

หลังลับแลมีอรุณรุ่ง | ธงทอง จันทรางศุ
แกะห่อของฝากจาก ‘ปักกิ่ง’
ตั้งแต่ต้นปี 2568 มานี้ เทพจรผมจะลงเท้าอย่างไรไม่รู้ได้ แต่ผมได้เดินทางไปต่างประเทศมาแล้วถึงสี่ครั้ง ส่วนใหญ่เป็นการไปท่องเที่ยวตามความต้องการส่วนตัว วัยเกษียณแล้วต้องรู้จักเกษมบ้าง จริงไหมครับ และทุกครั้งที่เดินทางไปต่างประเทศ สิ่งหนึ่งที่ผมถือปฏิบัติเช่นเดียวกับคนไทยจำนวนมาก คือ ก่อนกลับบ้านต้องหาซื้อของฝากติดไม้ติดมือเพื่อนำมามอบให้กับผู้รู้จักคุ้นเคย จำนวนมากบ้างน้อยบ้าง เพราะผมถือคติประจำใจว่า “เดินทางปลอดภัย ใส่ใจของฝาก”
เวลาใครมาร่ำลาส่งข่าวว่าจะไปต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ ผมก็อำนวยอวยชัยด้วยประโยคสำคัญข้างต้นนี้อยู่เสมอ
เมื่อถึงคราวตัวเองตกอยู่ในฐานะผู้เดินทางบ้าง เราจะไปลืมหลักการสำคัญข้อนี้ได้อย่างไร
การเดินทางล่าสุดของผมเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาเป็นการเดินทางไปเที่ยวกรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน มีกำหนดสี่คืนห้าวัน
จะตีขลุมว่าเป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 50 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับจีน ที่เริ่มต้นขึ้นในสมัยที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี ของเมืองไทยเมื่อปี 2518 ก็เห็นจะพอได้อยู่
แต่ขอให้นึกว่าเป็นการเฉลิมฉลองภาคประชาชน ไม่เกี่ยวอะไรกับภาครัฐบาลนะครับ
เมื่อเดินทางกลับมาถึงบ้านแล้ว นึกในใจว่าน่าจะมีของฝากติดมือมาสำหรับผู้อ่าน “หลังลับแลมีอรุณรุ่ง” ให้สมกับที่ทุกท่านมีความเมตตาอดทนอ่านงานเขียนของผมมาทุกครั้ง
ครั้นจะแจกขนมที่ซื้อมาจำนวนหนึ่งให้ครบทุกท่านเป็นรายบุคคล ก็เห็นว่าเป็นการเกินกำลังตัวเองนัก
จึงใคร่ขออนุญาตในที่นี้ ใช้งานเขียนชิ้นนี้แหละเป็นของฝาก
ลองแกะห่อของฝากดูนะครับ ว่ามีอะไรอยู่ข้างไหนบ้าง
อันที่จริงกรุงปักกิ่งไม่ใช่เมืองที่ผมไม่รู้จักคุ้นเคยเสียเลยเมื่อไหร่
อย่างน้อยผมก็เคยเดินทางไปเมืองนี้มาสามครั้งแล้วในชีวิต
สองครั้งแรกเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกันเมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2539 เวลานั้นผมยังทำงานอยู่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
และได้รับโจทย์สำคัญจากท่านอธิการบดีของจุฬาฯ (ศาสตราจารย์เทียนฉาย กีระนันทน์) ให้ไปแสวงหาหินควอตซ์สีขาวขนาดใหญ่พอที่จะนำมาแกะสลักเป็นพระพุทธรูปที่เรียกกันทั่วไป “พระแก้ว” สำหรับทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแผ่นดินก่อนเป็นพระราชสิริในโอกาสที่จะเสด็จพระราชดำเนินมาพระราชทานปริญญาบัตรที่มหาวิทยาลัยในเดือนกรกฎาคม ภายหลังจากงานพระราชพิธีกาญจนาภิเษกในเดือนมิถุนายน เพียงไม่กี่วัน
ไปกรุงปักกิ่งรอบนั้น กลางวันผมเที่ยวหัวหกก้นขวิด พอตกเย็นก็ต้องวิ่งเต้นหาก้อนหินจากพ่อค้าขายของชนิดนั้นให้ช่วยนำก้อนหินมาให้เลือกที่โรงแรมที่พัก
ในที่สุดก็ได้ก้อนหินถูกใจครับ แต่ไม่มีเงินซื้อ ฮา! ต้องใช้วิธีถ่ายรูปแล้วกลับมารายงานผู้บังคับบัญชาให้เป็นผู้ตัดสินเด็ดขาดขั้นตอนสุดท้าย
ก่อนที่ผมจะกลับไปกรุงปักกิ่งอีกครั้งหนึ่งในอีกสองสัปดาห์ถัดมา เพื่อไปซื้อก้อนหินและนำกลับมาแกะสลักเป็นพระพุทธรูปทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายได้ทันเวลาพอดี
นั่นแปลว่าภายในเวลาหนึ่งเดือนกลางปี 2539 ผมไปปักกิ่งเสียสองรอบ
ส่วนรอบที่สามนั้นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระหว่างที่ผมยังรับราชการอยู่ที่สำนักนายกรัฐมนตรี เป็นการเดินทางไปกรุงปักกิ่งเมื่อปลายปี 2555 หรือต้นปี 2556 ผมไม่แน่ใจนัก
แต่จำได้แม่นว่า เป็นการไปพบกับฝ่ายจีนเพื่อแสวงหาข้อมูลสำหรับโครงการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการซึ่งเมืองไทยของเรากำลังเตรียมดำเนินการอยู่ในช่วงเวลานั้น
จำได้แต่ว่าเป็นการไปดูงานในฤดูหนาว ในขณะที่อากาศหนาวจัด และต้องไปดูเขื่อนกั้นน้ำแห่งหนึ่งที่มีลมพัดฉิวต้องผิวเนื้อแต่ละหนทำให้รู้สึกหนาวเข้าไปทุกขุมขนเลยทีเดียว
แต่ยอมรับครับว่าวันนั้นไปในหน้าที่ราชการ เห็นอะไรก็จำกัดอยู่เพียงแค่เท่าที่ทางการจีนจัดโปรแกรมให้เท่านั้น
เมื่อมาทบทวนว่า กรุงปักกิ่งกับผมห่างเหินกันมาไม่น้อยกว่า 12 ปีแล้ว เป็นโอกาสที่สมควรจะกลับไปเที่ยวเมืองนี้อีกครั้งเสียที โดยไม่ลืมที่จะพาหลานไปด้วยอีกสองคน เพื่อที่ว่าเกิดเหตุอะไรขึ้นเขาจะได้พาผมกลับบ้านได้
สมทบกับผู้คุ้นเคยกันทางโน้นอีกหนึ่งคนซึ่งอยู่ในวัยใกล้เคียงกันกับหลานของผม แถมยังมีความรู้ภาษาจีนในระดับที่ใช้การได้ติดตัวมาด้วย
เป็นอันว่าคนแก่ปลอดภัยแน่เพราะไปกับเด็กสามคน
สิ่งที่กระทบตากระทบใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อไปถึงกรุงปักกิ่ง คือ ถ้าไม่นับพระราชวังหลวงกรุงปักกิ่งหรือจัตุรัสเทียนอันเหมินแล้ว ปักกิ่งที่ผมรู้จักเป็นครั้งแรกเมื่อเกือบ 30 ปีก่อนก็ไม่เหลือซากอะไรเลย ตั้งแต่สนามบิน ถนนหนทาง ตึกรามบ้านช่องต่างๆ ทุกอย่างอายุน้อยกว่า 30 ปีทั้งหมด
ถึงแม้ว่ามีบางสถานที่ที่ผมได้แวะไปเยี่ยมชมจะมีอาคารอายุเก่ากว่า 30 ปีอยู่บ้าง เช่น บริเวณที่เรียกว่าย่าน 798 ซึ่งเคยเป็นโรงงานอุตสาหกรรมเก่าสมัยจีนกับรัสเซียกอดคอเป็นเพื่อนรักกัน เมื่อผมไปเดินเล่นแถบนั้นก็ยังเห็นอาคารเก่าและปล่องโรงงานซึ่งไม่ได้ทำหน้าที่พ่นควันอะไรออกมาแล้ว
แต่ย่านนั้นทั้งบริเวณได้กลายเป็นหอศิลปะ เป็นแกลเลอรีสำหรับแสดงงานจิตรกรรม ประติมากรรม หรืองานศิลปะร่วมสมัยอื่นๆ ตลอดจนเป็นย่านการค้าอะไรก็แล้วแต่ที่เกี่ยวข้องกับงานศิลปะหรือซอฟต์เพาเวอร์
นี่ก็เป็นการนำอาคารเก่ามาใช้แบบใหม่อย่างน่าสนใจเป็นที่สุด
พ้นจากเรื่องอาคารสถานที่ไป สิ่งที่ตื่นเต้นมากสำหรับผมคือเทคโนโลยีล้ำสมัย เคยได้ยินคนเขาพูดมานักต่อนักแล้วว่า ที่เมืองจีนนั้นแทบจะไม่มีใครใช้เงินสดเลย ผมได้แต่นึกตั้งคำถามอยู่ในใจว่าเป็นไปได้อย่างไร
แต่พอไปอยู่กรุงปักกิ่งมาห้าวันเข้าคราวนี้ก็เห็นแล้วว่าเป็นไปได้จริงดังว่า
ก่อนเดินทางไปเมืองจีนหนึ่งวัน หลานผมได้โหลดแอพพลิเคชั่นต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับการใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงปักกิ่ง ตัวอย่าง Alipay และ WeChat ให้ผมมีไว้ในโทรศัพท์ Alipay นั้นก็ผูกโยงเข้ากับบัตรธนาคารของผมที่เป็นบัตรเดบิต คือจ่ายปุ๊บตัดเงินปั๊บ ไม่ใช่บัตรเครดิตที่เดือนหน้าค่อยย้อนมาเก็บสตางค์ผม
เมื่อมีทุกอย่างเรียบร้อยอยู่ในโทรศัพท์มือถือแล้ว การซื้อของทุกอย่างในกรุงปักกิ่งไม่ว่าจะราคามากน้อยแค่ไหนก็ทำผ่านโทรศัพท์มือถือทั้งสิ้น
ผู้ที่อยู่เมืองจีนเป็นประจำเล่าให้ผมฟังว่า วันหนึ่งเขาเดินออกจากที่พักโดยไม่ได้นำโทรศัพท์มือถือติดตัวไปด้วย ก่อนจะไปไหนไกล เมื่อนึกออกว่าลืมโทรศัพท์ก็ต้องย้อนกลับไปที่ห้องพักเพื่อหยิบโทรศัพท์มือถือติดตัวไป มิเช่นนั้นแล้วจะขึ้นรถลงเรือ กินข้าว หรือทำอะไรก็ไม่ได้เสียทั้งนั้น
ระบบการจองสารพัดอย่างก็สามารถทำผ่านโทรศัพท์มือถือได้ เป็นต้นว่า ผมอยากไปดูพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติของเมืองจีน เรา (ซึ่งไม่ได้แปลว่าผม แต่หมายถึงเด็กสามคน) ก็ต้องจองเวลาเข้าดู พิพิธภัณฑ์ไปล่วงหน้า ส่งหน้าพาสปอร์ตของเราไปให้เขาดูด้วย
เมื่อได้รับอนุญาตแล้วเราก็ไปตามกำหนดเวลา คือ เป็นวันที่เท่านั้นเวลาเท่านี้
ถ้าไปตามกำหนดเช่นว่าก็จะได้รับความสะดวกทุกประการ
เทคโนโลยีอย่างหนึ่งที่ผมสังเกตเห็น คือ กล้องวงจรปิด CCTV ซึ่งมีอยู่แทบจะทุกซอกทุกมุม ผมนึกเอาเองว่า ตั้งแต่วินาทีแรกที่ผมเดินผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองที่สนามบิน และได้มีการบันทึกว่าผมผู้มีหน้าตาแก่ชราและอ้วนท้วนแบบนี้ ชื่อนั้นชื่อนี้ ได้มาถึงเมืองจีนแล้ว
คราวนี้ข้อมูลทุกอย่างก็เชื่อมโยงกันหมด เช่น ผมเช็กอินเช็กเอาต์ที่โรงแรม ผมไปดูพิพิธภัณฑ์ ไปพระราชวังต้องห้าม ไปไหนก็แล้วแต่ที่ต้องลงทะเบียนล่วงหน้า หรือแม้แต่เดินเข้าไปในบริเวณจัตุรัสเทียนอันเหมิน ผมก็ต้องนำพาสปอร์ตติดตัวไปเพื่อสแกนก่อนเข้าบริเวณด้วย
เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ท่านประธานสี จิ้นผิง ก็รู้หมดทีเดียวว่า ชายชราอ้วนท้วนคนนี้ในแต่ละวันไปทำอะไรมาบ้าง
ถ้านำข้อมูลนี้ไปปะติดปะต่อกับภาพที่อยู่ในโทรทัศน์วงจรปิด ลองนึกดูแล้วกันครับว่า ความลับของชีวิตผมจะไปเหลืออะไร
ในประเทศหรือสังคมที่มีระบบเทคโนโลยีแบบนี้ มองในแง่มุมหนึ่ง จะเรียกว่าเป็น “ความปลอดภัย” ก็เห็นได้ เพราะถ้าผู้ร้ายทำผิดขึ้นมาเมื่อใด คุณเจ้าหน้าที่ที่นั่งดูกล้องโทรทัศน์อยู่ก็สามารถเห็นเหตุการณ์ถ่ายทอดสดได้และสามารถติดตามตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษได้โดยง่าย
ผู้ร้ายจะไปใช้จ่ายเงินทองที่ไหน สแกนซื้อของหนึ่งชิ้น ประเดี๋ยวเดียวคุณตำรวจก็รู้แล้วว่า ผู้ร้ายใจทมิฬกำลังทำอะไรอยู่ แล้วผู้ร้ายคนนั้นจะหนีรอดหรือ
ในขณะเดียวกันกับที่เราได้ความปลอดภัยแบบนี้เข้ามาช่วยดูแลผู้คนในสังคม สมาชิกของสังคมก็สูญเสียความเป็นส่วนตัวไปเหมือนกัน เพราะบางคนก็เชื่อว่า เราควรจะมีโลกส่วนตัวของเราที่ไม่จำเป็นต้องแบ่งปันให้คนอื่นรู้ ถ้าโลกส่วนตัวของเราไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น แล้วคนอื่นทำไมจะต้องมาตอแยกับเราเล่า
บางเรื่องเป็นเรื่องส่วนตัวของเรา คนอื่นมาแอบรู้เข้า เราก็เขินนะครับ
คิดดูประเด็นเล็กน้อยเพียงแค่นี้ย่อมเห็นแล้วว่า เทคโนโลยีก็เหมือนกับดาบที่มีสองคม มีทั้งคุณและโทษเจือกันอยู่
แต่อยู่ที่เมืองจีนหรือกรุงปักกิ่งไม่ต้องคิดอะไรมากครับ ไม่ว่ากำลังทำอะไรอยู่เงยหน้าขึ้นมองกล้องโทรทัศน์วงจรปิดแล้วเล่นละครเรื่อง “ฉากชีวิต” ให้สมบทบาทก็แล้วกัน
ข้อสุดท้ายที่เป็นความเห็นส่วนตัวและเป็นของฝากข้อสำคัญจากผมในคราวนี้ คือ ผมสังเกตเห็นชัดว่าคนจีนมีความภาคภูมิใจในความเป็นชาติของตนอย่างยิ่ง
ส่วนหนึ่งมาจากภูมิหลังที่เกรียงไกรในทางประวัติศาสตร์และยาวนาน จีนเป็นชาติใหญ่มานานนับพันปี ในโลกนี้จีนจึงเป็นมหาอำนาจมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์
แต่ช้าก่อนครับ! ความภาคภูมิใจในความเป็นจีนของคนจีนยุคปัจจุบัน ไม่ได้หยุดความภาคภูมิใจอยู่เพียงแค่แง่มุมทางประวัติศาสตร์อันหอมหวานมาจากอดีตเท่านั้น
หากแต่เป็นความภาคภูมิใจในปัจจุบันและอนาคตที่จีนมีอยู่ เป็นอยู่ และจะเป็นไปในวันข้างหน้าด้วย
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติของจีนจึงมีทั้งของเก่าตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์เรียงลำดับมาจนถึงปัจจุบัน แล้วก็มีห้องที่จัดแสดงเทคโนโลยี พูดถึงเรื่องจรวดไปสำรวจอวกาศให้เห็นเทคโนโลยีล้ำยุคด้วย ว่าจีนเก่งกล้าสามารถไม่แพ้ใคร แค่ไปโลกพระจันทร์นั้นขี้ปะติ๋ว เดี๋ยวจีนจะไปโลกพระอังคาร โลกพระพุธ และโลกพระพฤหัสให้ดูบ้าง
เมื่อมาตั้งสติไตร่ตรอง ผมเห็นว่าเรื่องนี้มีประเด็นที่เราควรนำมาพิจารณาด้วยความรอบคอบเป็นอย่างยิ่งด้วย
ประวัติศาสตร์และเรื่องราวในอดีตที่น่าภาคภูมิใจของบ้านเรานั้นถึงแม้จะไม่เก่าเท่าเมืองจีน แต่ของเราก็มีอะไรที่น่าภาคภูมิใจอยู่ไม่ใช่น้อยเลย
แต่ความภาคภูมิใจในอดีตเพียงอย่างเดียว ผมเห็นว่ายังไม่พอที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้กับลูกหลานของเราที่กำลังเติบโตขึ้นและต้องสร้างอนาคตบนรากฐานที่เป็นความจริงของปัจจุบัน ไม่ใช่บนรากฐานของซากอิฐซากปูนที่หมดอายุการใช้งานแล้ว
ผมเชื่อแน่ว่าสิ่งที่น่าภาคภูมิใจและเป็นฝีมือหรือผลงานของคนไทยยุคปัจจุบันมีแน่นอน แต่การนำมาบอกเล่าหรือแจ้งข่าวให้คนยุคปัจจุบันเขาได้รู้ได้เห็นดูจะเป็นเรื่องที่ยังพร่องอยู่
สิ่งที่น่าภาคภูมิใจของปัจจุบันก็ต้องมองให้กว้าง ครอบคลุมประเด็นที่หลากหลาย จะเน้นแต่เรื่องการรักชาติตามแบบจารีตที่ผู้ใหญ่หลายท่านพึงใจเห็นจะไม่พอเสียแล้ว หากแต่ต้องเป็นความเจริญของสังคมที่มีความซับซ้อน อยู่ร่วมกับชาวโลกได้ และก้าวทันยุคสมัย
ใครสามารถผสมส่วนของเก่ากับของใหม่และของอนาคตเหล่านี้เข้าด้วยกันได้อย่างกลมกล่อม จะมาเรียกเอารางวัลอะไรจากผม ผมก็ยอมทั้งนั้น
ของฝากจากเมืองจีนคราวนี้ เขียนไปเขียนมา ทำไมกลายเป็นการบ้านจากเมืองจีนขึ้นมาได้ก็ไม่รู้เหมือนกัน
ขออภัยคร้าบ
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022