

ของดีมีอยู่ | ปราปต์ บุนปาน
เป็นที่ชัดเจนว่า “รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร-เพื่อไทย” ยืนหยัดจะ “สู้ต่อ”
คำถามใหญ่ๆ กว้างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในใจของหลายคน ก็คือ แล้วไง?
ตามมาด้วยคำถามย่อยๆ อีกชุดใหญ่ เช่น ต่อไปนี้ รัฐบาลจะมีใครเป็น “ศัตรู-คู่แข่ง” บ้าง? ซึ่งคำตอบก็พอมองเห็นภาพกันออกอยู่แล้ว แถมยังชัดเจนและเพิ่มจำนวนขึ้นด้วย
แต่คำถามย่อยอีกข้อที่สำคัญไม่แพ้กัน ก็คือ ตอนนี้ มีใครเป็น “มิตรแท้” กับเพื่อไทยบ้าง?

บรรดาพรรคร่วมรัฐบาลขนาดกลาง-ขนาดเล็กที่ร่วมขบวน “ไปต่อ” ด้วยกัน อาจถูกเรียกขานเป็น “เพื่อนร่วมงาน” ได้
แต่ยากจะหาหลักฐานมายืนยันว่าทุกพรรคเป็น “มิตรแท้” ของเพื่อไทย
ถ้านิยาม “มิตรแท้” ว่าหมายถึงเพื่อนผู้พร้อมจะปักหลักสู้ต่อกับเรา ยามมีภัยร้ายมาถึงตัว โดยปราศจากเงื่อนไข ข้อต่อรอง และผลประโยชน์แลกเปลี่ยนที่สลับซับซ้อนเต็มไปหมด
หาก “คนที่ไปต่อกับเรา” นั้น “อยู่ต่อ” แบบมีเงื่อนไข ข้อต่อรอง และผลประโยชน์แลกเปลี่ยนเยอะแยะวุ่นวาย นั่นก็คงไม่ใช่ “มิตรแท้” สักเท่าไหร่
“อำนาจพันลึก” ต่างๆ ที่ “ดีล” ด้วยได้ ก็คงจะมิใช่ “มิตรแท้” เช่นกัน
เพราะนั่นคือ “ของร้อน” ที่สามารถให้ทั้ง “คุณอนันต์” และ “โทษมหันต์” ต่อเรา อย่างผันแปรไปได้ตลอดเวลา โดยยากจะคาดเดา
“มิตรที่ดี” ต้องเห็นด้วย-ท้วงติงเราอย่างซื่อสัตย์ซื่อตรงในทุกโอกาส เมื่อทำดีต้องให้กำลังใจกัน ทำพลาดต้องกล้าจะตักเตือนวิพากษ์วิจารณ์
แต่ “มิตรที่ดีที่แท้” ไม่ใช่ “นักฉกฉวยโอกาส” ซึ่งฉวยใช้เรา ยามเขาได้ประโยชน์ แล้วผลักไสถีบซ้ำเรา ยามเราหมดประโยชน์แล้ว

ไปๆ มาๆ “มิตรแท้” เพียงกลุ่มเดียว ที่ “รัฐบาลแพทองธาร-เพื่อไทย” อาจจะพอเข้าถึงได้บ้าง ก็ไม่ใช่ใครอื่น นอกจาก “ประชาชน” (ซึ่งกว้างใหญ่ไพศาลกว่าชื่อพรรคการเมือง)
“ประชาชน” ที่ไทยรักไทย พลังประชาชน เพื่อไทยยุคก่อน เคยเข้าใจ เคยยึดถือพวกเขาทั้งหลายเป็น “ผนังทองแดงกำแพงเหล็ก” ของตนเอง
“ประชาชน” ที่ก็มีเงื่อนไข ข้อต่อรอง และผลประโยชน์แลกเปลี่ยนกับพรรคการเมือง-รัฐบาลเหมือนกันนั่นแหละ
เพียงแต่ด้วยความที่พวกเขาเป็นผู้คนจำนวนมหาศาล มีกลุ่มก้อนหลายหลาก เมื่อต้องมารวมตัวกันแสดง “เจตจำนงร่วมทางการเมือง” ผ่านคูหาเลือกตั้ง ข้อต่อรอง-ข้อเรียกร้องที่ “ประชาชน” มีต่อผู้แทนราษฎรของตน จึงเรียบง่าย จับต้องได้ชัดเจน ไม่ซับซ้อน ไม่ซ่อนเงื่อน
ในยุคสมัยปัจจุบัน “ประชาชน” ยังมีสถานะเป็น “พลเมืองเน็ต” ที่แม้หลายคราวอาจไหลเท-หลงทางไปตามกระแสอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ บวกๆ ลบๆ ของสังคม แต่นี่ก็เป็น “เสียงสะท้อนใหญ่” ที่รัฐบาลและพรรคการเมืองสมควรรับฟัง แล้วนำไปขบคิดทำการบ้านต่อ ว่าทำไม “ประชาชน” จึงมีความคิดเห็นต่อเรื่องต่างๆ ในลักษณะนั้นลักษณะนี้
ที่สำคัญ แม้ “ประชาชน” กลุ่มนู้นกลุ่มนี้ อาจด่าเราบ้าง แบกเราบ้าง แต่พวกเขาก็ไม่มีศักยภาพมากพอจะ “ฉกโอกาส-ฉวยประโยชน์” ก้อนโตจากบรรดานักการเมือง
น่าเสียดายว่า ความสามารถที่ “พรรคเพื่อไทยยุคปัจจุบัน” คล้ายจะสูญเสียไป คือ การทำความเข้าใจ การมัดใจ การครองใจ “ประชาชน” ส่วนใหญ่ของประเทศ
ยิ่งได้ฟังคำแถลง-คำให้สัมภาษณ์ของนายกรัฐมนตรีภายหลัง “วิกฤตการณ์ไทย-กัมพูชา” เป็นต้นมา นั่นก็ยิ่งตอกย้ำว่า รัฐบาลยังคงมี “ระยะห่าง” จากอารมณ์ความรู้สึกและสามัญสำนึกของสามัญชนผู้คนธรรมดาในสังคม
โจทย์จึงอยู่ที่ว่า “รัฐบาลแพทองธาร-เพื่อไทย” จะคืนดีกับ “มิตรแท้” “ผนังทองแดงกำแพงเหล็ก” หรือ “หัวใจ” ของตนเองอีกครั้งได้อย่างไร?