เว็บไซต์นี้ใช้คุ้กกี้เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีมีประสิทธิภาพยิ่งขี้น อ่านเพิ่มเติมคลิก (Privacy Policy) และ (Cookies Policy)
bg-single

MatiTalk ผศ.ดร.ปรีชญาณ์ นักฟ้อน ถึงเวลารื้อใหญ่! รัฐราชการ ฟุ่มเฟือยศักดิ์ศรี ค่านิยมเรียกหา ‘คนดี’

15.06.2025

รายงานพิเศษ

MatiTalk ผศ.ดร.ปรีชญาณ์ นักฟ้อน

ถึงเวลารื้อใหญ่! รัฐราชการ

ฟุ่มเฟือยศักดิ์ศรี

ค่านิยมเรียกหา ‘คนดี’

ผศ.ดร.ปรีชญาณ์ นักฟ้อน หัวหน้าภาควิชารัฐศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ชวนทำความเข้าใจ “รัฐราชการ” ในสังคมไทย

ระบบที่เรียกว่า ‘รัฐราชการ’ อธิบายถึงสังคมที่ตัวอำนาจรัฐจริงๆ หรือการตัดสินใจอยู่ภายใต้การควบคุมของ “ระบบราชการ” หรือ “อดีตข้าราชการ” ที่มีระเบียบ วิธีการ กฎเกณฑ์ มีวิธีคิดขึ้นอยู่กับราชการ

อย่างสมัยคุณประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็น่าจะนิยามได้ว่าลักษณะการบริหารงานมันเข้าข่ายรัฐราชการ เพราะตัวนายกฯ ประยุทธ์ หรือแม้กระทั่งทีมบริหารก็เป็นอดีตข้าราชการ ทำให้ตัววิธีการทำงานค่านิยมในการทำงานคือการอยู่ภายใต้วิธีคิดแบบระบบราชการ จะลิงก์กับข้าราชการที่เป็นฝ่ายปฏิบัติ

มันก็ทำให้กลไกการทำงานไปในแบบที่เป็นค่านิยมแบบราชการเป็นใหญ่

แต่พอมาสมัยนี้แม้มันขยับไปตามกลไกการเลือกตั้ง ทำให้มีนักการเมืองกลับเข้ามาสู่หัวในฝ่ายของการตัดสินใจเชิงนโยบาย แต่เราก็อาจจะเห็นว่าตัวระบบราชการเองก็มีการเข้ามาแทรกแซงหรือเข้ามามีอำนาจในการตัดสินใจอยู่

อย่าลืมว่าในรัฐบาล เราก็เห็นอดีตข้าราชการผู้ใหญ่มาเป็นรัฐมนตรีซึ่งการตัดสินใจของเขาก็จะมีความเป็นโปรโตคอลแบบระบบราชการเดิม ก็มีลักษณะบางอย่างปนๆ กันอยู่

ถ้ามองว่า ‘รัฐราชการ’ หมายความว่าอำนาจของการตัดสินใจของรัฐอยู่ในราชการหรือราชการเป็นใหญ่ในการตัดสินใจ แล้วเรามี mindset ว่าราชการแย่ หรือมองว่าคำว่าราชการเป็น Negative Meaning คือ โอ้โห ทำงานแบบยึดตามหลักการโดยไม่ยืดหยุ่น สิ้นเปลือง ถ้ามีไอเดียแบบนี้แปลว่าเราก็จะไม่มั่นใจในการตัดสินใจของคนที่มีโปรโตคอลแบบราชการมากำกับดูแลและตัดสินใจเรื่องต่างๆ ของประเทศ

แต่เพื่อความเป็นธรรม เราไม่ได้บอกว่ารัฐราชการดีหรือไม่ดี แต่คือการอธิบายลักษณะของการใช้อำนาจรัฐและตัวแสดงที่มีบทบาทในการใช้อำนาจรัฐมากกว่า

เพราะฉะนั้น ถ้ามองในลักษณะที่เน้นตัวการตัดสินใจแบบนั้นก็มีโอกาสที่มีทั้งข้าราชการที่ดีมาเป็นไม่ดีมาเป็น เหมือนที่หลายๆ คนถกเถียงวันนี้ว่าประชาธิปไตยดีหรือเปล่า หลายคนตั้งคำถามไปถึงขั้นที่ว่านักการเมืองแย่จัง เราไม่เอาประชาธิปไตยดีไหม ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน

คนในกลไกไม่ดีแต่ไม่ได้หมายความว่าระบอบไม่ดี เหมือนกันรัฐราชการคือการอธิบายลักษณะมากกว่า แต่มาตัดสินว่าดีไม่ดีน่าจะไม่ค่อยยุติธรรมเท่าไหร่

ธรรมเนียมการเกณฑ์ราชการ

เพื่อมาต้อนรับนักการเมือง

เรายังมีค่านิยมแบบนี้อยู่ ซึ่งจริงๆ ความน่ากลัวหรือความน่าระวังในการทำงานแบบโปรโตคอลราชการ คือการระวังเรื่องอำนาจ เพราะจริงๆ การเรียนรู้ของข้าราชการบางส่วน เราเริ่มมองเห็นว่าการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้มีตำแหน่งทางการเมืองกับราชการระดับสูงมันได้ประโยชน์ต่อกันและกัน ประโยชน์ในเชิงความก้าวหน้าบางอย่าง เลยทำให้ทุกคนวิ่งในเส้นทางที่จะเข้าไปในระดับที่ Connect ได้

ตรงนี้ที่เป็นอันตราย เพราะว่าพอเริ่มมีโปรโตคอลแบบนี้มากขึ้น แล้วเห็นผลลัพธ์เราเป็นข้าราชการเด็กน้อยแต่เราเห็นว่าผู้ใหญ่ได้ประโยชน์อะไรบางอย่าง ไม่ว่าหัวจะเป็นฝ่ายการเมืองหรือมาจากการรัฐประหารแต่ถ้าเขา Connect กับผู้มีอำนาจตัดสินใจทางการเมืองได้มันได้หมดเลย ฉะนั้น ทำให้เมื่อดีลได้คือจบ แต่จบในมุมมองที่เขาได้ประโยชน์กันแต่สังคมเริ่มอยู่ไกลไปจากการตัดสินใจ

จริงๆ มันมีขาที่ 3 คือ “ประชาชน” แต่บ้านเราประชาชนกลายเป็นออกจากสมการสุดสุด ซึ่งมีตัวแสดงหลักอยู่ 4 ตัว คือ ข้าราชการที่เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อน คนตัดสินใจคือฝ่ายการเมืองที่เป็นผู้แทน นักธุรกิจ (ภาคเอกชน) ซึ่งอย่าลืมวันนี้ธุรกิจเองเข้ามามีบทบาทสูงมากในหลายๆ ประเทศ ที่จะยัน 3 ขา รวมถึงภาคประชาชน ประเด็นคือหลายๆ ประเทศ (ที่เจริญแล้ว) ประชาชนดันตัวเองขึ้นมาเพื่อถ่วงดุล ตรวจสอบ เพราะอย่าลืมว่าฝ่ายการเมืองไม่มีอำนาจไม่ได้ถ้าประชาชนไม่เลือก

แต่บ้านเราพอเลือกเสร็จปุ๊บตัวประชาชนเหมือนถูกทิ้งดิ่งกลายเป็นปล่อยให้การเมืองเท่านั้นที่ไปอยู่กับราชการ เลยทำให้จริงๆ แล้วกลไกในการที่จะให้เขาสัมพันธ์กันอย่างไรอยู่นอกสายตาพวกเรา เพราะเราเป็นได้แค่ข้ออ้างในการดีลกันของเขา

นี่คือปัญหาซึ่งมองได้ 2 อย่าง คือ จะบอกว่าเราไม่ได้เป็น active citizen ทำไมเราไม่ได้ตามต่อ พอเลือกตั้งเสร็จแล้วทำไมเราไม่ตามต่อ เราก็ตามอยู่นะแต่กลไกการตามของเราในเชิงที่ประชาชนทำเองเราทำจริงจังแค่ไหน เราขับเคลื่อนผ่านสังคมออนไลน์ ทวิตเตอร์ ผ่านไป 3 วันก็เปลี่ยนเป็นเรื่องใหม่ เรามีเรื่องใหม่ทุกวันหรือเรา Keep ประเด็นจริงๆ ตรงนี้คือคำถามที่ประชาชนต้องถามตัวเองด้วย

กับข้อสองกลไกที่รัฐเปิดช่องให้เราเข้าไปได้จริงๆ มันชัดเจนแค่ไหน หลายงานวิจัยก็พบว่าเป็นแค่กลไกในการเปิดให้เข้าแต่เขาใช้คำว่าไม่ได้เป็นการมีส่วนร่วมแบบมีความหมาย อันนี้ยังเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับสังคมไทยอยู่เลย ทำให้เหมือนเราแทรกเข้าไปในความสัมพันธ์ที่แล้วแต่เขาจะจัดมาไม่ได้ อันนี้คือความน่าเป็นห่วงยิ่งกว่าอีก

‘เกียร์ว่าง’ ของข้าราชการมีอยู่แล้ว จริงๆ มีในทุกๆ องค์กร เกียร์ว่างมีได้หลายความหมาย ตั้งแต่ไม่ได้อยากเกียร์ว่างแต่ล้อมันฟรี เพราะเข้าเกียร์ไปแล้วมันไม่ไปด้วยระบบด้วยหลายๆ อย่าง คนที่พร้อมที่จะขับเคลื่อนพร้อมที่จะขัดขวางพร้อมที่จะ Action ก็ถูกโยกไปอยู่ในจุดที่ทำอะไรไม่ได้

อันที่ 2 คือเกียร์ว่างเพราะหมดใจขยับไปเจ็บตัวเปล่าๆ ไม่ได้อะไรอีกก็มี

และเกียร์ว่างสุดท้ายคือทำทำไมทำไปก็เปลืองตัวก็มี

ถามว่าจะแก้ได้ด้วยอะไร

“สำนึก” จริงๆ มันเป็นสิ่งที่ต้องมี ซึ่งหลายๆ คนบอกว่าสำนึกราชการเป็นมาตรฐานไม่ได้เป็นความคาดหวังนะ คือเป็นคุณสมบัติพื้นฐานที่ควรมี เพียงแต่ว่าก็ยังคงกลับไปย้ำคำเดิม กลไกภาคประชาชนของเราอ่อนแอเกินไป คือการสะกิดโดยประชาชนเพราะสุดท้ายทุกคนที่เราพูดถึงจะเป็นราชการ ฝ่ายการเมือง เขาอ้างเราหมดไม่มีใครบอกว่าทำเพื่อตัวเอง ทุกคนทำเพื่อประชาชน

แต่ประชาชนเองรู้สึกหรือเปล่าว่าเราได้ประโยชน์จากการสร้างความสัมพันธ์หรือการตัดสินของเขา เราไม่เห็นกลไกตรงนั้นแต่เรา Action ยังไง ไม่เห็นเราบ่น เราไม่ได้รู้สึกหรือแสดงให้เขาเห็น แต่บางทีอาจจะไปไม่ถึงเขาก็ได้นะ คนบางกลุ่มที่มีอำนาจจริงๆ ใช้คำว่า ‘หูดับ’ เหมือนกันเพราะว่าทุกอย่างจะมีแต่เสียงใช่ๆ ไปหมด

เพราะฉะนั้น กลไกตรงนี้เป็นเรื่องที่มีความต่างกันระหว่างประเทศที่มีประชาธิปไตยที่แข็งแรงกับประเทศที่ประชาธิปไตยอาจจะยังไม่ได้แข็งแรงเท่าไหร่ก็คือพลังของภาคประชาชน

งบประมาณมหาศาลของราชการ

เชื่อไหมว่างบฯ หนึ่งซึ่งเห็นแล้วเจ็บปวดอย่างหนึ่งคือ ‘งบฯ ในการสร้างศักดิ์ศรี’ ของข้าราชการมันเยอะ

งบฯ ในการสร้างศักดิ์ศรี หมายความว่า สมมุติห้องทำงานเก้าอี้พนักงานชั่วคราวจะเป็นแบบหนึ่ง เก้าอี้พนักงานประจำอีกแบบหนึ่ง แล้วมันก็จะไล่เลเวลไปเรื่อยๆ

หรือตั๋วเครื่องบินคนอยู่เลเวลนี้ราคาเท่านี้และไล่ไต่ระดับไปเรื่อยๆ

แปลว่ายิ่งตำแหน่งสูงยิ่งได้เกียรติและศักดิ์ศรีภายใต้การลงทุนของรัฐเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เกิด 2 อย่าง หนึ่งคือฟุ่มเฟือยอยู่แล้ว ทำไมห้องปลัดกระทรวงต้องใหญ่กว่าห้องรองปลัด ปลัดใช้พื้นที่ทำงานมากกว่าหรือ?

ทำไมเก้าอี้ระดับทองต้องเปลี่ยนเป็นระดับมุก แล้วกลายเป็นโปรโตคอลที่เคยชินเป็นเรื่องธรรมดาก็เป็นเรื่องปกติ หรือแม้กระทั่งที่เราได้ยินอภิปรายในสภาว่าข้างหลังวอลเปเปอร์ก็ต้องแบบเป็นเกียรติศักดิ์ศรี ทำไมเราไม่พยายามเน้นวัฒนธรรมเกียรติและศักดิ์ศรีมาจากการทำงาน ทำงานให้มีเกียรติไม่ใช่มีเกียรติโดยเก้าอี้ที่นั่ง

เราลงทุนไปกับความฟุ่มเฟือยตรงนี้เพื่อสร้างอะไรบางอย่างพอสมควร

แล้วประชาชนเองก็หนึ่งไม่ได้รับรู้ กับสองกลายเป็นความเคยชินที่เกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ สะสม อันนี้กล้าพูดเพราะไปดูทุกที่ทุกหน่วยงานทุกองค์กรเป็นแบบนี้หมด การไล่ระดับของศักดิ์ศรีของผู้บริหารกับการลงทุนโดยเงินประชาชน

และอีกประเด็นคือ เห็นแบบนี้ใครจะไม่อยากเป็นผู้บริหาร เพราะว่าไม่ได้มองว่าภาระของการเป็นผู้บริหารที่สูงขึ้นคือภาระงานที่ทำให้เราได้ทำให้สังคมได้มากขึ้น ไม่มี mindset นี้เกิดขึ้น

แต่การได้เป็นผู้บริหารยิ่งสูง รถยิ่งแพงขึ้น เบิกค่าโรงแรมได้หนักขึ้น บินเฟิร์สคลาสมากขึ้น มันจูงใจ ถามว่าจูงใจใคร ถ้าจูงใจด้วยงานจะจูงใจคนประเภทหนึ่ง แต่ถ้าจูงใจด้วยผลประโยชน์และสวัสดิการจะจูงใจด้วยคนอีกประเภทหนึ่งที่กล้าลงทุนบางเรื่องเพิ่มขึ้นเป็นตำแหน่ง

เขาเลยไม่เชื่อมั่นในคน ดังนั้น เราต้องเชื่อมั่นในระบบ ระบบจะเป็นการกรองทำให้การใช้ดุลพินิจหรือคนมีลักษณะความต้องการที่ผิดเพี้ยนแบบนี้ถูกดีดออกไปหรือถูกตรวจสอบอะไรบางอย่าง

ในต่างประเทศคนไม่ได้ดีกว่าเราแต่ในต่างประเทศระบบตรวจสอบเขาแข็งแรงกว่าเรา ทำให้พบและเจอและจัดการ

ส่วนเราตอนนี้อยู่ในโลกที่ดีขึ้นคนไทยเสียงดังมากขึ้น แต่จบมันไม่ได้แม้มีการทำให้เกิดระบบการจัดการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมหลายเรื่องในสังคมหลายๆ ปี แต่ที่ผ่านมาจะเห็นว่าที่สุดมันเงียบหายไป

ดังนั้น ต้องมีการสังคายนาระบบ แต่คำถามก็คือว่าเราชอบคิดระบบแบบนี้ ถ้าเรามองทุกอย่างเป็นโครงสร้างที่เป็น Top Down เราอย่าไปหาไอรอนแมน อย่าไปหาทีม Avengers อย่าหาฮีโร่ อย่าหาใครสักคนที่มารื้อระบบ หรือต้องการผู้นำประเภทดีดนิ้วแล้วเปลี่ยนทุกอย่างไม่มีจริง

เพราะสุดท้ายโลกใบนี้ก็พบแล้วว่าก็ไม่มีประเทศไหนทำได้ ไม่มีผู้นำดีที่สุดในโลก คือไม่มีคนดีที่บริสุทธิ์ 100% อาจจะไม่ได้ดีในทุกบริบทแต่ระบบต่างหากจะทำให้มีการคานงัดแล้วตรวจสอบได้

ต้องเชื่อในตัวระบบแล้วก็มองว่าบ้านเราถ้าจะมีปัญหาสักเรื่องตอนนี้เราต้องทำก็คือเราต้องพยายามเชื่อในระบบแล้วก็ช่วยกันสร้างระบบทำให้ระบบเป็นระบบที่เราอยู่แล้วเราสบายใจ เราอยู่แล้วเราโอเคกัน ฉะนั้น ตอนนี้ถ้าประชาชนรู้สึกว่าตัวเองไม่โอเค ประชาชนต้อง Keep ความไม่โอเคนี้ต่อไป

คนไทยอย่าพยายามเป็นคนมองโลกในแง่บวก ตัดความไม่โอเคแล้วไม่เป็นไรแล้วก็ Refresh ตัวเองใหม่อยู่ตลอดเวลา บางครั้งมันเป็นปัญหาระยะยาว ความดีของคนไทยทำให้สร้างปัญหาระยะยาว

ความดีไม่ได้ผิด ความดีเป็นสิ่งที่ดี แต่คนดีคืออะไรมันเป็นนามธรรม จนบางทีเราไม่ได้มีนิยาม เพราะฉะนั้น พอเราเป็นคนดีที่เรานิยามแทบจะไม่ชัดด้วยซ้ำ มันก็ไม่มีจริงอยู่แล้วตั้งแต่แรก พอเราพยายามจะตัดสินว่าแล้วคนดีของคนไทยนะเอาจริงๆ คือต้องดีหมดจด ด่างพร้อยนิดเดียวก็คือแบบเหมือนผิดหวังไปแล้ว

ในความเป็นจริงจะมีใครสักคนบนโลกที่เป็นอย่างนั้น เรากำลังหาผีที่ไม่มีจริงอยู่ เราก็ไม่มีวันหาเจอ เราก็จะเจอคนที่ชุบตัวแล้วหลอกล่อเราว่าเขาเป็นคนดีเสมอ

ชมคลิป



เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต

ฟังเสียง ‘เยาวชน’ | ปราปต์ บุนปาน
“One Plan” โมเดลใหม่ ขับเคลื่อนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สู่การพัฒนาที่ยั่งยืนในทุกพื้นที่
ตลาด..ชีวิตและความหวัง | เรื่องสั้น : มีนา ฟ้าศุกร์
ทำเล
ไม้ดัดในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร | กวีกระวาด : สิริวตี
ดาวกับดวงวันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม 2568
‘กฤษฎีกา-เพื่อไทย’ มองต่างมุม ไพ่ในมือรักษาการนายกฯ ผ่าทางตัน ‘ยุบสภา’ ได้หรือไม่ได้
ภาษีปนาวุธ ทรัมป์ถล่มข้ามทวีป ทีมไทยแลนด์ร่อแร่
‘ภูมิธรรม’ จัดแถวมหาดไทย ล้างบาง ‘สิงห์น้ำเงิน’ ประเดิมย้าย 2 อธิบดีเข้ากรุ จับตา ‘เขากระโดง’ เปิดแผล ‘ปราสาทสายฟ้า’
แค่ลมหายใจ ก็รู้ทันใดว่าอ้วน!!
การปกครองเปลี่ยน-แฟชั่นปรับ : แฟชั่นสมัยคณะราษฎร-สงคราม (12) เจ้านายสนับสนุนรัฐนิยมในสมัยสร้างชาติ
สวนสาธารณะสูงวัย : สังคมภายนอกครอบครัว และบทเรียนจากเฉิงตู