

หลังเลนส์ในดงลึก | ปริญญากร วรวรรณ
เนิ่นนานหลายปีก่อน
ในผืนป่าเบญจพรรณ ลำห้วยที่เรา ผมกับ ลุงสา คนงานจากหน่วยพิทักษ์ป่าอาวุโส กำลังเดินอยู่มีระดับน้ำค่อนข้างน้อย บางช่วงเป็นสันทรายกว้าง สายน้ำเหลือเพียงร่องเล็กๆ การเดินย่ำไปบนผืนทรายไม่ง่ายนัก ก้าวเท้าแต่ละก้าว เท้าจมลงในทรายจนท่วมข้อเท้า
“ไหวไหม” ลุงสาที่เดินข้างหน้าหันมาถามเพราะเห็นผมชักเท้าขึ้นจากทรายยาก ผมพยักหน้า เหงื่อชุ่มไหลเข้าตา ผมขยับผ้าคาดหัว
“อีกสักชั่วโมงก็ถึงโป่ง แล้งๆ อย่างนี้น่าจะมีอะไรลงบ้าง” ในวันที่ กระทิง ยังมีประชากรไม่มาก การจะพบเจอพวกมันไม่ง่ายแม้ว่าจะเป็นในผืนป่าอนุรักษ์
เราออกเดินจากหน่วยตั้งแต่เช้า เลาะไปตามลำห้วย ซึ่งหลายช่วงอยู่ห่างจากแนวเขตไม่มาก
ดูจากแผนที่ ระยะทางถึงจุดหมาย แค่ราว 8 กิโลเมตร แต่การเดินบนผืนทรายทำให้ไปได้ช้า
“เลยโค้งข้างหน้า เราจะแยกขึ้นป่า เดินตามด่านสัตว์ไม่ยากแล้ว” ลุงสาพูดอย่างให้กำลังใจ
สัมภาระหนัก ก้าวแต่ละก้าวไปไม่ง่าย มีเพียงแค่กำลังกายคล้ายจะไม่พอ
เราแยกจากลำห้วย เดินไปตามด่าน ความร้อนบรรเทา ไม่มีไอระอุสะท้อนจากผืนทราย จากลำห้วยมาราว 300 เมตร แนวป่าด้านขวามือ กิ่งไม้ไหวยวบยาบ ฝูงค่างทยอยกระโจนไปตามกิ่งไม้
“ตูม” เสียงปืนดังแทรกขึ้นมา ผมชะงักเท้า ลุงสาปลดลูกซองห้านัดลงจากบ่า แกแตะไหล่ผมให้นั่งลง มีเสียงเดินอยู่ใกล้ๆ ผมมองหน้าแก
“พวกล่าสัตว์” ผมอ่านริมฝีปากแกได้เช่นนี้ เสียงเดินเข้ามา และเจ้าของเสียงฝีเท้าก็เดินพ้นโค้งมาพบเรา เป็นผู้ชายอาวุโส ร่างผอมเกร็ง ในชุดสีมอๆ ผ้าขาวม้าสีซีดโพกหัว ในมือหิ้วร่างร่องแร่งของสัตว์สีดำๆ มันคือค่างแว่น
เขาสะดุ้งเมื่อพบเรา หยุดชะงักลงนั่งยองๆ มือปล่อยค่างแว่นวางข้างตัว ยกมือไหว้
เราเดินเข้าไปใกล้ๆ ดวงตาค่างแว่นยังเบิกโพลง เลือดแถวหน้าอกไหลริน
“ยิงมันทำไมวะ” ลุงสาถามอย่างโมโห
“ขอสักตัวเถอะนาย ที่บ้านจะได้มีเนื้อกินบ้าง” จากบ้านชายป่าแกใช้เวลาไม่นานมาถึงนี่
“ครั้งเดียวนี่แหละ จะไม่ทำแล้ว ขอเถอะนาย” แกยกมือไหว้ น้ำเสียงสั่นเครือ สายตาวิงวอน
ว่าตามจริง วันนั้น ผมเห็นเพียงสภาพอันน่าเวทนาของค่าง ไม่เห็นหรอกว่าสายตาของชายอาวุโสคนนั้นเป็นเช่นไร
ผ่านมานานพอสมควร ผมนึกถึงสายตาคู่นั้น และเริ่มเข้าใจความหมาย
เริ่มเข้าใจ พร้อมๆ กับมีคำถาม และคำตอบในใจ
อีกครั้งหนึ่ง บนสันดอยแคบๆ ที่ทอดตัวยาว ดวงอาทิตย์ลับสันเขาไปแล้ว ผมเดินเคียงข้าง จะปุ๊ คู่หูชาวมูเซอดำ ขาตั้งกล้องที่เขาแบกดูแปลกแยกจากเสื้อผ้าที่เขาใส่ไปบ้าง
“ตูม” เสียงปืนดังก้องกังวานจากในหุบเขา
“คงได้อะไรแหละ ไม่เก้งก็หมู” คู่หูพูดเบาๆ “หน้าแล้งก็แบบนี้ ข้าวก็เกี่ยวหมดแล้ว คนอยู่ว่างๆ”
ท้องฟ้าสีเข้มจัด ขอบฟ้าเป็นเส้นตรง มีบทเรียนมากมายบนเส้นทางที่เดินผ่านมา
“คนมันต้องกินนะพี่ใหญ่” คู่หูพูดเรื่อยๆ
บางครั้ง ผมรู้สึกได้ว่า โลกนี้ไม่กว้างนักสำหรับบางชีวิต มันแคบเกินกว่าจะอาศัยอยู่ได้ด้วยซ้ำ
ในป่ามีเสียงปืน และดูเหมือนว่าจะไม่เคยหยุด

อยู่บนดอยสูง ในฤดูแล้ง คืนข้างแรมท้องฟ้าถูกแต่งแต้มด้วยแสงระยิบระยับของดาวมหาศาล แต่แคมป์ใต้ดงไม้ทึบของเรา ใบไม้คลุมหนาเกินกว่าจะมองเห็นประกายความงามเหล่านั้น ถ้าอยากเห็นต้องเดินไต่ขึ้นสันดอยไปพักใหญ่
เราก่อไฟกองเล็ก จะปุ๊หายเข้าไปในพุ่มไม้ กลิ่นเอียนๆ ลอยฟุ้ง ค่ำๆ เช่นนี้คือเวลารื่นรมย์กับฝิ่นของเขา
ผมมองเปลวไฟไหววูบวาบ กลิ่นเอียนๆ ไม่ได้รบกวนอะไร ทุกชีวิตดำเนินไปตามวิถี
ผ่านวันเวลามายาวนาน แววตาของชายชราที่ยิงค่างแว่นตัวหนึ่ง ผมจำได้ดี เสียงปืนที่ผมได้ยินในป่า นั่นหมายถึงมีชีวิตหนึ่งจบลง
วันนี้ ถึงวันที่ดูเหมือนว่าสัตว์ป่าหลายชนิดไม่ใช่สิ่งหายากแล้ว ประชากรสัตว์ป่าอย่าง กระทิง ช้าง เพิ่มจำนวน แน่นอนว่าในหลายพื้นที่มันเป็นการเพิ่มจำนวนแบบขาดสมดุล ในขณะที่ความต้องการพื้นที่ของคนก็เพิ่มขึ้น และมันเกิดการปะทะ ระหว่างคนกับสัตว์ป่า เป็นปัญหาที่เรารู้กันดี เสียงปืนยังคงดัง ครั้งนี้ไม่ใช่ดังเพราะต้องการอาหาร แต่ดังเพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สิน
การแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ คล้ายจะขยายปัญหาให้ใหญ่ขึ้น
อีกทั้งไม่ใช่เรื่องง่ายดาย ที่จะทำความเข้าใจอย่างแท้จริงและยอมรับถึงวิธีอันจะทำให้ “สงคราม” นี้จบลง ระหว่างคนด้วยกัน ก็ไม่ง่ายเช่นกัน
กองไฟส่องแสงวับแวม แมลงกลางคืนกรีดเสียงอยู่รอบๆ แทรกด้วยเสียงนกเค้าภูเขา
ข้างกองไฟกองเล็ก ผมเกิดคำถามในใจ ถึงที่สุด หากต้องเลือกระหว่างชีวิตสัตว์ป่า กับคน ผมจะเลือกอะไร
ผมเข้าใจแววตาของชายชราคนยิงค่าง เช่นเดียวกับการกระทำของคน แววตาเบิกโพลงของช้าง กระทิงซึ่งหมดลมหายใจ หรือหนีอย่างตื่นตระหนกของสัตว์ป่า
บทเรียนบนการเดินทาง และวันเวลา ทำให้ผมยอมรับกับตัวเองว่า เป็นคำถามซึ่งผมไม่อยากรู้ “คำตอบ” นัก …