
ยูเอส โอเพ่น ครั้งที่ 125 เมื่อ ‘โจทย์’ ยากเกินไป ก็ไม่สนุก

Technical Time-Out | SearchSri
บทสรุปของการแข่งขันกอล์ฟเมเจอร์ชาย ยูเอส โอเพ่น ครั้งที่ 125 ที่โอ๊กมอนต์ คันทรีคลับ รัฐเพนซิลเวเนีย เมื่อกลางเดือนมิถุนายน ถือว่าพลิกความคาดหมายไปพอสมควร
จากที่สื่อกอล์ฟพยายามไฮป์กันมาว่า โปรมือท็อปของโลกคนไหนจะขับเคี่ยวแย่งแชมป์กันบ้าง เมื่อถึงเวลาจริง บรรยากาศออกจะกร่อยๆ สักหน่อย เพราะมือดังพากันผลงานแย่ ถึงอันดับจะไม่น่าเกลียด แต่ตลอด 4 วันก็แทบไม่มีมือท็อปไปวนเวียนหน้าแรกแบบมีลุ้นแชมป์สักเท่าไร
แถมบางคนถึงขั้นไม่ผ่านตัดตัว อาทิ ไบรสัน เดอแชมโบ, ดัสติน จอห์นสัน
สุดท้ายกลายเป็น เจ.เจ. สปอน โปรอเมริกันมืออันดับ 25 ของโลก ที่คว้าแชมป์ไปครอง ด้วยสกอร์ 1 อันเดอร์พาร์ เป็นคนเดียวที่ทำสกอร์ต่ำกว่าพาร์เมื่อจบ 72 หลุม ส่วนที่เหลือล้วนตีโอเวอร์พาร์ทั้งสิ้น

ก่อนหน้าปี 2025 เส้นทางอาชีพนักกอล์ฟของสปอนไม่ได้หวือหวา เขาเทิร์นโปรมาตั้งแต่ปี 2012 ปัจจุบันอายุ 34 ปี เคยเล่นอยู่ในทัวร์ระดับรองทั้งเกตเวย์ทัวร์, พีจีเอทัวร์ แคนาดา และคอร์น เฟอร์รี่ ทัวร์ มาก่อน ค่อยๆ ไต่เต้าสู่พีจีเอทัวร์ และเคยได้แชมป์พีจีเอมาหนเดียวในรายการ เท็กซัส โอเพ่น ปี 2022
กระทั่งปีนี้ผลงานจึงยกระดับขึ้นมาอย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะการคว้ารองแชมป์รายการใหญ่อย่างศึก เดอะ เพลเยอร์ส แชมเปี้ยนชิพ ด้วยการพ่ายเพลย์ออฟให้โปรดังอย่าง รอรี่ แม็กอิลรอย
ส่วนผลงานดีที่สุดในระดับเมเจอร์ที่ผ่านๆ มา เคยจบอันดับ 23 ร่วม ศึก มาสเตอร์ส ปี 2022 และอันดับ 35 ร่วม ในศึก พีจีเอ แชมเปี้ยนชิพ ปี 2018 ขณะที่รายการ บริติช โอเพ่น ไม่เคยเข้าร่วม ส่วนยูเอส โอเพ่น เคยแข่งมาก่อนครั้งเดียวในปี 2021 ซึ่งเขาไม่ผ่านการตัดตัว
มาถึงยูเอส โอเพ่น ปีนี้ สปอนทำเซอร์ไพรส์ขึ้นนำในวันแรก และเกาะกลุ่มนำมาเรื่อยๆ ใน 2 รอบต่อมา ขณะที่บรรดาโปรมือท็อปของโลกพากันหลุดวงโคจรแบบไม่มีลุ้นไปตั้งแต่วันแรกๆ แล้ว

ปัญหาหลักๆ ที่ทำให้บรรยากาศการแข่งขันกอล์ฟยูเอส โอเพ่น หนนี้ค่อนข้างน่าอึดอัด คือความยากของสนามโอ๊กมอนต์
ทั้งแฟร์เวย์เป็นสโลป กรีนที่ค่อนข้างลื่น รัฟสูงข้างบังเกอร์ หญ้าสูงใกล้กับแฟร์เวย์และกรีน ไหนจะหลุม 8 พาร์ 3 ระยะ 301 หลา ที่บางคนบอกว่ามีผลในเชิงจิตวิทยา แถมยังมาเจอฝนรบกวนอีก ถึงขั้นที่ อดัม สก็อตต์ อดีตโปรกอล์ฟมือ 1 ของโลกชาวออสเตรเลีย ออกปากว่า สนามนี้แทบจะเล่นไม่ได้เลย
เพราะความยากของเลย์เอาต์และเซ็ตติ้งต่างๆ ทำให้การลุ้นแชมป์รายการไม่ได้วัดกันแค่ฝีมือหรือความสามารถในการเล่นแต่ละช็อตอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงโชคดวงกับการลุ้นว่าลูกจะไปตกในตำแหน่งที่เล่นช็อตต่อไปได้ง่ายหรือยากด้วยเช่นกัน
ไม่ใช่ว่าสปอนไม่เก่งหรือเพราะดวงดีถึงเป็นแชมป์ได้ แต่ต้องเรียกว่าเขาทำอะไรได้ดี ถูกที่ถูกเวลากว่าคนอื่นๆ มากกว่า โดยเฉพาะการพัตต์เบอร์ดี้ระยะ 65 ฟุต บนกรีนหลุมสุดท้ายเพื่อการันตีชัยชนะ
สื่อบางสำนักบอกว่า พัตต์สุดท้ายของสปอนช่วยให้ตอนจบยูเอส โอเพ่น ปีนี้มีเรื่องให้จดจำ ไม่เช่นนั้นบรรยากาศการแข่งขันคงมีเรื่องเนือยๆ น่าเบื่อตั้งแต่ต้นจนจบ และไม่ว่าจะเจตนาหรือไม่ สมาคมกอล์ฟแห่งสหรัฐ (ยูเอสจีเอ) ในฐานะเจ้าของการแข่งขัน ก็คงโดนวิจารณ์ไม่มากก็น้อย
เพราะไม่ใช่แฟนกีฬาทุกคนจะอยากเห็นนักกีฬาต้องฝ่าฟันอุปสรรค หรือเจอโจทย์ท้าทายความสามารถแทบจะทุกช็อตทุกย่างก้าว จนสกอร์และผลลัพธ์ที่ออกมาราวกับไม่ใช่มืออาชีพแบบนี้

นักวิเคราะห์มองว่าที่เซ็ตติ้งสนามโอ๊กมอนต์ยากแบบนี้ เป็นเจตนาของยูเอสจีเอที่จะเบรกนักกอล์ฟรุ่นใหม่ๆ ที่เน้นตีไกลเข้าว่า เพื่อความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง เนื่องด้วยเทคโนโลยีเดี๋ยวนี้ ประกอบกับวิทยาศาสตร์การกีฬาทำให้นักกอล์ฟหลายคนมีค่าเฉลี่ยตีไกลค่อนข้างสูง โดยเคยมีคนไดรฟ์ได้ไกลถึง 350 หลามาแล้ว ขณะที่สถิติระยะไดรฟ์เฉลี่ยสูงสุดของทัวร์เป็นของ อัลดริช พ็อตกีเตอร์ จากแอฟริกาใต้ กับระยะไดรฟ์เฉลี่ย 326.6 หลา
ยูเอสจีเอนั้น พยายามหาทางแก้ความได้เปรียบเสียเปรียบเรื่องนี้มาพักหนึ่งแล้ว หนึ่งในมาตรการที่เตรียมนำมาใช้คือการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีลูกกอล์ฟของโปรเพื่อจำกัดระยะการพุ่งของลูกตั้งแต่ปี 2028 เป็นต้นไป
มาถึงศึกยูเอส โอเพ่น หนนี้ ไอเดียของยูเอสจีเอจึงน่าจะทำนองว่า พอสนามอุปสรรคเยอะ แถมจุดปักธงยังยาก แค่ตีไกลอย่างเดียวจึงไม่พอ อย่างไรก็ตาม ด้วยความยากชนิดที่ต้องอาศัยดวงเข้าช่วยไม่น้อย ก็ทำให้เกิดการตั้งคำถามว่ามันเหมาะสมแล้วหรือไม่
ไม่ใช่ว่าพอสนามยากจนมือดังเล่นไม่ออกแล้วเลยไม่น่าสนใจ จนเป็นการลดทอนคุณค่าชัยชนะของ เจ.เจ. สปอน
อย่างไรก็ตาม เมื่อการแข่งขันกีฬาสักอีเวนต์หนึ่งมีโชคดวงเป็นหนึ่งในปัจจัยในการตัดสินค่อนข้างมาก บรรดาแฟนกีฬาที่อยากเห็นการขับเคี่ยวสนุกๆ ของนักกอล์ฟชั้นนำของโลก หรือมีช็อตเจ๋งๆ น่าประทับใจให้กลับมาดูซ้ำ จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกร่อยหรือเบื่อไปตามๆ กัน
ไม่ว่าเจตนาของยูเอสจีเอที่เลือกสนามโอ๊กมอนต์และเซ็ตติ้งแบบนี้จะถูกหรือผิดอย่างไร
ที่แน่ๆ สำหรับสื่อและแฟนกอล์ฟส่วนใหญ่ ศึกยูเอส โอเพ่น ครั้งที่ 125 น่าจะกลายเป็นทัวร์นาเมนต์ที่ถูกลืมในเวลาอันรวดเร็ว