

สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาในปัจจุบัน เริ่มส่อให้เห็นถึงภาวะวิกฤตอีกครั้งอย่างไม่น่าเชื่อที่บริเวณทางด้านช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี จนเราอาจต้องเรียกชื่อนี้อีกครั้งว่า “วิกฤตการณ์ช่องบก- 2568” ซึ่งหลายท่านอาจจะเคยได้ยินเรื่องของ “สงครามช่องบก” ในยุคสงครามเย็นมาแล้ว
ดังจะเห็นได้ว่า วิกฤตในรอบนี้ ดูจะเริ่มต้นด้วยเรื่องเล็กๆ คือ ปัญหาการเผา “ศาลาตรีมุข” ซึ่งเป็นศาลาที่สร้างเป็น “สัญลักษณ์รวมใจ” ของพี่น้องใน 3 ประเทศร่วมกัน คือ ไทย ลาว และกัมพูชา แม้ศาลานี้จะอยู่ในพื้นที่ของประเทศกัมพูชาก็ตาม แต่หลายฝ่ายก็ดูจะมีความเห็นไปในทางเดียวกันว่า ผู้นำกัมพูชาน่าจะไม่ชอบเรื่องของศาลานี้
ทั้งที่ในความรู้สึกของหลายคน ศาลานี้น่าจะเป็นสัญลักษณ์เชิงบวกของมิตรภาพของประชาชน 3 ประเทศร่วมกัน จนถึงกับมีความพยายามในการตั้งชื่อพื้นที่ในเชิงสื่อสารการเมืองว่า “สามเหลี่ยมมรกต” เพื่อหวังจะเป็นอนาคตของการพัฒนาพื้นที่ร่วมกันในวันข้างหน้า
จุดเริ่มต้น
ศาลานี้สร้างเสร็จในปี 2536 (โดยทางทหารไทยเป็นผู้เข้าไปสร้าง) และมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ พื้นที่ตรงนี้จึงเป็นดังพื้นที่เปิดที่อนุญาตให้คนทั้ง 3 ประเทศเข้ามาทำพิธีทางศาสนาได้ ซึ่งทหารไทยมักเข้ามาประกอบพิธีทางศาสนาอยู่เป็นประจำ และต่อมาจะด้วยเหตุใดก็แล้วแต่ เกิดการเผาศาลานี้ แต่พระพุทธรูปได้ถูกเคลื่อนย้ายออกไปก่อน (ทางฝ่ายกัมพูชาได้คืนพระพุทธรูปให้แก่ทางไทยในภายหลัง)
เหตุการณ์ “การเผาศาลา” คือ จุดเริ่มต้นของวิกฤตการณ์ชายแดนในรอบนี้ เพราะหลังจากนั้นแล้ว ปัญหาได้บานปลายขึ้น จนนำไปสู่การจัดวางกำลังทหารในพื้นที่ของฝ่ายกัมพูชา
นอกจากการวางกำลังแล้ว ทางฝ่ายกัมพูชายังได้รุกคืบเข้ามาในเขตที่ถือเป็นดินแดนของไทย ด้วยการจัดทำ “แนวคูติดต่อ” หรือที่ทางทหารเรียกว่า “คูเลท” อันอาจเปรียบเทียบได้กับการ “ขุดแนวสนามเพลาะ” ในทางทหารนั่นเอง ซึ่งแนวนี้มีระยะความยาวประมาณ 650 เมตร และขุดล้ำเข้ามาในพื้นที่ของฝ่ายไทยประมาณ 150 เมตร (หรือถึงประมาณจุดที่มีการปะทะล่าสุด)
ผลของการจัดวางกำลังของกัมพูชาเช่นนี้ ทำให้กองทัพภาคที่ 2 ต้องจัดวางกำลังในพื้นที่ที่เป็นข้อพิพาทด้วยเช่นกัน อีกทั้งในสถานการณ์ปัจจุบัน เห็นได้ชัดเจนว่า ปัญหายังไม่ได้รับการคลี่คลายจากการเจรจาใน “ระดับสูง” ของผู้นำฝ่ายการเมืองทั้งของไทยและกัมพูชา (ดังที่ปรากฏเป็นข่าว)
ขณะเดียวกันในความเป็นจริงนั้น สถานการณ์มีแนวโน้มที่จะตึงเครียดมากขึ้น เพราะผู้นำกัมพูชาแสดงออกอย่างชัดเจนที่จะ “ไม่ถอย” ในกรณีนี้ แม้กระทั่ง การประกาศแนวทางการต่อสู้คดีในศาลโลก หากปัญหาไม่คลี่คลายจนกลายเป็นข้อพิพาทระหว่างประเทศ ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า กัมพูชาจะไม่มีนโยบายในแบบประนีประนอมกับไทยในปัญหานี้ แต่กลับแสดงออกด้วยท่าทีที่แข็งกร้าวมากขึ้น
ตัวแบบสถานการณ์จำลอง
ดังนั้น หากพิจารณาถึง “ตัวแบบจำลอง” ที่จะเป็นผลลัพธ์ของ “วิกฤตการณ์ช่องบก” ในรอบนี้แล้ว เราอาจประมาณการถึงผลลัพธ์ใน 4 ตัวแบบ ดังนี้
- ตัวแบบที่ 1 – “โลกสวยในอุดมคติ” คือ การเจรจาทางการเมืองของผู้นำประเทศทั้ง 2 จบลงอย่างชื่นมื่น และฝ่ายกัมพูชายอมถอนกำลัง และยุติการอ้างสิทธิ์ที่เกินจากแนวที่กำหนดไว้ในแผนที่เส้นเขตแดน หรือความหมายของตัวแบบนี้คือ “คุยแล้วจบหมด” และสถานการณ์ทุกอย่างกลับคืนสู่ภาวะปกติอย่างรวดเร็ว หรือจบในแบบเทพนิยายคือ “happy ending”
- ตัวแบบที่ 2 – “ครึ่งๆกลางๆ-คาราคาซัง” คือ ผลจากการเจรจานำไปสู่การถอนกำลังออกจากแนวคูเลท แต่ฝ่ายกัมพูชาจะไม่ยุติการอ้างกรรมสิทธิ์ดังกล่าว ตัวแบบนี้เป็นไปในแบบ “คุยแล้วจบชั่วคราว” และปัญหาอาจจะปะทุขึ้นอีกในวันข้างหน้า แต่ผลลัพธ์อาจจะดีที่สุดในระยะสั้น เพื่อให้วิกฤตการณ์คลายตัวออก และลดระดับความรุนแรงลง จนไม่กลายเป็นเงื่อนไขของสงครามชายแดน ตัวแบบนี้ อาจเรียกได้ว่าเป็นการถอด “ชนวนสงคราม” และผลักดันให้คณะกรรมการชายแดนของทั้ง 2 ฝ่ายคุยกันต่อไปในเรื่องของปัญหาเส้นเขตแดน
- ตัวแบบที่ 3 – “เจอกันบนศาล” คือ ผลจากการเจรจาไม่ประสบความสำเร็จ และเกิดการเรียกร้องให้นำข้อพิพาทขึ้นสู่การพิจารณาคดีของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือ “ศาลโลก” ที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ตัวแบบนี้ คือ “คุยไม่จบ” อาจเทียบเคียงได้กับกรณีคดีประสาทพระวิหารในศาลโลก 2505 แต่ผลจากคำตัดสินของศาลโลกไม่ว่าจะออกมาทางหนึ่งทางใด จะสร้าง “ความบาดหมาง” ระหว่างประเทศเพื่อนบ้านทั้ง 2 ไปอีกนาน และกลายเป็นปัญหาที่ไม่จบในระยะยาว อีกทั้งคดีจะอยู่ศาลเป็นระยะเวลาพอสมควร ไม่มีคำพิพากษาอย่างรวดเร็ว และมีค่าใช้จ่ายมาก
- ตัวแบบที่ 4 – “เจอกันในสนามรบ” คือ ตัวแบบนี้อาจจะมีการเจรจา หรืออาจไม่ทันได้เจรจากันจริงจังในระดับของฝ่ายการเมือง และสถานการณ์ขยายตัว จนควบคุมไม่ได้ และนำไปสู่ความรุนแรงในการใช้อาวุธ จนกลายเป็น “ความขัดแย้งที่มีการใช้กำลัง” ระหว่างประเทศ สำหรับตัวแบบนี้ มีคำตอบเดียวคือ “การรบ” กลายเป็นเครื่องมือในการแก้ไขข้อพิพาท ซึ่งไม่ใช่เป็นสิ่งที่ดีสำหรับอนาคตของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้ง 2 อย่างแน่นอน หรือโดยนัยของตัวแบบนี้ คือ “คุยไม่จบหมดเลย” และนำไปสู่การล้มการเจรจา ปัญหาของตัวแบบนี้มีประการเดียวคือ สงครามชายแดนจะขยายตัวออกไปเพียงใด และจะสร้างความเสียหายให้แก่ประเทศทั้ง 2 มากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะความเสียหายในกรณีชีวิตทั้งของทหารและพลเรือน
อนาคตที่ไม่ง่าย
สำหรับคนที่ทำงานชายแดนแล้ว ทุกคนรู้ดีว่า การแก้ปัญหาข้อพิพาทด้านชายแดนไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ใช่เพียงเพราะความยุ่งยากและซับซ้อนของตัวปัญหาชายแดนเอง หากแต่อีกส่วน เป็นเพราะปัญหานี้เกี่ยวโยงกับอารมณ์ความรู้สึกแบบชาตินิยม เพราะไม่มีใครต้องการเสียดินแดนให้ใคร กระบวนการแก้ปัญหาจึงต้องอาศัยทั้งการเจรจาอย่าง “รอบคอบ” และดำเนินการทุกอย่างด้วย “ความอดทน-อดกลั้น” เพื่อไม่ให้ปัญหาขยายตัวจนควบคุมไม่ได้ และมีทางเลือกเพียงการทำสงคราม
แต่กระนั้น ก็จะต้องดำเนินการบนพื้นฐานที่ “เข้มแข็ง” ในหลักการและข้อเจรจาการต่อรอง และรัฐบาลเองจะต้อง มี “ความชัดเจน” ในนโยบายทางการเมืองในการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งต้องพยายามทำให้ผลลัพธ์ของการแก้ปัญหาจบลงในแบบ “ไม่มีใครได้-ไม่มีใครเสีย” (no gain-no loss) เพื่อทำให้ความสัมพันธ์ของความเป็นเพื่อนบ้านดำเนินต่อไปได้
อีกทั้งในอีกด้าน ยังจะต้องระมัดระวังไม่ให้ปัญหาชายแดนกลายเป็น “เครื่องมือทางการเมือง” ของรัฐบาล ที่จะนำมาใช้ในการกลบเกลื่อนปัญหาการเมืองภายใน หรือใช้ในการโปรโมทตัวละครการเมืองภายใน เพราะการทำเช่นนั้น มีความเสี่ยงที่อาจนำไปสู่การใช้กำลังในการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทได้ง่าย
อย่างไรก็ตาม ด้วยสภาพความเป็นจริงในทางภูมิรัฐศาสตร์นั้น ไม่ว่าเราและเขาจะไม่ชอบกันมากเพียงใดก็ตาม แต่ก็จะต้องอยู่กันต่อไปจนกว่าจะหาไม่ เพราะไม่มีใครย้ายประเทศหนีจากกันได้ !