาเองก็ยังไม่มีการปฏิรูปเส้นทางอาชีพที่เหมาะสมกับครู
เมื่อผมเทียบกับมหาวิทยาลัย ก็ยังพอมีความยืดหยุ่นด้านจุดเน้นในสายอาชีพ เช่น การสอน วิจัย บริการวิชาการ หรือบริหาร
แต่สำหรับครูแล้วแบกรับภาระอย่างหนักหน่วงในงานที่ไม่เห็นความก้าวหน้า
เมื่อครูมีความเครียดสูงและขาดขวัญกำลังใจ ย่อมส่งผลต่อคุณภาพการเรียนการสอนโดยตรง เด็กๆ จะได้รับการดูแลและการศึกษาที่ไม่เต็มศักยภาพ
ในยุคที่ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์คุณภาพสูงจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง
แต่หากระบบการศึกษาขาดการดูแลครูอย่างเหมาะสม เราอาจจะสูญเสียโอกาสในการสร้างคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถพอที่จะรับมือกับความท้าทายในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ถ้าเราไปดูงบประมาณการศึกษาของไทยจะพบว่าเป็นงบประมาณที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ คิดเป็นประมาณร้อยละ 20 ของงบประมาณรวม
แต่เมื่อเจาะลึกลงไปว่าเงินเหล่านี้ไปอยู่ที่ไหน เราจะพบความจริงอันน่าตกใจ เงินส่วนใหญ่ไม่ได้ไปสู่การสนับสนุนครู นักเรียน และผู้ปกครองโดยตรง
แต่กลับไปหล่อเลี้ยงระบบการบริหารจัดการที่พองตัวมากเกินไป
เราจึงได้เห็นสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาที่มีจำนวนมากมาย มีผู้บริหารหลายระดับ มีการจัดประชุมสัมมนาต่างๆ มากมาย
แต่เงินกลับไม่ค่อยไปถึงมือครูและนักเรียนเท่าไรนัก
ครูยังคงต้องซื้อวัสดุการสอนด้วยเงินส่วนตัว โรงเรียนยังขาดแคลนสิ่งอำนวยความสะดวก และครูธุรการก็ยังคงได้รับค่าจ้างที่ไม่เพียงพอ
ครูที่ต้องทำงานในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความกดดัน ไม่มีระบบสนับสนุนที่เพียงพอ และไม่เห็นเส้นทางการเติบโตในอาชีพ มักจะมีความเหนื่อยหน่ายและเผชิญกับภาวะ burnout ซึ่งส่งผลต่อความกระตือรือร้นในการสอน การดูแลเด็กๆก็จะไม่ได้รับความเอาใจใส่อย่างเต็มที่ ทำให้เด็กๆ ไม่ได้รับการพัฒนาตามศักยภาพที่แท้จริง
แล้วเงินงบฯ การศึกษาที่มากมายนั้นไปอยู่ที่ไหนกันแน่
เมื่อเปรียบเทียบกับตัวอย่างต่างประเทศ ฟินแลนด์ถือเป็นประเทศที่มีระบบการศึกษาที่ดีที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง และหนึ่งในปัจจัยสำคัญคือการให้ความสำคัญกับครูอย่างมาก
การเป็นครูในฟินแลนด์ถือเป็นอาชีพที่มีเกียรติและได้รับความเคารพจากสังคม
ครูในฟินแลนด์ต้องมีคุณวุฒิปริญญาโทเป็นอย่างต่ำ และได้รับการฝึกอบรมอย่างต่อเนื่อง
ที่สำคัญคือระบบการบริหารจัดการครูในฟินแลนด์ให้อิสระในการสอนสูง ครูไม่ต้องเสียเวลากับงานธุรการที่ซับซ้อนเกินไป แต่มีระบบสนับสนุนที่ช่วยให้ครูสามารถมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาการเรียนการสอนได้อย่างเต็มที่
นอกจากนี้ ยังมีระบบการประเมินที่เน้นการพัฒนามากกว่าการลงโทษ
ทำให้ครูรู้สึกปลอดภัยในการทำงานและมีแรงบันดาลใจในการพัฒนาวิชาชีพอย่างต่อเนื่อง
สิงคโปร์เป็นอีกตัวอย่างที่น่าสนใจ ประเทศนี้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาครูอย่างจริงจัง
โดยมีระบบ National Institute of Education ที่ทำหน้าที่ในการผลิตและพัฒนาครูอย่างเป็นระบบ
ครูในสิงคโปร์ได้รับเงินเดือนที่สูงและมีเส้นทางการเติบโตที่ชัดเจน สามารถเลือกได้ว่าจะเติบโตในสายการสอน สายผู้เชี่ยวชาญ หรือสายบริหาร
สิ่งที่น่าสนใจคือระบบการดูแลครูในสิงคโปร์ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงแค่การให้สวัสดิการ แต่ยังเน้นการพัฒนาความเป็นมืออาชีพอย่างต่อเนื่อง
ครูทุกคนต้องผ่านการอบรมพัฒนาตนเองอย่างสม่ำเสมอ และมีโอกาสได้เรียนรู้จากครูที่ดีเยี่ยมในระบบ mentoring ที่มีประสิทธิภาพ
จากประสบการณ์ที่ผ่านมา เราพบปัญหาหลายประการที่ส่งผลต่อความเป็นอยู่ของครูไทย
ปัญหาแรก คือภาระงานที่มากเกินไป ครูไทยไม่ได้ทำหน้าที่เพียงการสอนเท่านั้น แต่ยังต้องรับผิดชอบงานธุรการ งานโครงการต่างๆ ที่มากมาย และงานอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสอนโดยตรง
ซ้ำร้ายงานเหล่านี้มักเป็นงานที่ต้องรายงานไปยังสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และกระทรวงศึกษาธิการ ทำให้ครูต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการทำเอกสาร แทนที่จะได้สอนหนังสือ
ปัญหาที่สอง คือการขาดระบบสนับสนุนที่เหมาะสม ครูส่วนใหญ่ต้องทำงานเพียงลำพัง ไม่มีทีมงานที่คอยช่วยเหลือในด้านต่างๆ เช่น งานธุรการ งานเทคโนโลยี หรือแม้แต่การดูแลเด็กที่มีปัญหาพิเศษ
ทำให้ครูต้องแบกรับภาระมากมายที่อาจจะเกินขีดความสามารถ
ปัญหาที่สาม คือการขาดเส้นทางการเติบโตที่ชัดเจน ครูหลายคนรู้สึกว่าไม่มีอนาคตในอาชีพ ไม่มีโอกาสพัฒนาตนเองหรือเติบโตไปสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้น การเป็นครูมักถูกมองว่าเป็นอาชีพที่หยุดนิ่ง ไม่มีการพัฒนาหรือความก้าวหน้า
แต่ในขณะเดียวกัน เส้นทางการเติบโตในสายการบริหารการศึกษากลับมีมากมาย ทำให้เกิดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม
ครูที่ดีมักจะต้องหันไปสู่งานบริหารเพื่อหาความก้าวหน้า ทิ้งห้องเรียนที่ต้องการครูที่มีคุณภาพไว้เบื้องหลัง
คำถามที่ว่า “ลูกหลานเราจะเติบโตอย่างไร ถ้าเราดูแลครูของเราไม่ดี” มีคำตอบที่ชัดเจน หากเราไม่ให้ความสำคัญกับการดูแลครู เด็กๆ ของเราก็จะไม่ได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพ และอนาคตของประเทศก็จะไม่สดใส
การดูแลครูไม่ใช่เพียงแค่การให้เงินเดือนที่เหมาะสม แต่รวมถึงการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดี การให้การสนับสนุนที่เหมาะสม และการสร้างเส้นทางการเติบโตที่ชัดเจน เมื่อครูมีความสุขและมีขวัญกำลังใจในการทำงาน ครูจะสามารถให้การศึกษาที่มีคุณภาพแก่เด็กๆ ได้
การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีผลประโยชน์ของหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ความมุ่งมั่นทางการเมืองที่ต้องอาศัยผู้บริหารที่มีความจริงจังในเรื่องนี้ แต่เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งหากเราต้องการให้ลูกหลานของเราเติบโตอย่างเต็มศักยภาพและเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศในอนาคต
การเริ่มต้นนั้นอยู่ที่การตระหนักว่าครูเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาประเทศ และเราจำเป็นต้องดูแลรากฐานนี้ให้แข็งแกร่งเพื่ออนาคตที่ดีของเด็กไทยทุกคน
ไม่ใช่เพื่อหล่อเลี้ยงระบบการบริหารจัดการที่ซับซ้อนและไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการเรียนการสอนอย่างแท้จริง