เว็บไซต์นี้ใช้คุ้กกี้เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีมีประสิทธิภาพยิ่งขี้น อ่านเพิ่มเติมคลิก (Privacy Policy) และ (Cookies Policy)
bg-single

จีนหนุนสยาม คุมคาบสมุทรสุวรรณภูมิ

06.07.2025

| สุจิตต์ วงษ์เทศ

จีนให้ความสำคัญต่อสยาม (ลุ่มน้ำท่าจีน-แม่กลอง) เพื่อควบคุมเส้นทางการค้าตะวันออก-ตะวันตก ด้วยการขนสินค้าข้ามคาบสมทุร จึงมีการติดต่อกับสยามถี่ขึ้นเมื่อเทียบกับเมืองอื่นๆ ช่วงเวลาเดียวกัน ตามที่พบหลักฐานในเอกสารจีนเมื่อมากกว่า 700 ปีมาแล้ว ตั้งแต่เรือน พ.ศ.1800

ช่องแคบมะละกา (อยู่ปลายแผ่นดินคาบสมุทรสุวรรณภูมิ) เป็นที่รู้จักทั่วไปของนักเดินเรือทะเลสมุทรมากกว่า 700 ปีมาแล้ว ว่าเป็นเส้นทางเดินเรืออันตรายมากๆ ดังนี้

(1.) ลมพายุแรงจัด คลื่นมหึมา (2.) โจรสลัดชุกชุมคอยปล้นสะดมไม่ละเว้น และ (3.) ใช้เวลาเดินทางนานมากกว่าจะถึงอินเดีย, ลังกา ทำให้ไป-กลับจีนไม่สอดคล้องลมมรสุม

ดังนั้น นักเดินเรือสมัยโบราณพากันหลีกเลี่ยงช่องแคบมะละกาไปใช้เส้นทางบกขนสินค้าข้ามคาบสมุทร ทำให้จีนหนุนสยามควบคุมเส้นทางการค้าตะวันออก-ตะวันตกโดยข้ามคาบสมุทรสุวรรณภูมิ

ในที่สุดส่งผลให้อยุธยาเป็นชุมทางการค้านานาชาติเพื่อซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าจากจีน

คาบสมุทรสุวรรณภูมิ

แผ่นดินใหญ่สุวรรณภูมิ มีส่วนปลายด้านทิศใต้เป็นแผ่นดินทอดยาวยื่นลงไปในมหาสมุทร เรียก คาบสมุทรสุวรรณภูมิ จึงมีทะเลขนาบ 2 ด้าน คือ ทะเลจีนกับทะเลอันดามัน และมีลมมรสุมพัดผ่านซึ่งมีประโยชน์มากต่อการเดินเรือทะเล ราว 700 ปีมาแล้ว

เส้นทางบกข้ามคาบสมุทร จากทะเลจีน อ่าวไทย (มหาสมุทรแปซิฟิก) ไปท่าเรือทะเลอันดามัน อ่าวเบงกอล (มหาสมุทรอินเดีย) มีบรรดาพ่อค้าจากอินเดีย, จีน และอื่นๆ ขนสินค้าข้ามไปมาเสมอๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการเดินเรือผ่านช่องแคบมะละกา ดังนี้

ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ (ฤดูหนาวของสยาม) พัดจากจีนไปสยาม เริ่มราวกลางเดือนตุลาคม-กลางเดือนกุมภาพันธ์ (ต่อเนื่องมีนาคม) เหมาะสำหรับแล่นสำเภาจากจีนไปสยาม

ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ (ฤดูฝนของสยาม) พัดจากสยามไปจีน เริ่มราวกลางเดือนพฤษภาคม-ปลายเดือนกันยายน เหมาะสำหรับแล่นเรือสำเภาจากสยามกลับจีน

ช่วงว่าง 2 เดือน มีนาคม, เมษายน เป็นเวลาทำธุรกิจคั่งค้างและซ่อมเรือที่ชำรุดให้สมบูรณ์เพื่อแล่นกลับจีน

ท่าเรือ ที่สำคัญเป็นที่รู้จักกว้างขวางบริเวณคาบสมุทร มี 2 ฟากมหาสมุทร ได้แก่ ชุมพร, นครศรีธรรมราช, สงขลา, ปัตตานี, ตรัง, ตะกั่วป่า, ระนอง (คอคอดกระ) ฯลฯ

เส้นทางสำคัญ มี 2 เส้นทาง ได้แก่ ช่องสิงขร บริเวณประจวบคีรีขันธ์ ผ่านช่องเขาไปเมืองตะนาวศรี, เมืองมะริด และช่องเขาสามแก้ว ไประนอง

ไทยในเอกสารจีน

เอกสารจีนระบุชื่อบ้านเมืองเกี่ยวข้องประวัติศาสตร์ไทย ที่ต้องทำความเข้าใจให้ตรงกันก่อน ดังนี้

หลอหู หมายถึง เมืองละโว้ (ลพบุรี) ลุ่มน้ำป่าสัก-ลพบุรี

เสียน หมายถึง สยาม คือ เมืองสุพรรณภูมิ (สุพรรณบุรี) ลุ่มน้ำท่าจีน-แม่กลอง

ซู่กู่ไถ หมายถึง เมืองสุโขทัย ลุ่มน้ำยม-น่าน

ปี้ชาปู้หลี หมายถึง เมืองเพชรบุรี ลุ่มน้ำเพชรบุรี

ก่อนหน้านี้นักปราชญ์และนักค้นคว้าเคยเข้าใจว่า “เสียน” (ในจดหมายเหตุจีน) หมายถึงสยาม คือเมืองสุโขทัย

แต่หลังจากนั้นนักวิชาการพบหลักฐานว่า “เสียน” (ในจดหมายเหตุจีน) หมายถึงสยาม คือเมืองสุพรรณภูมิ (มีศูนย์กลางอยู่สุพรรณบุรี) ซึ่งไม่ใช่สุโขทัย เพราะถ้าจะหมายถึงสุโขทัยในเอกสารจีนระบุตรงๆ ทับศัพท์ว่าตามสำเนียงจีน “ซู่กู่ไถ”

ชุมชนพ่อค้าจีนในอโยธยา (ก่อนสมัยอยุธยา) ที่วัดพนัญเชิง บริเวณบางกะจะที่แม่น้ำป่าสัก ไหลสบแม่น้ำเจ้าพระยา จ.พระนครศรีอยุธยา
[ลายเส้นจากภาพถ่ายในหนังสือของอองรี มูโอต์ นักสำรวจและนักธรรมชาติวิทยา ชาวฝรั่งเศส ซึ่งเดินทางเข้ามาสำรวจดินแดนสยาม ลาว และกัมพูชา แผ่นดิน ร.4 พ.ศ.2401-2404 จากหนังสือ Travels in Siam Cambodia and Laos 1858-1860, Oxford University Press, 1989.]

อโยธยา-อยุธยา

การค้าทางทะเลกับจีนเติบโตมั่งคั่งอย่างยิ่ง ทำให้สยามกับละโว้ร่วมกันสถาปนาเมืองอโยธยาเพื่อค้ากับจีนได้สะดวกกว่าเดิม บริเวณชุมทางแม่น้ำ 3 สาย คือ เจ้าพระยา, ป่าสัก, ลพบุรี

พ่อค้าจีนรวมตัวกันตั้งหลักแหล่งเป็นชุมชนขนาดใหญ่บริเวณชุมทางแม่น้ำเรียกบางกะจะ ต่อมาได้สร้างวัดแล้วบูรณปฏิสังขรณ์ให้มีขนาดใหญ่โตตามวัฒนธรรมจีน เรียกวัดพนัญเชิง

โรคระบาด ต่อมาอโยธยามีโรคระบาด คือ กาฬโรค (Black Death) ผู้คนล้มตายมาก

แก้อาถรรพ์ สังคมครั้งนั้นเชื่อว่าโรคระบาดเป็นการกระทำของ “ผีห่า” ต้องแก้ไขด้วยการเลี้ยงผีล้างอาถรรพ์ แล้วย้ายศูนย์กลางอำนาจจากอโยธยาไปสร้างใหม่บริเวณหนองโสน โดยสถาปนาชื่อใหม่ว่า “อยุธยา”

ความขัดแย้ง

กษัตริย์องค์แรกของอยุธยาสืบจากกษัตริย์องค์สุดท้ายของอโยธยา หลังจากนั้นผลัดกันขึ้นเป็นใหญ่ในอยุธยาระหว่างวงศ์ละโว้-อโยธยา กับวงศ์สยาม-สุพรรณภูมิ แล้วเกิดความขัดแย้งทางการเมือง ดังนี้

1. พระรามาธิบดี (ละโว้-อโยธยา พ.ศ.1893-1912)

2. พระราเมศวร (ครั้งที่ 1) (ละโว้-อโยธยา พ.ศ.1912-1913)

ขุนหลวงพระงั่วยกกำลังเมืองสุพรรณภูมิ (สุพรรณบุรี) ชิงอำนาจจากพระราเมศวร แล้วขึ้นเสวยราชย์เป็นกษัตริย์อยุธยา พระนามบรมราชาที่ 1 [ทางเมืองสุพรรณภูมิ มอบให้เจ้านครอินทร์ (โอรส) เป็นกษัตริย์]

ส่วนพระราเมศวรไปครองเมืองละโว้ (ลพบุรี) ขึ้นกับอยุธยา

3. พระบรมราชาที่ 1 (สยาม-สุพรรณ พ.ศ.1913-1931)

4. พระเจ้าทองลัน (สยาม-สุพรรณ พ.ศ.1931-?)

พระราเมศวรยกจากละโว้สำเร็จโทษพระเจ้าทองลัน แล้วขึ้นเสวยราชย์ (ครั้งที่ 2) เป็นกษัตริย์อยุธยา

5. พระราเมศวร (ครั้งที่ 2) (ละโว้-อโยธยา พ.ศ.1931-1938)

6. พระรามราชา (ละโว้-อโยธยา พ.ศ.1938-1952)

เจ้านครอินทร์ (ด้วยการอุดหนุนอย่างแข็งแรงจากจีน) ชิงอำนาจจากพระรามราชา แล้วขึ้นเสวยราชย์เป็นกษัตริย์อยุธยา

7. เจ้านครอินทร์ (สยาม-สุพรรณ พ.ศ.1952-1967)

จีนหนุนเจ้านครอินทร์ยึดอำนาจครองอยุธยา เท่ากับจีนหนุนสยามควบคุมเส้นทางข้ามคาบสมุทรสุวรรณภูมิ แล้วผลักดันอยุธยาเป็นชุมทางการค้านานาชาติจนมั่งคั่งแล้วได้รับยกย่องจากยุโรปว่าเป็น “ราชอาณาจักรสยาม” ซึ่งนับเป็นอาณาจักรสยามแห่งแรกของไทย

https://twitter.com/matichonweekly/status/1552197630306177024?fbclid=IwAR22RbstgOdFjK3Kl_MAt_MusBlq5oxijEcCbx_-0y6zmJhXvZl3Q_2G-cE



เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต

ฟังเสียง ‘เยาวชน’ | ปราปต์ บุนปาน
“One Plan” โมเดลใหม่ ขับเคลื่อนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สู่การพัฒนาที่ยั่งยืนในทุกพื้นที่
ตลาด..ชีวิตและความหวัง | เรื่องสั้น : มีนา ฟ้าศุกร์
ทำเล
ไม้ดัดในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร | กวีกระวาด : สิริวตี
ดาวกับดวงวันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม 2568
‘กฤษฎีกา-เพื่อไทย’ มองต่างมุม ไพ่ในมือรักษาการนายกฯ ผ่าทางตัน ‘ยุบสภา’ ได้หรือไม่ได้
ภาษีปนาวุธ ทรัมป์ถล่มข้ามทวีป ทีมไทยแลนด์ร่อแร่
‘ภูมิธรรม’ จัดแถวมหาดไทย ล้างบาง ‘สิงห์น้ำเงิน’ ประเดิมย้าย 2 อธิบดีเข้ากรุ จับตา ‘เขากระโดง’ เปิดแผล ‘ปราสาทสายฟ้า’
แค่ลมหายใจ ก็รู้ทันใดว่าอ้วน!!
การปกครองเปลี่ยน-แฟชั่นปรับ : แฟชั่นสมัยคณะราษฎร-สงคราม (12) เจ้านายสนับสนุนรัฐนิยมในสมัยสร้างชาติ
สวนสาธารณะสูงวัย : สังคมภายนอกครอบครัว และบทเรียนจากเฉิงตู