

ในที่สุดหลังจากทำสงครามมานาน 35 ปีตั้งแต่สงครามต่อต้านฝรั่งเศส สงครามต่อต้านญี่ปุ่นจนถึงสงครามขับไล่อเมริกา วันที่ 30 เมษายน 2518 ทหารเวียดกงก็เข้ายึดครองเมืองหลวงเวียดนามใต้ไว้ได้
รถถังของเวียดกง พังประตูด้านข้าง เพื่อเข้าสู่ทำเนียบอิสรภาพ ของรัฐบาลเวียดนามใต้ ในวันที่ 30 เมษายน 2518 หนึ่งในภาพสัญลักษณ์การยุติสงครามเวียดนาม
รถถังเวียดกงซึ่งบุกมาประชิดใกล้ชานเมืองเคลื่อนมาถึงประตูทำเนียบประธานาธิบดีในเวลาไม่นานนัก ประธานาธิบดีเดืองวันมินห์ ซึ่งรออยู่ ได้ลุกขึ้นพร้อมกับกล่าวกับกองหน้าของทหารเหล่านั้นว่า “การปฏิวัติมาถึงแล้ว พวกคุณก็มาแล้ว” และพูดเสริมว่า “เรากำลังรอคุณอยู่ที่นี่ เพื่อที่เราจะได้ส่งมอบอำนาจให้กับคุณ” ก่อนที่จะได้รับคำตอบจากอีกฝ่ายว่า “ไม่มีคำถามเกี่ยวกับการถ่ายโอนอำนาจของคุณ อำนาจของคุณถูกทำลายไปนานแล้ว คุณไม่สามารถส่งมอบสิ่งที่คุณไม่มีอีกต่อไปให้ผู้อื่นได้”
“ประชาชาติ” ฉบับวันที่ 1 พฤษภาคม 2518 รายงานข่าว เวียดกงเข้ายึดกรุงไซง่อน เปลี่ยนชื่อเป็น “โฮจิมินห์ซิตี้”
หนังสือพิมพ์ “ประชาชาติ”ฉบับวันที่ 1 พฤษภาคม 2518 พาดหัวว่า “เวียดกงยึดไซง่อนปกครองเวียดนามใต้” ระบุเนื้อความข่าวว่าประธานาธิบดี มินห์ ประกาศออกอากาศทางวิทยุไซง่อนยอมแพ้แก่ เวียดกงเมื่อเวลา 10.40 น. หลังประกาศยอมแพ้แล้ว ธงขาวสามผืนก็ถูกชักขึ้นเหนือกรมตำรวจกลางกรุงไซง่อนและอีกผืนหนึ่ง ปลิวไสวอยู่ทางชานเมืองด้านเหนือ
การบุกเข้าควบคุมไซง่อนของเวียดกง หรือ แนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติเวียดนามใต้ ซึ่งเป็นกลุ่มแนวร่วมคอมมิวนิสต์ในเวียดนามใต้ ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อล้มรัฐบาลไซ่ง่อน โดยได้รับการสนับสนุนจากเวียดนามเหนือ เป็นไปอย่างรวดเร็วมาก ตามหลังช่วงเวลาที่ทหารอเมริกันคนสุดท้ายกระโดดขึ้นเฮลิคอปเตอร์หลบหนีออกไปจากเมืองเพียง 4 ชั่วโมง หลังจากสหรัฐฯเข้ามาพัวพันสงครามในเวียดนามนาน 30 ปีเสียชีวิตคนอเมริกัน 56,000 คนบาดเจ็บ 150,000 คนใช้จ่ายเงิน 2,800 พันล้านบาทและชีวิตชาวเวียดนามกว่าสิบล้านคน
การรุกอย่างรวดเร็วของเวียดกง ที่ใช้เวลาเพียง 2 เดือน ก็สามารถควบคุมพื้นที่ทั้งหมดของเวียดนามใต้ไว้ได้ ภาพจากหนังสือ “เราชนะสงครามอย่างไร” โดย นายพล โว เหงียน เกี๊ยบ และ นายพล วัน เทียน ดุง จัดพิมพ์โดย กรมยุทธการทหารบก ของไทย
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศไทย ได้ออกแถลงการณ์ว่า ความทุกข์ทรมานอันยาวนานของเวียดนามได้สิ้นสุดลงแล้วและความฝันของชาวเวียดนามทั้งปวงที่จะรวมประเทศอีกครั้งหนึ่งนั้น บัดนี้ได้เป็นความจริงขึ้นมาแล้วเราขอแสดงความปรารถนาดีและขอให้ได้รับความสำเร็จด้วยดีและมีความหวังด้วยว่าเมื่อมีสันติภาพเกิดขึ้นในอินโดจีนแล้วเอเชียอาคเนย์จะสามารถพัฒนาทรัพยากรของตนเพื่อประโยชน์ของทุกคนต่อไป
ทางด้านปฏิกิริยาของผู้นำไทยนั้น พลตรีชาติชาย ชุณหะวัณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ วิจารณ์ไซง่อนแตกว่าอาจทำให้สถานการณ์ดีขึ้นเพราะจะได้หยุดยิงเสียที แล้วแต่ประชาชนจะปกครองกันอย่างไร
ส่วนหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และผู้นำฝ่ายค้านในสภา กล่าวว่า “ไทยจะหลับฝันต่อไปอีกไม่ได้ว่าไซ่ง่อนแตกแล้วกรุงเทพจะไม่แตก คงจะมาถึงเราสักวัน” หม่อมราชวงศ์เสนีย์กล่าวและว่าไทยต้องไม่นิ่งเฉยต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ควรจะเริ่มความสัมพันธ์กับจีน รวมทั้งเขมรและเวียดนาม ทั้งนี้จะต้องดำเนินนโยบายต่างประเทศเสียใหม่ ถ้าทหารสหรัฐถอนออกไปได้ก็จะเป็นการดีตลอด 40 ปีที่ผ่านมา มีการดำเนินนโยบายต่างประเทศของไทยแย่มาก
ทหารอากาศเวียดนาม นำเครื่องบินรบ F-5 ลงจอดที่สนามบินอู่ตะเภาเพื่อลี้ภัย ในวันที่ 29 เมษายน 2518
มีรายงานข่าวว่าในวันที่ 29 เมษายนที่ฐานทัพสหรัฐ อู่ตะเภา สัตหีบ เครื่องบินนานาชนิดของเวียดนามใต้บินลงที่สนามบินตลอดทั้งวัน ทั้งเครื่องบินขับไล่ไอพ่น เครื่องบินบรรทุก เฮลิคอปเตอร์รวม 74 เครื่อง บรรทุกชาวญวนอพยพจำนวนกว่า 2,000 คนมาอยู่ที่แคมป์ทหารสหรัฐในอู่ตะเภา รวมทั้งผู้ลี้ภัยชาวเขมรซึ่งสหรัฐฯ ขนมาจากพนมเปญอีกไม่น้อยกว่า 1,000 คน
ที่จังหวัดจันทบุรีมีรายงานว่าเมื่อเวลาประมาณ 10.00 น. ได้มีเครื่องบินรบของเวียดนามใต้หนึ่งเครื่องบินมาลงบนทางหลวงที่ตำบลนายายอาม อำเภอท่าใหม่ จันทบุรีแต่เครื่องบินได้เสียหลักชนต้นไม้ ทำให้ปีกด้านขวาหักและเกิดเพลิงไหม้ขึ้นจากนั้นก็ชนเสาโทรเลขระเบิดตกลงใกล้ทางหลวงจังหวัดและผู้โดยสารนักบินรวมสี่คนเสียชีวิตทันที
ทางด้านจังหวัดศรีสะเกษ เครื่องบินเอฟ 5 ของเวียดนามใต้ร่อนลงถนนสายโชคชัย-เดชอุดมเมื่อเวลา 13.45 น. เครื่องบินอยู่ในสภาพถูกยิงยางล้อหลุดมีจรวดติดเครื่องบินด้วย นักบินปลอดภัย
เฮลิคอปเตอร์ บรรทุกผู้ลี้ภัยชาวเวียดนามลงจอดบนเรือบรรทุกเครื่องบินมิดเวย์ ของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการ Frequent Wind เพื่อพยพพลเรือนชาวอเมริกันและชาวเวียดนามที่ “เสี่ยงภัย” จากไซง่อน ระหว่างวันที่ 29–30 เมษายน 2518 มีผู้คนมากกว่า 7,000 คนอพยพด้วยเฮลิคอปเตอร์
การปิดฉากของ “สาธารณรัฐเวียดนามใต้” ปฏิเสธไม่ได้ว่า เป็นผลจาก “ลัทธินิกสัน” ของประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน ที่ต้องการให้สหรัฐฯ ถอนตัวออกจากสงครามเวียดนาม ซึ่งย่อมหมายความว่า สหรัฐฯ ไม่มีความจำเป็นต้องคงกำลังทหาร และฐานทัพในประเทศไทยอีกต่อไป เพื่อดำเนินภารกิจในอินโดจีน
นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ได้เคยให้สัมภาษณ์ภายหลังเมื่อเหตุการณ์นี้ผ่านไป 40 ปีว่า การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับสาธารณรัฐประชาชนจีนปี 2518 ไม่ต้องเผชิญแรงกดดันมากนัก ต่างกับการเจรจาถอนฐานทัพสหรัฐฯ ต้องพบกับแรงกดดัน อย่างมาก
“ในการแถลงนโยบายต่างประเทศต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2518 ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้แถลงอย่างชัดเจนว่า“…เพื่อให้เกิดดุลยภาพในความสัมพันธ์กับประเทศอภิมหาอำนาจ รัฐบาลนี้…จะให้มีการถอนทหารต่างชาติออกจากประเทศไทยในระยะเวลา 1 ปี…” ซึ่งในช่วงนั้น สหรัฐฯ ยังคงมีทหารประจำการในไทย 25,000 นาย และเครื่องบิน 350 ลำ
สนามบินตาคลี นครสวรรค์ หนึ่งในเจ็ด ฐานทัพอากาศสหรัฐฯ ในไทย ภาพนี้ถ่าย พ.ศ.2508
รายงานเรื่อง การปรับนโยบายต่างประเทศไทย (พ.ศ.2516 ถึง 2519) ผู้เขียนโดย ศิบดี นพประเสริฐ ดีพิมพ์ใน วารสารสังคมศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์ ปีที่ 47 ฉบับที่ 2 (2560) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า การแถลงนโยบายเช่นนี้สะท้อนให้เห็นถึงนโยบายต่างประเทศไทยแนวใหม่ที่ต้องการลดพันธะกับสหรัฐฯ ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในอินโดจีนที่สหรัฐฯ ไม่อาจเอาชนะในสงครามเวียดนาม รัฐบาลนิยมตะวันตกที่เวียดนามใต้และรัฐบาลลอนนอลในกัมพูชาต้องลงจากอำนาจด้วยชัยชนะของฝ่ายสังคมนิยม ไม่มีแนวป้องกันคอมมิวนิสต์สำหรับไทยในอินโดจีนส่งผลให้รัฐบาลไทยไม่อาจดำเนินนโยบายต่างประเทศในรูปแบบเดิมได้อีกต่อไป อาจกล่าวได้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ นั้นมิได้ใกล้ชิดกันดังเดิม
อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นไม่นาน กระทรวงการต่างประเทศ ได้พบข้อตกลงลับสองฉบับ ซึ่งส่งผลให้สหรัฐฯ สามารถคงกำลังเจ้าหน้าที่ๆ ไม่ใช่ทหารไว้ในประเทศไทยได้อีกประมาณ 3,000 นาย นั่นคือ ข้อตกลงว่าด้วยการวิจัยและพัฒนาวิทยุโทรคมนาคมของสหรัฐฯ พ.ศ.2507 และข้อตกลงว่าด้วยการวิจัยและพัฒนาทางด้านการจัดตั้งการควบคุมและการสนับสนุนวิทยุโทรคมนาคมในไทย พ.ศ.2508 อันเป็นที่มาของการจัดตั้งค่ายรามสูร จังหวัดอุดรธานี เพื่อให้สถานีเรดาร์แห่งนี้ คอยสอดแนมความเคลื่อนไหวในอินโดจีนต่อไป โดยที่เจ้าหน้าที่เทคนิคของสหรัฐฯ ที่ประจำการทั้งที่อู่ตะเภา จ.ระยอง อ.เกาะคา จ.ลำปาง และฐานทัพอื่น ๆ ได้รับเอกสิทธิ์ทางการทูตตามข้อตกลงลับทั้งสองข้างต้น ซึ่งแน่นอนว่ารัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ และกระทรวงการต่างประเทศมองสิ่งที่เกิดขึ้นว่าไม่เหมาะสมต่อความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ
ค่ายรามสูร อุดรธานี หรือ สถานีวิจัยวิทยุภาคสนามที่ 7 ดำเนินการโดยสำนักงานความมั่นคงกองทัพบกสหรัฐ (ASA) เป็นหน่วยข่าวกรองคลื่นสัญญาณโดยกองทัพบกสหรัฐบูรณาการร่วมกับสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ (NSA) ภาพนี้ถ่ายในปี 2516
รัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ต้องการให้สหรัฐฯ ตระหนักว่ากระบวนการตัดสินใจนโยบายต่างประเทศในรัฐบาลของรัฐบาลเปลี่ยนแปลงไปจากรัฐบาลก่อนยุค 14 ตุลาฯ แล้ว และรัฐบาลชุดนี้ได้ตัดสินใจที่จะให้มีการถอนทหารสหรัฐฯ รายงานเรื่อง การปรับนโยบายต่างประเทศไทย (พ.ศ.2516 ถึง 2519 ระบุว่า นายอานันท์ ปันยารชุน หัวหน้าคณะเจรจาเรื่องการถอนทหารสหรัฐฯ ได้กล่าวถึงเรื่อง “New ground rules” อันหมายถึงกรอบการดำเนินความสัมพันธ์รูปแบบใหม่ ประกอบไปด้วยหลักการ 7 ประการ ได้แก่
1) ทรัพย์สินและบุคลากรของสหรัฐฯ อยู่ภายใต้อำนาจกฎหมายไทย ถ้าไม่ได้รับการยกเว้นจากข้อตกลงระหว่างรัฐบาลทั้งสองประเทศ
2) ทรัพย์สินและบุคลากรของสหรัฐฯ จะไม่ถูกนำมาใช้คุกคามหรือแทรกแซงอำนาจอธิปไตยของรัฐใด ๆ
3) เพื่อผลประโยชน์และความร่วมมือของทั้งสองประเทศ จะต้องมีการทำรายงานส่งถึงรัฐบาลไทยเกี่ยวกับกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ทรัพย์สินหรืออุปกรณ์ต่าง ๆ เหล่านั้น
4) การฝึกอบรมต่าง ๆจะต้องใช้บุคลากรฝ่ายไทยแทนบุคลากรของฝ่ายสหรัฐฯ
5) บุคลากรของฝ่ายสหรัฐฯ ที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาดำเนินการทางด้านอุปกรณ์เครื่องมือต่าง ๆ จะต้องไม่มีจำนวนมากไปกว่าที่รัฐบาลไทยให้ความยินยอม
6) เอกสิทธิ์ของเจ้าหน้าที่ด้านเทคนิคของสหรัฐฯ ไม่แตกต่างกับที่เจ้าหน้าที่ทางเทคนิคของประเทศอื่น
ได้รับ
7) ข้อตกลงต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความร่วมมือแต่ละประการนั้น จะยังคงอยู่ในระยะเวลาไม่เกิน 2 ปีแต่อาจทบทวนให้ต่ออายุ หรืออาจให้สิ้นสุดลงก่อนระยะเวลา 2 ปีก็ได้ โดยรัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ได้รับรองหลักการ 7 ประการของกระทรวงการต่างประเทศนี้ แม้ว่ามีเสียงคัดค้านมาจากบางส่วนของกองทัพ เช่น กองบัญชาการทหารสูงสุดก็ตาม
กรณีค่ายรามสูร ไม่เพียงแต่จะส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ เสื่อมทรามลงเท่านั้นหากแต่ยังก่อให้เกิดข้อขัดแย้งและการต่อสู้ในระบบราชการไทย นั่นคือกระทรวงการต่างประเทศกับกระทรวงกลาโหม หรืออีกนัยหนึ่งก็คือการต่อสู้กันระหว่างข้าราชการฝ่ ายทหารกับฝ่ายพลเรือน เช่นเดียวกับมวลชนฝ่ายหนึ่งที่นำโดยศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย เพื่อเรียกร้องให้มีการถอนฐานทัพสหรัฐฯ และอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งเป็นมวลชนฝ่ายขวาจัดที่ต่อต้านภัยคุกคามจากคอมมิวนิสต์
ผู้นำกองทัพไทยกังวลเป็นอย่างมากกับการถอนตัวของสหรัฐฯ ออกจากไทย จนถึงกับมีข่าวลือว่าจะเกิดรัฐประหารในช่วงรัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ โดยมีสัญญาณบางประการ เช่น พลเอกบุญชัย บำรุงพงศ์ ผู้บัญชาการทหารบก มีคำสั่งให้กองทัพบกเตรียมความพร้อมใน พ.ศ.2519 หรือการที่ผู้บัญชาการทหารบกเตือนว่าการรัฐประหารอาจเกิดขึ้นก่อนการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 4 เมษายน พ.ศ.2519 อย่างไรก็ตาม นโยบายต่างประเทศของรัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ได้นำมาสู่การปิดฐานทัพสหรัฐฯ ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือในวันที่ 31 มกราคม 2519 รวมไปถึงการถอนทหารสหรัฐฯ ออกจากไทย และในท้ายที่สุดแล้ว ส่งผลให้ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ได้คะแนนเสียงเพียง 23,634 คะแนน พ่ายแพ้นายสมัคร สุนทรเวช ที่ได้คะแนนเสียงถึง33,335 คะแนน ในเขตดุสิต ซึ่งผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ส่วนใหญ่เป็นทหาร จากการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 4เมษายน พ.ศ.2519
รัฐบาลชุดต่อมาที่มี ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี และมีนายพิชัย รัตตกุล เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พยายามเดินหน้าสถาปนาความสัมพันธ์กับสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม โดยนายพิชัย และนายอานันท์ ปันยารชุน ได้เดินทางไปเจรจากับรัฐบาลเวียดนามที่กรุงฮานอย ในเดือนสิงหาคม 2519 จนได้ข้อตกลงเพื่อการลงนามในแถลงการณ์ร่วมฉบับที่จะเป็นหลักฐานในการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตจะต้องขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรี
ในครั้งนั้นนายพิชัย จะต้องส่งวิทยุเข้าไปยังกระทรวงการ ต่างประเทศ โดยมี นายเล็ก นานา รัฐมนตรีช่วยว่าการฯ กำลังรอฟังผลการเจรจา ทำให้ได้เห็นอุปสรรคประการหนึ่งของการนำนโยบายไปปฏิบัติ ดังความใน รายงานเรื่อง การปรับนโยบายต่างประเทศไทย (พ.ศ.2516 ถึง 2519) ต่อไปนี้
“…เมื่อผมบอกคุณเล็กว่าทุกอย่างเคลียร์หมดแล้ว ขออนุมัติ ครม. ด่วนเพราะขณะนั้น ครม. กำลังประชุมอยู่ รออยู่ 1 ชั่วโมงก็ไม่มีข่าว… ถ้า ครม. ไม่อนุมัติ ผมก็เซ็นไม่ได้…ได้ความว่าพรรคร่วมรัฐบาลที่มีความคิดขวาตกขอบไม่เห็นด้วย กลัวอย่างนั้นกลัวอย่างนี้ ผมก็ส่งวิทยุไปอีกเป็นครั้งที่ 3 บอกคุณเล็กว่า คุณไปบอกอาจารย์เสนีย์ว่า เรื่องนี้เป็นนโยบายของรัฐบาลและแถลงต่อรัฐสภาว่าเราจะทำอย่างนี้ บัดนี้เราทำสำเร็จแล้ว เพียงขอ ครม. อนุมัติ เพราะอาจารย์เสนีย์ในฐานะ เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และเป็นหัวหน้ารัฐบาล อย่านั่งทำเป็นเฉย คุณเล็ก ไปบอกเดี๋ยวนี้เลย อย่านั่งเฉย ต้องกล้าตัดสินใจ…”และในที่สุดคณะรัฐมนตรีก็อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศลงนามได้
สงครามเวียดนามปิดฉากไป 50 ปี มาถึงวันนี้ เวียดนามคือดาวรุ่งพุ่งแรงจากการส่งสินค้าเข้าไปขายในสหรัฐฯ เป็นคู่เจรจาที่โดดเด่นของทำเนียบขาว ในขณะที่ไทยอยู่บนทางแพร่งของการตัดสินใจท่ามกลางสงครามยุคใหม่อีกครั้ง
—————————————————-
เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต

