

เอกภาพ | พิชัย แก้ววิชิต
เมื่อถึงทีที่ต้องเลือก ระหว่างสิ่งใดในสิ่งหนึ่ง หากแต่สิ่งทั้งสองมักมีเหตุผลชวนให้ลังเลอยู่ในที มันอาจเป็นตัวเลือกที่ดีด้วยกันทั้งคู่ หรืออาจแย่ด้วยกันทั้งหมด บนจุดยืนของความลังเลใจนี้ มีทางแยกให้ต้องเลือก คงต้องใช้ความคิดและความรู้สึกกันพอควร ท่ามกลางความลังเลใจ
พระเครื่องมีสองด้านสลับกลับหัว ด้านหนึ่งนั้นมากตำหนิสะกิดใจให้สวยน้อย ส่วนอีกด้านริ้วรอยน้อยจึงแลสวยกว่าสมเหตุผล ด้วยนานแล้วไม่ได้ห้อยพระ จึงใคร่อยากจะหาความเป็นสิริให้ห้อยไว้อยู่ที่คอ เผื่อแผ่จนถึงใจด้วยหวังสงบระงับด้วยอำนาจบุญของคุณพระ
ด้วยความมุ่งหวัง จึงเลือกแล้วที่จะเอาด้านที่สวยกว่าให้หันออกหน้าสู่โลกภายนอก ส่วนอีกด้านมากตำหนิจึงหันให้หลบแนบไว้กับอกของตัวเอง เพียงเท่านี้ก็จบเรื่องห้อยพระขึ้นคอ
ทว่า ไม่นานนัก ความรู้สึกลึกๆ ข้างในกลับไม่สงบและเงียบอย่างที่ใจปรารถนา
และผมกำลังรู้สึกเหมือนถูกใครบางคนกำลังต่อว่า ให้ได้ลังเลใจ
“นาย (จะสมมุติเอาคำว่า “มึง” ก็ได้ตามสะดวก) มันไม่ยอมรับความจริง!! ทำไมไม่พลิกด้านไม่สวยออกหน้าละ คงทำใจไม่ได้สินะ!? ยอมรับมันซะ แล้วอยู่กับความไม่สมบูรณ์แบบของอีกด้านให้ได้ ถ้ายอมรับได้ในสิ่งนี้ ก็ไม่เห็นมีอะไรต้องแบกรับกับสิ่งที่กำลังปิดบัง”
“เลิกใส่ใจ ไม่จำเป็นต้องเอาความรู้สึกดีๆ ไปยึดติดกับความสวยหรือไม่สวย หรือนายอยากจะเอาความกังวลมาห้อยแขวน ถ้ายอมรับได้กับความไม่สมบูรณ์แบบ นายจะมีอิสระ”
แบบนี้ฟังดูมีเหตุผล ห้อยพระตามแนว “วาบิซาบิ” แต่ด้วยยังมีอีกใจที่ลังเล และไม่ยอมความตามนี้
“ไม่ดีมั้งง!! โบราณเขาถือพระมีตำหนิ ไม่เหมาะๆ มันดูไม่ดีไม่เป็นมงคล พระมีตำหนิตรงหน้าอกเป็นรอยโบ๋ แบบนี้เหมือนกับ “พระอกแตก” เคยได้ยินมั้ย “อกแตกตายน่ะ” เอาด้านสวยตำหนิน้อยออกหน้าน่ะดีแล้ว ส่วนไอ้ด้านที่ไม่สวยก็ไม่ต้องหันออก หลบไว้ เชื่อคำโบราณไว้ไม่เสียหลาย ของแตกๆ หักๆ บ้านเราเขาไม่สู้จะใช้กัน หรือจะเปลี่ยนพระ ห้อยเป็นองค์อื่นจะดีกว่า”
เอาละสิ! ลังเลแท้แล้วในคราวนี้ จะเชื่อใครดี ระหว่างวิถีแบบ “วาบิซาบิ” กับสภาวะ “อกแตกตาย”

ผมจะเลิกลังเลได้ในแบบไหน เมื่อการตัดสินใจยังขึ้นอยู่กับกลไกความคิด และกับชีวิตที่ยังรู้สึกเปรียบเทียบ บ่อยครั้งยังคงถูกโน้มน้าวอยู่ด้วยความไม่รู้เท่า ด้วยระดับความตื้นลึกและหนาบางของความเชื่อ ที่มักชวนให้ชัดเจนเพียงด้านเดียว และปล่อยให้อีกด้านพร่ามัวอยู่ร่ำไป อาจเป็นแบบนี้นี่เอง ถึงยังผูกพันกับความลังเลในหลายๆ เรื่อง
เหลือบมองดูเวลา ไม่เหมาะสมที่จะเลือกมากให้ยากนาน คงต้องปล่อยให้คาใจให้ความลังเลล่วงไปก่อน และไม่ลังเลใจที่จะบอกว่า เวลาของการส่งต้นฉบับขยับเข้ามาถึงแล้ว และเรื่องราวยังคงเป็นศูนย์ จึงขอเนื้อขอตัวหาเรื่องราวทำหน้าที่อันชอบทำ แล้วพบกันใหม่ด้วยใจที่ไร้ลังเล
“เรื่องเล็กๆ ของคนตัวเล็ก พอลังเลอยู่ได้ไม่เป็นไร คนตัวใหญ่กับเรื่องไม่เล็ก ลังเลได้แต่อย่านาน เพราะชาวบ้านเขาจะลังเลสงสัยไปกันใหญ่”
ขอบคุณมากมายครับ