
เมษา พฤษภา 2553 รวมศูนย์ กำลัง 70 กองร้อย ยุทธการ 10 เมษายน 2553

ยุทธการ แดงเดือด
เมษา พฤษภา 2553
รวมศูนย์ กำลัง 70 กองร้อย
ยุทธการ 10 เมษายน 2553
บทความ เกษม เพ็ญภินันท์ “ข้อเท็จจริงการเสียชีวิตและความรุนแรง เมษา 53” ซึ่งตีพิมพ์ในหนังสือ “ความจริงเพื่อความยุติธรรม” โดย ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมกรณี เม.ย.-พ.ค.53″ หรือ “ศปช.”
กล่าวถึงสถานการณ์ในวันที่ 10 เมษายน 2553 อย่างรวบรัดแต่น่าสนใจ
แม้ว่าก่อนหน้าวันที่ 10 เมษายน นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะประกาศให้ นปช.ถอนการชุมนุมที่สี่แยกราชประสงค์ แล้วให้กลับไป “ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ” ที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศจุดเดียว
ซึ่งทำให้ ณ เวลานั้น คนเสื้อแดงได้เร่งระดมมวลชนส่วนใหญ่ไปตรึงพื้นที่ไว้ที่ราชประสงค์ เนื่องจากพวกเขาประเมินกันว่า ศอฉ.กำลังจะเข้าสลายการชุมนุมในบริเวณดังกล่าว
แต่ปรากฏว่าในวันที่ 10 เมษายน 2553 นายอภิสิทธิ์กลับสั่งการให้ ศอฉ.ปฏิบัติการสลายการชุมนุมที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศแทน
โดยไม่มีการแจ้งเตือนให้ผู้ชุมนุมทราบล่วงหน้า
จากสำเนาเอกสารคำสั่งปฏิบัติการ ศอฉ. วิทยุ ผอ.ศอฉ.ลับมาก ที่ กห. 0407.45/92 ลงวันที่ 10 เมษายน 2553 ที่ถูกนำมาเผยแพร่เมื่อปี 2554 โดยกลุ่มที่ใช้ชื่อว่า
“กลุ่มทหาร ตำรวจเพื่อประชาธิปไตย 2554”
ทำให้ทราบว่า ในวันนั้น นายกฯ อภิสิทธิ์ได้สั่งการ ศอฉ. “ทำการผลักดันกลุ่มผู้ชุมนุมเพื่อขอคืนพื้นที่และพื้นผิวการจราจรบริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศและพื้นที่ใกล้เคียง ตั้งแต่ 10 เม.ย.53 เวลา 13.30 น.เป็นต้นไป”
โดย ศอฉ.ได้จัดกำลังเพื่อปฏิบัติภารกิจจำนวนมากกว่า 70 กองร้อย ดังนี้
2.1 พล.1 รอ. : ปรับกำลังในพื้นที่รับผิดชอบจำนวน 21 ร้อย.รส.เข้าผลักดันและควบคุมพื้นที่ชุมนุมในทิศทางแยกมิสกวันไปยังแยก จปร. แยกเทวกรรม ไปยังสะพานมัฆวานรังสรรค์
และรักษาแนวที่บริเวณเชิงสะพานชมัยมรุเชฐ
2.2 มทบ.11 : ปรับกำลังของ ทภ.3 จำนวน 11 ร้อย.รส. บก.ศอฉ.ขึ้นควบคุมทางยุทธการกับ พล.1 รอ. เพื่อเพิ่มเติมข้อปฏิบัติในข้อ 2.1
2.3 พล.ร.2 รอ. : ปรับกำลังในพื้นที่รับผิดชอบ จำนวน 14 ร้อย.รส.
เข้าผลักดันและควบคุมพื้นที่ชุมนุมในทิศทางแยกคอกวัว ไปยังอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
2.4 พล.ร.9 : ปรับกำลังในพื้นที่รับผิดชอบ จำนวน 10 ร้อย รส. ขึ้นควบคุมทางยุทธการ กับ พล.ร.2 รอ. เพื่อเพิ่มเติมการปฏิบัติในข้อ 2.3
2.5 นปอ. : ปรับกำลัง รปภ.บริเวณสถานีดาวเทียมไทยคม 2 จำนวน 18 ร้อย รส. เข้าผลักดันและควบคุมเส้นทางที่มุ่งเข้าสู่พื้นที่ชุมนุม บริเวณแยกการเรือน แยกอู่ทอง แยกวังแดง แยกวัดเบญจมบพิตร แยกเสาวนีย์และแยกเทวกรรม
2.6 พล.ม.2 รอ. : จัดกำลังเพิ่มเติมจากอ้างถึงในข้อ 1.1 จำนวน 1 ร้อย รส. ขึ้นควบคุมทางยุทธการกับ พล.ร.2 รอ. เพื่อเพิ่มเติมการปฏิบัติในข้อ 2.3
2.7 นพป.ทบ. : จัดชุดปฏิบัติการพิเศษ ปฏิบัติภารกิจร่วมกับหน่วยบินเฉพาะกิจ ศอฉ. ในการตรวจการณ์และการใช้แก๊สน้ำตาทางอากาศเพื่อสนับสนุนภารกิจของ ทภ.1 / กกล.รส.ทภ.1 บริเวณพื้นที่ชุมนุมตามขั้นตอนของกฎการใช้กำลัง
2.8 สยก.ศอฉ. และ สกร.ศอฉ. : จัดชุด ปจว.ทางอากาศสนับสนุนภารกิจตามข้อ 2.7-2.8
ทั้งนี้ ในท้ายคำสั่งยังได้ระบุถึงมาตรการการใช้อาวุธด้วยว่า การใช้อาวุธต้องเป็นการดำเนินการใน 2 กรณี คือ
1 เมื่อเจ้าหน้าที่พบผู้กระทำผิดซึ่งหน้า
โดยเป็นการกระทำเพื่อป้องกันตนเองและประชาชนที่ได้รับการคุ้มครองจากเจ้าหน้าที่ไม่ให้ได้รับอันตราย
และ 2 เป็นการป้องกันภัยอันตรายที่ใกล้มาถึงและเป็นอันตรายต่อชีวิตของเจ้าหน้าที่หรือประชาชนที่ได้รับการคุ้มครองจากเจ้าหน้าที่
ซึ่งการใช้อาวุธต้องใช้ตามลำดับขึ้น คือ (1) ให้แจ้งเตือนด้วยวาจา เพื่อให้ผู้ก่อเหตุหยุดการกระทำดังกล่าว (2) การยิงเตือนขึ้นฟ้า หรือเป็นการยิงในทิศทางที่ปลอดภัย
และ (3) การใช้อาวุธตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย และสมควรแก่เหตุ
เมื่อตรวจสอบผ่าน “มติชน” บันทึกประเทศไทย ปี 2553 ดำเนินไปอย่างไร
สถานการณ์ม็อบมาถึงจุดเดือดในวันที่ 10 เมษายน 2553 เมื่อมีการสั่งทหารให้ปฏิบัติ การ “ขอพื้นที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศคืน”
โดยลุยสลายม็อบตั้งแต่ช่วงบ่ายต่อเนื่องไปจนถึงเวลาค่ำ
ปะทะกันถึงขั้นนองเลือดที่สี่แยกคอกวัว ถนนดินสอและหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา ทั้งผู้ชุมนุมและทหารบาดเจ็บ ตายจำนวนมาก
บุคคลสำคัญที่ได้รับบาดเจ็บ คือ พล.ต.วลิต โรจนภักดี ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ร.2 รอ.) ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาและนำกำลังเข้าควบคุมสถานการณ์
ถูกระเบิดเอ็ม 79 ตกเข้าใส่ พร้อมกับนายทหารระดับ พ.อ.หลายคนที่อยู่ใกล้บริเวณดังกล่าว และมีนายทหารระดับพันเอกเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ คือ พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม รอง เสธ.พล.ร.2 รอ. ค่ายพรหมโยธี จ.ปราจีนบุรี
นอกจากนี้ ยังมีผู้สื่อข่าวต่างประเทศเสียชีวิตด้วย คือ นายฮิโรยูกิ มูราโมโต ชาวญี่ปุ่น สังกัดสำนักข่าวรอยเตอร์
ศูนย์บริการการแพทย์ฉุกเฉิน สำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร หรือศูนย์เอราวัณ รายงานตัวเลขผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตว่า มีผู้เสียชีวิต 20 คนเป็นพลเรือน 15 ราย นายทหาร 5 ราย
บาดเจ็บรวม 858 คน ต่อมา มีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 2 คน
หากประเมินจากคำสั่งของ ศอฉ.เด่นชัดอย่างยิ่งว่า ได้สรุปบทเรียนไม่เพียงแต่จากความจัดเจนเมื่อเดือนเมษายน 2552 หากที่สำคัญเป็นอย่างมากยังเป็นความจัดเจนที่เพิ่งประสบในวันที่ 9 เมษายน 2553
ทำท่าเหมือนจะรุกเข้าจัดการที่แยกราชประสงค์ ทั้งๆ ที่เป้าแท้จริงอยู่ที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ ถนนราชดำเนินมากกว่า
ภาพบันทึกจาก “ภาพชีวิตและการต่อสู้ของคนเสื้อแดง” จึงปรากฏชัด
เป็นภาพเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 คนเสื้อแดงที่ราชประสงค์ตั้งแนวรับเผชิญหน้ากับตำรวจปราบจลาจลบริเวณสถานีรถไฟฟ้าชิดลมในช่วงบ่าย
ขณะที่คนเสื้อแดงที่สะพานผ่านฟ้ากำลังถูกทหารเข้าสลายการชุมนุม
เป็นภาพทหารชุดที่เคลื่อนกำลังมาจากกองทัพภาคที่ 1 ตั้งแต่ตอนเที่ยงวันผลักดันผู้ชุมนุมมาถึงบริเวณสะพานมัฆวานฯ คนเสื้อแดงพยายามรวมตัวกันต่อต้านด้วยวิธีการต่างๆ
ตั้งแต่ใช้มือผลัก แย่งโล่และกระบอง รวมทั้งขว้างปาสิ่งของที่หาได้ใกล้ตัวในที่ชุมนุมไล่ทหาร
ขณะเดียวกัน ก็ชูมือทั้งสองข้างแสดงให้เห็นว่าไม่มีอาวุธแต่อย่างใด
ขณะเดียวกัน ผู้ชุมนุมใช้กรวยจราจรช่วยขยายเสียง ตะโกนต่อรองให้ทหารถอยจากพื้นที่ชุมนุมเพื่อไม่ให้เกิดการปะทะและนำไปสู่ความสูญเสีย ทหาร 2 นายชี้หน้าและตะโกนขับไล่คนเสื้อแดง
ขณะที่อีกนายหนึ่งเล็งปืนลูกซองไปยังผู้ชุมนุมซึ่งเป็นหญิงที่ยืนเผชิญหน้าทหารอย่างไม่เกรงกลัว
ทั้งหมดนี้เป็นภาพที่เห็นตั้งแต่บ่ายของวันที่ 10 เมษายน 2553