เว็บไซต์นี้ใช้คุ้กกี้เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีมีประสิทธิภาพยิ่งขี้น อ่านเพิ่มเติมคลิก (Privacy Policy) และ (Cookies Policy)
bg-single

พรมแดนที่ไร้ ‘อรุณรุ่ง’ | ธงทอง จันทรางศุ

02.07.2025

หลังลับแลมีอรุณรุ่ง | ธงทอง จันทรางศุ

พรมแดนที่ไร้ ‘อรุณรุ่ง’

ผมเกิดมาในยุคที่นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยชื่อ จอมพล ป.พิบูลสงคราม แต่จำความไม่ได้หรอกครับว่าเรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร เพราะกว่าที่ผมจะรู้ประสีประสาก็ล่วงเข้ายุคที่นายกรัฐมนตรีชื่อจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ แล้ว

ในช่วงเวลาที่ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ไม่ถึงหกปีเต็ม ประเด็นร้อนเรื่องหนึ่งที่เป็นเรื่องตื่นเต้นของคนไทยสมัยนั้น คือ กรณีพิพาทระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชาที่คนไทยเรียกติดปากว่า เขมร

เป็นการโต้เถียงกันในเรื่องความเป็นเจ้าของปราสาทเขาพระวิหาร ซึ่งไทยเราก็ว่าตั้งอยู่ในดินแดนไทย ฝ่ายเขมรก็ว่าตั้งอยู่ในดินแดนเขมร

ต่างฝ่ายต่างมีความมั่นใจในหลักฐานของตัวเอง แต่เมื่อคดีที่ฟ้องร้องกันเรื่องนี้ไปสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือที่เรียกกันแบบย่อว่าศาลโลก ที่กรุงเฮก

ปรากฏว่าไทยเราเป็นฝ่ายแพ้คดี เขมรจึงได้เข้าครอบครองปราสาทเขาพระวิหารตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

มาถึงวันนี้ ด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ เขมรยกประเด็นขึ้นโต้เถียงกับไทยเกี่ยวกับเรื่องบริเวณชายแดนที่มีติดต่อกันแถวจังหวัดสุรินทร์ ซึ่งย่านนั้นมีปราสาทใหญ่น้อยอยู่หลายปราสาท ที่ได้ยินชื่อกันบ่อยในระยะนี้ก็ตัวอย่างเช่น ปราสาทตาเมือน ปราสาทตาเมือนธม และประสาทตาเมือนโต๊ด ซึ่งปราสาททั้งสามตั้งอยู่ไม่ห่างไกลกัน

เมื่อในราวสองปีก่อนผมยังได้เดินทางไปเที่ยวครบทั้งสามปราสาท โดยเป็นการเดินทางร่วมคณะไปกับเพื่อนที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน และได้รู้จักกันเพราะไปเข้าเรียนหลักสูตรสำคัญของทางราชการหลักสูตรหนึ่งเมื่อ 25 ปีก่อน ตอนนี้ทุกคนเกษียณหมดเรียบร้อยแล้วครับ เลยลงมือเที่ยวกันเป็นสามารถ

โปรแกรมเที่ยวของเราคราวนั้นเน้นจังหวัดสุรินทร์ โดยมีการเดินทางผ่านด่านชายแดนชื่อด่านช่องจอมเข้าไปเที่ยวนครวัดที่เมืองเสียมราฐแบบไปเช้าเย็นกลับเสียด้วย

กล่าวเฉพาะเรื่องไปเที่ยวปราสาทตาเมือนชุดที่ว่า ผมยังได้ถ่ายไว้เป็นหลักฐานกับเพื่อนร่วมคณะครบชุด แถมยังได้ทักทายกับน้องทหารที่เฝ้ารักษาบริเวณปราสาทอยู่ด้วยความเข้มแข็ง

คณะเดินทางของผมมีทั้งชายและหญิง เป็นพลโทพลเอกก็หลายคน เห็นจะพออ้างเป็นพยานกันได้อยู่

แต่ในเมื่อฝ่ายประเทศไทยเราแถลงเด็ดขาดหลายรอบแล้วว่า เราจะไม่นำคดีในสถานการณ์ปัจจุบันไปสู่ศาลโลกเป็นอันขาด ผมกับเพื่อนๆ ก็คงไม่ต้องไปกรุงเฮกอย่างแน่นอนเหมือนกัน

เมื่อพินิจดูสถานการณ์ปัจจุบันแล้วผมพบความจริงที่น่าสนใจว่า ความรู้เรื่องแผนที่แบบละเอียดลออ วัดกันถี่ถ้วนว่าตำบลที่ตั้งของสิ่งนั้นสิ่งนี้อยู่ตรงพิกัดไหน กี่องศา กี่เมตร กี่เซนติเมตร เป็นเรื่องใหม่สำหรับโลกตะวันออกอย่างแท้จริง

แต่ดั้งเดิมมาถ้าเราพูดถึงพรมแดนระหว่างประเทศ หากมีความชัดเจนทางภูมิศาสตร์ เช่น มีแม่น้ำขวางกั้นอยู่ ไม่ว่าจะเป็นแม่น้ำโขง แม่น้ำสะโตง หรือแม่น้ำอะไรก็แล้วแต่ เส้นเขตแดนแบบนั้นก็ไม่ต้องทะเลาะกันมากเพราะความจริงเป็นที่เห็นประจักษ์แล้วว่า ฝั่งข้างไหนเป็นของใคร

แต่ถ้าเส้นเขตแดนทางภูมิศาสตร์ไม่มีความชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นพื้นดินที่ติดต่อกันเป็นแผ่นเดียว ครั้นจะถือเอาต้นมะพร้าวต้นตาลเป็นหลักบอกเขตแดน มะพร้าวทุกต้นก็หน้าตาเหมือนกันซะอีก ดั้งเดิมมาจึงยากครับที่จะบอกว่า แผ่นดินตรงไหนเป็นของใครแบบเป๊ะๆ

แถมข้อสำคัญอีกอย่างหนึ่งว่า รัฐชาติในความหมายว่า เป็นประเทศที่มีอธิปไตยชัดเจนอย่างที่ฝรั่งเรียกว่า Nation State อย่างที่ฝรั่งเองก็เพิ่งรู้จักเมื่อประมาณ 200 ปีมานี้เอง เป็นของเกิดขึ้นใหม่

แต่เดิมมาแว่นแคว้นใหญ่น้อยแม้ในเมืองฝรั่งเองก็ไม่ได้ทำแผนที่กันเคร่งครัด บริเวณตามเขตชายแดนจึงเป็นความคลุมเครือที่ไม่มีใครไปชี้ขาด และถึงแม้ปล่อยให้เป็นเช่นนั้นก็ไม่มีใครเดือดร้อน

จนกระทั่งความเป็นรัฐชาติเกิดขึ้น ความคิดในเรื่องอธิปไตยนี้สำคัญนัก ต้องพูดถึงบูรณภาพ อิสรภาพ เอกภาพ และภาพอื่นๆ อีกหลายภาพ ทำให้ความจำเป็นต้องความชัดเจนในเรื่องแผนที่เกิดขึ้น

เมื่อสถานการณ์เดินหน้ามาถึงตรงนี้จำเป็นเสียแล้วที่ต้องลากเส้นในแผนที่กันให้ชัดเจนว่าแผ่นดินตรงไหนเป็นของใคร จะได้ไม่ต้องทะเลาะกันในภายหลัง

ตามความเข้าใจของผม ก่อนที่จะมีฝรั่งเข้ามาเกี่ยวข้องกับภูมิภาคของโลกแถบนี้ เรื่องเส้นพรมแดนทางบกก็อยู่ในอารมณ์ประมาณที่ผมว่ามาแล้วข้างต้น คือ รู้กันแต่พอสัณฐานประมาณแต่ไม่เคร่งครัด

ว่าไปทำไมมี ชาวบ้านที่อยู่บริเวณนั้นแทบจะนึกไม่ออกเลยว่าตัวเองอยู่บนแผ่นดินของใคร เพราะไม่รู้เหมือนกันว่าถ้ารู้ไปแล้วจะต้องทำต่อไป

จึงมีความเป็นไปได้มากที่หมู่บ้านที่อยู่ห่างกันด้วยระยะทางเดินเท้าเพียงแค่ครึ่งชั่วโมง จะมีการแต่งงานข้ามไปมา พูดภาษาเดียวกัน พบหน้ากันทุกวัน เจ็บไข้ได้ป่วยก็ช่วยกันรักษา เพราะเจ้าบ้านผ่านเมืองที่อยู่ห่างออกไปอีก 100 กิโลเมตรไม่เคยหน้ามาให้เห็นสักที

แล้วอยู่มาวันหนึ่ง ประเทศมหาอำนาจเจ้าอาณานิคมทั้งหลายก็เข้ามาแผลงฤทธิ์อยู่ในบริเวณนี้ วันดีคืนดีประเทศไทยก็เกิดอยู่ท่ามกลางอาณานิคมของอังกฤษข้างหนึ่งและอาณานิคมของฝรั่งเศสอีกข้างหนึ่ง

ลัทธิแสวงหาอาณานิคมอย่างนี้ก่อให้เกิดความจำเป็นที่ประเทศไทยเราต้องรู้แผนที่ ต้องมีความชัดเจนว่าแผ่นดินไหนเป็นของไทย แผ่นดินไหนเป็นของคนอื่น เพื่อที่จะได้ไม่ต้องทะเลาะเบาะแว้งกันในเรื่องอื่นที่สัมพันธ์เชื่อมโยงกันอีกมาก

แผนที่ที่ไทยเราเคยใช้ในตำราพิชัยสงคราม เป็นแผนที่ที่บ่งบอกอะไรต่อมิอะไรเพียงคร่าวๆ ไปเปิดกางให้ฝรั่งดู เขาไม่เชื่อถือหรอกครับ เมื่อเป็นอย่างนี้ก็เดือดร้อนให้ไทยเราต้องจ้างฝรั่งที่ไว้ใจได้มาทำแผนที่และฝึกฝนให้คนไทยมีความรู้เรื่องนี้ขึ้นมาด้วยตนเองให้จงได้

หลักการพูดแล้วฟังดูง่ายมาก คือ เพื่อที่จะไม่ให้มีปัญหาในอนาคตเกิดขึ้น ไทยกับเจ้าอาณานิคมอังกฤษและฝรั่งเศสในยุคนั้นสมควรทำแผนที่ที่ยอมรับด้วยกันทั้งสองฝ่ายไว้เป็นหลักฐานจะได้ไม่ต้องมีข้อพิพาทกันต่อไป

เรื่องอย่างนี้พูดบนโต๊ะในห้องทำงานที่กรุงเทพฯ ที่กรุงลอนดอน หรือที่กรุงปารีส ใครได้ยินแล้วก็ต้องเห็นด้วย

แต่ในภาคสนาม เมื่อถึงการปฏิบัติจริงแล้วไม่ง่ายเลย

คำว่า “การปักปันเขตแดน” จึงเป็นงานที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องร่วมมือกันจัดทำ การปักปันเขตแดนในบางภูมิประเทศที่ไม่ยุ่งยากในการเดินทางก็สามารถทำได้โดยง่าย

แต่ถ้าอยู่บนภูเขาหรืออยู่ในป่าลึกซึ้งซับซ้อน ถามหน่อยว่า ง่ายอยู่หรือที่จะไปตกลงอะไรกันกลางป่าแบบนั้น

เพราะฉะนั้น เมื่อถึงวันที่เจ้าอาณานิคมถอนตัวออกไปจากย่านนี้ ปัญหาการปักปันเขตแดนที่ยังไม่สำเร็จเรียบร้อย ก็กลายเป็นมรดกที่ต้องพูดคุยทำงานกันต่อไป

กล่าวเฉพาะกรณีประเทศเขมร ในทางหลักกฎหมายระหว่างประเทศก็ต้องบอกว่า เมื่อเขาได้เป็นเอกราช เขาก็ย่อมสืบสิทธิทั้งหลายของฝรั่งเศสที่เป็นเจ้าอาณานิคมปกครองเขามาแต่ก่อน มาใช้สอยธำรงรักษาต่อไป

นี่แหละครับ ในทัศนะของผมเรื่องที่ต้องเท้าความกลับไปหาประวัติศาสตร์แบบนี้จึงเป็นที่มาของความขัดแย้งหรือความเห็นต่างที่เป็นข้อพิพาทในปัจจุบัน

แนวทางที่ประเทศไทยกับเขมรเคยตกลงกันไว้เมื่อหลายปีก่อนว่า จะมีคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อดูแลแก้ไขปัญหาชนิดนี้ในลักษณะที่เป็นการพูดคุยกันระหว่างสองประเทศ อย่างที่ภาษาการทูตเรียกว่า ทวิภาคี น่าจะเป็นทางออกแบบสันติวิธีและแบบที่อารยชนพึงปฏิบัติตามแนวทางกฎหมายระหว่างประเทศที่สากลนิยม

ผมก็ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางหรอกครับว่า มาถึงวันนี้ทำไมเขมรจึงยึกยักนักในเรื่องการทำงานแบบพูดคุยกันบนโต๊ะเจรจา แต่เปลี่ยนไปใช้วิธีชวนไปขึ้นศาลโลกลูกเดียว

เคยมีคนเปรียบเทียบให้ผมฟังว่า ประเทศที่มีชายแดนติดกัน มีความเป็นไปได้มากและเป็นธรรมดาอยู่แล้วที่อาจจะมีเหตุกระทบกระทั่งกันบ้างอย่างที่โบราณเรียกว่าเหมือนลิ้นกับฟัน ซึ่งวลีเดียวกันนี้ โบราณก็ใช้สำหรับชีวิตคู่ของสามีภรรยาด้วย โดยบอกแถมพกว่า ลิ้นกับฟันคือผัวกับเมียต้องอดออมให้แก่กัน วันไหนถึงขีดสุด ยอมให้แก่กันไม่ได้อีกแล้ว สุดท้ายก็ต้องหย่าขาดจากกัน

ใช้รองเท้ายี่ห้ออะไรก็ไม่รู้ที่บอกว่า “ทางใครทางมัน” แบบนั้นก็จบเรื่อง ผัวเมียต่างคนต่างไป ไม่ต้องเห็นหน้ากันอีกแล้ว ไม่ต้องทะเลาะอีกต่อไป

แต่เรื่องราวระหว่างสองประเทศที่มีพรมแดนติดกันนั้น ไม่ง่ายเลยที่จะหย่าขาดจากกัน เพราะความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ คือ เราไม่อาจแยกแผ่นดินนี้ให้ขาดจากกันได้ หรือแซะแผ่นดินย้ายออกไปตั้งไว้ที่อื่น อย่างไรเสียก็ต้องทนทู่ซี้อยู่อย่างนี้ต่อไป

บทความวันนี้เขียนแล้วยังมองไม่ออกว่า “อรุณรุ่ง” จะฉายแสงออกมาในรูปแบบใด

หวังแต่ว่า “ลับแล” เรื่องนี้จะพอมีทางเดินต่อไปนะครับ



เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต

เริ่มแล้ว! “Thai–Chinese Golden Fest 2025 เทศกาลร้อยเรื่องราวไทย–จีน” เทศกาลประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญแห่งปี
ฟังเสียง ‘เยาวชน’ | ปราปต์ บุนปาน
“One Plan” โมเดลใหม่ ขับเคลื่อนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สู่การพัฒนาที่ยั่งยืนในทุกพื้นที่
ตลาด..ชีวิตและความหวัง | เรื่องสั้น : มีนา ฟ้าศุกร์
ทำเล
ไม้ดัดในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร | กวีกระวาด : สิริวตี
ดาวกับดวงวันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม 2568
‘กฤษฎีกา-เพื่อไทย’ มองต่างมุม ไพ่ในมือรักษาการนายกฯ ผ่าทางตัน ‘ยุบสภา’ ได้หรือไม่ได้
ภาษีปนาวุธ ทรัมป์ถล่มข้ามทวีป ทีมไทยแลนด์ร่อแร่
‘ภูมิธรรม’ จัดแถวมหาดไทย ล้างบาง ‘สิงห์น้ำเงิน’ ประเดิมย้าย 2 อธิบดีเข้ากรุ จับตา ‘เขากระโดง’ เปิดแผล ‘ปราสาทสายฟ้า’
แค่ลมหายใจ ก็รู้ทันใดว่าอ้วน!!
การปกครองเปลี่ยน-แฟชั่นปรับ : แฟชั่นสมัยคณะราษฎร-สงคราม (12) เจ้านายสนับสนุนรัฐนิยมในสมัยสร้างชาติ