
ที่มา | หน้าประชาชื่น มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | พันธุ์ทิพย์ ธีระเนตร |
เผยแพร่ |
เป็นอีก 1 สถานการณ์ที่ต้องจดจารไว้ในประวัติศาสตร์ไทย สำหรับการแพร่กระจายของไวรัส “โควิด-19” ที่มีภาวะเข้มข้นขึ้นตามลำดับตั้งแต่ช่วงต้นพุทธศักราช 2563
ย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ ตั้งแต่ยังไม่มีรัฐชาติ และคำว่าไทยแลนด์ ดินแดนที่ถูกขีดเส้นเป็นราชอาณาจักรไทยในทุกวันนี้ เคยประสบพบโศกนาฏกรรมจากโรคระบาดใหญ่หลายต่อหลายครั้ง และผ่านพ้นมาได้ทุกครั้งจนกระทั่งวันนี้
ความตายสีดำ โรคห่า ‘กาฬโรค’
เมื่อราวหลัง พ.ศ.1800 ประวัติศาสตร์โลกบันทึกถึงความสูญเสียประชากรนับล้านจาก Black Death จากจีนถึงยุโรปโดยมีพาหะคือหมัดหนู กระจายจากเรือสำเภาที่เข้าเทียบท่าค้าขาย ร่วมสมัยยุคต้นกรุงศรีอยุธยาที่มีตำนานบอกเล่าถึง “โรคห่า” ยุคพระเจ้าอู่ทอง เดิมเชื่อว่าเป็นโรคอหิวาต์ แต่ภายหลัง รับรู้กันใหม่ว่าแท้จริงคือ “กาฬโรค” จากสำเภาจีน
พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับวันวลิต พ.ศ.2182 บันทึกถึงความรุนแรงของโรคห่าในครั้งนั้นว่า “น้ำลายพิษ” ของมังกร (นาค) จากหนองน้ำ ฆ่าคนจนเมืองร้าง
กาฬโรคยุคต้นกรุงเก่า สร้างความปั่นป่วนในราชสำนัก ก่อเกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและสังคม โดยเฉพาะภาษาและวัฒนธรรม
เขยิบลงมาในยุคหลัง สมัยรัชกาลที่ 5 กาฬโรคระบาดอีกตามเมืองท่าของจีนและฮ่องกง เคลื่อนตัวไปอินเดีย แอฟริกา ยุโรป สิงคโปร์ ไทย และออสเตรเลีย

มีการบังคับให้เรือที่มาจากพื้นที่ซึ่งมีการระบาดจอดให้เจ้าหน้าที่ตรวจโรคก่อน รวมถึงจอดรอที่เกาะไผ่ ห่างจากพัทยาราว 8 กิโลเมตรจนครบ 9 วัน จึงอนุญาตให้เข้ากรุงเทพฯ ได้
ผู้มีบทบาทสำคัญในการกักกันและตรวจโรคครั้งนั้นคือ “พระบำบัดสรรพโรค” หรือ หมอฮันส์ อะดัมสัน ลูกครึ่งเดนมาร์ก-มอญ พื้นเพอยู่ที่พระประแดง คนไทยเรียก “หมอลำสั้น” นับเป็นแพทย์ประจำด่านตรวจโรคคนแรกของไทย เป็นผู้ออกประกาศจัดการป้องกันกาฬโรค ลงวันที่ 7 เมษายน พ.ศ.2441
ทั้งนี้ กว่าที่กาฬโรคจะหมดไป ใช้เวลานับสิบปี โดยพบผู้ป่วยรายสุดท้ายที่จังหวัดนครสวรรค์ เมื่อ พ.ศ.2495 จากนั้นยังไม่พบอีกเลย

ไข้ป่วง ลงราก ‘อหิวาตกโรค’
สงฆ์หนีจากวัด คฤหัสถ์หนีจากบ้าน
“ผู้คนสมัยนั้นยังโง่เขลา ไม่รู้อะไรหลายสิ่งหลายอย่าง พูดซุบซิบนินทากันว่า เพราะไปเอาศิลาก้อนใหญ่ๆ ในทะเลมาก่อเขาในพระราชวัง เจ้าโกรธ ผีโกรธ จึงบันดาลให้เป็นไข้”
คือข้อความจากพระราชพงศาวดาร รัชกาลที่ 2 ที่กล่าวถึงเหตุการณ์การระบาดของไข้ป่วง หรือลงราก ซึ่งในภายหลังเรียกว่า “อหิวาตกโรค” คร่าชีวิตผู้คนมากมายในยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ทั้งในกรุงเทพฯและหัวเมืองใกล้เคียง ราว 30,000 คน ความอีกตอนหนึ่งในพงศาวดารฉบับเดียวกันระบุว่า
“ครั้นเมื่อถึงเดือนเจ็ดข้างขึ้น เกิดไข้ป่วงมาแต่ทะเล ไข้นั้นเกิดมาแต่เกาะหมากก่อน แล้วข้ามมาหัวเมืองตะวันตก เดินขึ้นมาถึงปากน้ำเจ้าพระยา ชาวเมืองสมุทรปราการตายลงเป็นอันมาก ก็พากันอพยพขึ้นมากรุงเทพมหานครบ้าง แยกย้ายไปตามทิศต่างๆ บ้าง
ที่กรุงเทพฯ ก็เป็นขึ้นเมื่อวันขึ้น 6 ค่ำ เดือน 7 ไปจนถึงวันเพ็ญ ตายทั้งหญิงทั้งชาย ศพที่ป่าช้าแบศาลาดินในวัดสระเกษ วัดบางลำพู วัดบพิตรพิมุข วัดปทุมคงคา แลวัดอื่นๆ ก่ายกันเหมือนกองฟืน ที่เผาเสียก็มากกว่ามาก แลที่ลอยในแม่น้ำลำคลองเกลื่อนกลาดไปทุกแห่ง จนพระสงฆ์ก็หนีออกจากวัด คฤหัสถ์ก็หนีออกจากบ้าน”
ครั้นถึงช่วงปลายรัชกาลที่ 3 อหิวาตกโรค ระบาดขึ้นที่กรุงเทพฯ อีกครั้งเป็นเวลาราว 1 เดือน หนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษรายงานว่า มีผู้เสียชีวิตกว่า 5,000 คน
จากนั้น สมัยต้นรัชกาลที่ 5 อหิวาต์ระบาดอีก ในช่วงเพียงเดือนเดียวมีรายงานผู้เสียชีวิตถึง 6,600 ราย เนื่องจากยังไม่มีกฎเกณฑ์การสัญจรข้ามประเทศ การเดินทางเข้าออกง่ายดาย นำพาเชื้อโรคร้ายกระจายไปตามการคมนาคม กระทั่งแพทย์แผนตะวันตกและความก้าวหน้าด้านสาธารณสุขมีมากขึ้นตามลำดับ อหิวาตกโรคก็ไม่ได้น่ากลัวดังเช่นที่เคยเป็น

ขี้ทูด กุฏฐัง ‘โรคเรื้อน’ เจ็บเรือนแสน
ใน 100 ปีแห่งความ (ไม่) โดดเดี่ยว
นับเป็นเวลาเฉียดศตวรรษของการขจัดภัยร้ายของโรคเรื้อนที่คนโบราณมักเรียก ขี้ทูด กุฏฐัง ซึ่งมีอาการแสดงออกบนผิวหนัง หากรุนแรงถึงชีวิต ในช่วงระบาดหนักมีศพเผาที่วัดกันทุกวันด้วยสถิติผู้ป่วยเรือนแสน ทั้งยังถูกแยกรักษาตัวโดยสร้าง “นิคมโรคเรื้อน” หลายแห่งทั่วไทย กระทั่งรักษาตัวจนหายจึงคืนสู่สังคมอย่างไม่โดดเดี่ยว จากเมื่อกว่า 100 ปีก่อนซึ่งวิทยาการการแพทย์ในไทยยังไม่รุดหน้า ผู้ป่วยโรคเรื้อนเป็นที่รังเกียจอย่างหนัก สร้างความหวาดผวา โดยผู้คนมองว่าเป็นโรคพิกลพิการจากบุญกรรม กระทั่งแพทย์ตะวันตกเข้ามาอธิบายอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ถึงการติดต่อจากเชื้อแบคทีเรีย
พ.ศ.2430 นพ.เจมส์ ดับบลิว แม็คเคน คณะแพทย์มิชชันนารีอเมริกัน สร้างหมู่บ้านโรคเรื้อนให้ผู้ป่วยอาศัย และรักษาด้วยวิทยาการสมัยใหม่โดยใช้ยาปฏิชีวนะอันเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการขจัดโรคเรื้อนในไทย ซึ่งยุคก่อนหน้าเน้นรักษาด้วยสมุนไพร และไสยศาสตร์ คนป่วยถูกเนรเทศ ต้องไปขอทาน เร่ร่อนน่าเวทนา
สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงของบประมาณจากรัฐบาลปีละ 10,000 บาท มอบให้เป็นค่าใช้จ่ายในสถาบันโรคเรื้อนแม็คเคน
สมัยรัชกาลที่ 6 มีรายงานกราบบังคมทูลจำนวนผู้ป่วยโรคเรื้อน 10,000 ราย สมเด็จพระศรีสวรินทรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอันยิกาเจ้า พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์รวมกับเงินบริจาคของพระบรมวงศานุวงศ์ พ่อค้า ประชาชน จัดสร้าง “สำนักคนเป็นโรคเรื้อน” ที่สมุทรปราการ หลังจากนั้นมีพัฒนาการเรื่อยมา กระทั่งโรคเรื้อนแทบหมดสิ้นจากประเทศไทย

1 แสน ตายกว่า 200
‘วัณโรค’ รุกหนัก ต้องตั้ง ‘กองปราบ’
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดการระบาดของโรคติดต่อสำคัญอันเป็นสาเหตุการตายอันดับ 2 รองจากไข้มาลาเรีย นั่นคือ “วัณโรค” หรือ “ทุเบอร์คุโลลิส” (TB)
สถิติใน พ.ศ.2490 เฉพาะเขตกรุงเทพฯ มีผู้เสียชีวิต 217 คนจากประชากร 1 แสนคน ซึ่งถือเป็นยอดที่สูงมาก
หลวงพยุงเวชศาสตร์ อธิบดีกรมอนามัยจึงก่อตั้ง “สถานตรวจโรคปอด” ย่านยศเส เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ.2492
ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น มีการตั้ง “กองการปราบวัณโรค” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแพทยสมาคม
สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ทรงมีบทบาทอย่างยิ่งในการริเริ่มต่อต้านวัณโรคในประเทศไทย โดยทรงเรียบเรียงความรู้ต่างๆ เกี่ยวกับวัณโรค สาเหตุ อาการ วิธีรักษา และแนวทางป้องกัน เผยแพร่เป็นบทความด้วยภาษาเข้าใจง่าย ต่อมา เอกสารชุดนี้ มีการพิมพ์แจกจ่ายแก่ประชาชนทั่วไปอีกหลายต่อหลายครั้ง ทั้งยังมีพระราชปรารภเกี่ยวกับวัณโรคที่สร้างแรงบันดาลใจแก่ คณะกรรมการแพทยสมาคมแห่งกรุงสยาม อย่างมาก ส่งผลให้มีการก่อตั้งหน่วยงานต่างๆ อันมีคุณูปการในการต่อต้านวัณโรค


รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม อนุมัติสร้างโรงพยาบาลสำหรับรักษาวัณโรคเป็นแห่งแรกในไทยที่นนทบุรี ต่อมาได้ชื่อว่า “โรงพยาบาลวัณโรคกลาง”
พ.ศ.2495 องค์การอนามัยโลก (WHO) และยูนิเซฟ เข้าช่วยเหลือไทยในการต้านวัณโรค มีการชันสูตร และเพาะเชื้อวัณโรคเป็นครั้งแรกของไทย ต่อมาพัฒนาความสามารถให้ตรวจความไวต่อยาของเชื้อวัณโรค โดยเริ่มมีการใช้ยารักษาวัณโรคโดยเฉพาะขึ้นแล้ว
นับแต่นั้น มีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง ทั้งการสำรวจข้อมูลด้านระบาดวิทยา มีการรักษาทดลองและป้องกันในพื้นที่กรุงเทพฯ และเชียงใหม่ ทำให้ได้ผลแน่นอนเกี่ยวกัยการระบาดของวัณโรคเป็นครั้งแรก กระทั่งมียารักษา “ขนานใหม่” ที่ให้ผลการรักษาโดยไม่ต้องรอเข้ารักษาในโรงพยาบาล มีการตั้งศูนย์วัณโรคภาคเหนือ อีสาน และใต้ รณรงค์ฉีดวัคซีนโดยหน่วยเคลื่อนที่ และอีกมากมาย กระทั่งในวันนี้ “วัณโรค” ไม่เท่ากับ “ตาย” หากแต่รักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์โรคระบาดตั้งแต่ก่อนยุคกรุงสยามสู่รัฐชาติไทยที่คนรุ่นก่อนร่วมต่อสู้ฟันฝ่ากระทั่งผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความทุกข์สาหัสมาได้จวบจนวันนี้
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพส่วนหนึ่งจากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข