

สำหรับคนที่สนใจเรื่องการต่างประเทศและ/หรือนโยบายต่างประเทศของไทยแล้ว น่าจะมีความรู้สึกคล้ายๆ กันว่า งานด้านต่างประเทศของรัฐไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อยู่ในสภาวะของการ “ถดถอย” อย่างมาก หรือบางคนอาจจะรู้สึกมากว่า ไทยอยู่ในภาวะ “ตกต่ำ” ในการดำเนินนโยบายในเวทีสากลถ้าเราทำเส้นแบ่งเวลาด้วยการถอยกลับไปเมื่อ 11 ปีที่แล้วคือ เอาปี 2557 เป็นจุดตั้งต้น เราอาจสรุปในภาพรวมได้ง่ายๆ ว่า ภาวะที่ตกต่ำของงานด้านต่างประเทศเกิดจากผลกระทบของการรัฐประหาร ที่นำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลทหารในปีดังกล่าว
ปัญหาการมีรัฐบาลทหาร ที่เป็นผลพวงจากการรัฐประหารนั้น เป็นข้อจำกัดโดยตรงในการดำเนินนโยบายต่างประเทศของรัฐบาลไทย เพราะเวทีโลกที่มีความเป็น “ระเบียบระหว่างประเทศแบบเสรีนิยม” (liberal international order) ย่อมไม่ตอบรับกับสภาวะทางการเมืองภายในของไทย

แม้ต่อมา จะมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในปี 2562 แต่ผู้คนในเวทีโลกรู้ดีว่า รัฐบาลดังกล่าวมีความเป็น “ระบอบพันทาง” (hybrid regime) ที่สืบทอดมาจากรัฐบาลทหารเดิมในปี 2557 และทิศทางของการดำเนินนโยบายต่างประเทศก็ไม่ต่างจากเดิม จึงเป็นข้อจำกัดด้านการต่างประเทศของไทยอย่างเห็นได้ชัด
แต่หลังจากการเลือกตั้งในปี 2566 เราเห็นการกลับมาของรัฐบาลผสมที่นำโดยฝ่ายพรรคการเมือง ไม่ใช่รัฐบาลผสมภายใต้ผู้นำทหาร จึงทำให้เกิดความหวังที่จะเห็น “ความใหม่” ของการดำเนินงานด้านต่างประเทศของไทย เพราะข้อจำกัดแบบเดิมได้ถูกปรับเปลี่ยนไปอันเป็นผลจากการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นในปีดังกล่าว
แม้จะต่อมา จะมีการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี สังคมไทยก็ยังมีความหวังที่จะเห็นทิศทางใหม่ในงานด้านต่างประเทศ เพราะในอีกด้านหนึ่ง โลกในช่วงที่ผ่านมามีความผันผวนอย่างมากจากปัจจัยต่างๆ ทั้งปัญหาสงครามยูเครน ปัญหากำแพงภาษีของทรัมป์ ปัญหาการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ เป็นต้น
ในภาวะเช่นนี้ งานด้านต่างประเทศต้องถือเป็นดัง “เสาหลัก” ที่สำคัญของความเป็นรัฐไทยในเวทีโลก เพราะในความเป็นจริงแล้ว ไทยไม่อาจพาตัวเองหลบหายไปจาก “จอเรดาห์” ของการเมืองโลกได้
แต่ความคาดหวังเช่นนี้ ดูจะริบหรี่ไม่ต่างจากช่วงที่ผ่านมา … งานด้านต่างประเทศในเชิงภาพลักษณ์ อาจเปรียบเทียบได้ว่า ยิ่งนานวัน ยิ่งมีสภาพแทบจะเป็นเหมือนกับ “ตึก สตง.” ที่ถล่มพังลงมา กลายเป็นซากปรักหักพัง หรือในอีกด้านหนึ่ง อาจกล่าวได้ว่า ในยุคของรัฐมนตรีต่างประเทศ มาริษ เสงี่ยมพงษ์ นโยบายต่างประเทศไทยมีอาการแบบ “เสงี่ยมสงบ” อย่างมาก เช่น เราแทบไม่เห็นถึงการขับเคลื่อนนโยบายต่างประเทศไทยในเวทีโลก ที่จะเป็นการสร้างเสริมภาพลักษณ์ของประเทศเท่าใดนัก
แต่พวกเขาอาจโต้แย้งถึงความสำเร็จของการตัดสินใจเข้าร่วมใน BRICS ในเดือนมกราคม 2568 เพื่อหวังจะสร้างภาพในการเป็น “โลกฝ่ายใต้” ในการเมืองโลก ซึ่งก็มีข้อโต้แย้งอย่างมากว่า ไทยควรรีบเข้าเป็นสมาชิก หรือจะดำรงสถานะของการเป็น “รัฐผู้สังเกตการณ์” ไปก่อน โดยไม่จำเป็นต้องเร่งรีบเป็น “รัฐสมาชิก” เพราะอาจส่งผลต่อการจัดความสัมพันธ์กับรัฐมหาอำนาจตะวันตกในยุคของทรัมป์
ว่าที่จริง การทดสอบความสามารถของรัฐมนตรีต่างประเทศไทย อาจสร้าง “ตัวชี้วัด” ได้จากสถานการณ์สงครามกลางเมืองเมียนมาร์ ซึ่งบทบาทไทยในเรื่องนี้ ดูจะเป็น “ความเงียบ” มากกว่า เพราะจนถึงปัจจุบัน เราแทบไม่เห็นถึงบทบาทของรัฐบาลไทยในการแก้ปัญหาเมียนมาร์แต่อย่างใด แม้อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร จะรับบทบาทเป็นที่ปรึกษาของประธานอาเซียน ที่จะต้องเข้าไปแก้ไขปัญหานี้ก็ตาม แต่ทุกอย่างในเรื่องปัญหาเมียนมาร์ดูจะเป็นความ “เงียบงัน” ในเชิงนโยบายอย่างยิ่ง

ปัญหาของการกำหนดนโยบายต่างประเทศไทย ปรากฏให้เห็นชัดเจนอีกครั้งจาก “วิกฤตการณ์ช่องบก 2” หรือในภาพรวมคือ ปัญหา “ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา” ซึ่งเห็นได้ชัดถึง การเปิดการรุกทางการทูตอย่างรวดเร็ว และอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะการนำเสนอท่าทีใน 4 แบบ คือ “ไม่คุย-ไม่ถอน-ไม่ถอย-ไปศาล” อันส่งผลให้เกิดการยกระดับในทางทหาร และมีสภาวะของเผชิญหน้าตามแนวชายแดนอย่างชัดเจน จนทำให้เกิดความกังวลว่า สถานการณ์เช่นนี้อาจนำไปสู่สภาวะสงครามระหว่างรัฐเพื่อนบ้านได้
ในขณะที่กัมพูชาเปิดการรุกทางการทูต และขยับการเคลื่อนย้ายกำลังเข้าสู่พื้นที่พิพาทนั้น บทบาทของกระทรวงการต่างประเทศดูจะอยู่ในภาวะ “ชะงักงัน” จนดูเหมือนเราแทบไม่เห็นการขยับตัวของกระทรวงต่าง
ประเทศเท่าใดนัก และอาจเห็นถึงภาวะชงักงันที่กระทรวงกลาโหมไม่แตกต่างกัน หรือต้องเรียกว่า เป็นอาการ “ชงักงันยกกำลัง 2” เพราะกระทรวงหลักที่ต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้ทั้ง 2 กระทรวง มีอาการไม่แตกต่างกัน คือ การดำเนิน “นโยบายแบบชงักงัน”
ฉะนั้น คงไม่ผิดนักที่อาจโดยสรุปในภาพรวมได้ว่า นโยบายต่างประเทศไทยต่อ “วิกฤตช่องบก” ดูจะมีความ “สงบเสงี่ยมเจียมตัว” อย่างมาก จนหลายฝ่ายมองว่า อาจเป็นเพราะผู้นำไทยมีความ “เกรงใจ” ต่อผู้นำกัมพูชา และเกิดอาการ “ไม่กล้าขยับตัวทางการทูต” เท่าที่ควร
ภาวะเช่นนี้ ดูจะเป็นภาพสะท้อนอย่างชัดเจนถึง อาการ “ตกต่ำ” ของงานด้านการต่างประเทศของไทยในมุมมองของประชาชน และต้องถือว่าตกต่ำอย่างมาก เพราะสภาวะวิกฤตของสถานการณ์เป็นตัวชี้วัดให้เห็นอย่างชัดเจน ดังจะเห็นได้อีกส่วนจากเสียงวิจารณ์อย่างมาก ที่มีต่อกระทรวงทั้ง 2 หรือผู้คนในสังคมรู้สึกคล้ายกันว่า รัฐบาลไทย “ตามเกมส์ไม่ทัน” และมักจะเดินช้ากว่ารัฐบาลกัมพูชาในเชิงนโยบายในทุกจังหวะก้าว อันนำไปสู่การเกิดความรู้สึกที่ไม่พึงพอใจต่อนโยบายต่างประเทศของรัฐบาลชุดนี้ในเรื่องกัมพูชานั่นเอง
แม้ในท้ายที่สุด สถานการณ์ความตึงเครื่องได้คลี่คลายลงอย่างรวดเร็ว เพราะปัจจัยของการเปิด “การทูตในระดับคุณพ่อ” ที่เป็นเรื่องของ “การทูตแบบส่วนตัว” (personal diplomacy) ในความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา จนเราไม่เห็นภาพของการทูตในระดับปกติแต่อย่างใด เช่นเดียวกับที่เราไม่เห็นบทบาทของรัฐมนตรีต่างประเทศในเวทีสาธารณะ ซึ่งเป็นเสมือนภาวะที่กระทรวงต่างประเทศ “จมหาย” ไปในความรู้สึกของประชาชน (อาจไม่แตกต่างจากความรู้สึกที่ประชาชนมีต่อกระทรวงกลาโหมในภาวะนี้เช่นกัน)
นอกจากนี้ ปัจจัยของการที่ผู้คนในสังคมรู้สึก “ไม่พอใจ” กับการดำเนินนโยบายต่างประเทศไทยต่อกัมพูชาอย่างมากนั้น ยิ่งทำให้ในอีกด้านหนึ่ง กระแสชาตินิยมไทย (ที่เริ่มทำท่าจะผสมเข้ากับกระแสต่อต้านรัฐบาลอย่างลงตัว) ขยับตัวสูงมากขึ้นไปไม่หยุด จนเสมือนอารมณ์ของคนในบริบทของ “จิตวิทยาทางการเมือง” แทบจะพาประชาชนขึ้นไปยืนบนจุดสูงสุดของยอดเขา แต่ในภาวะนี้ รัฐบาลเหมือนยัง “คลานต้วมเตี้ยม” ที่ตีนเขาอยู่เลย
สภาวะดังที่กล่าวแล้วในข้างต้น จึงเสมือนกับวันนี้ “ดอกบัวแก้ว” ในรัฐบาลปัจจุบัน กำลังเหี่ยวแห้งโรยราร่วงลงพื้น สิ้นเสน่หาและความงามไปอย่างน่าตกใจและสิ้นหวัง !