

หลังลับแลมีอรุณรุ่ง | ธงทอง จันทรางศุ
ดัชนี ‘ส้วม’
เมื่อผมเป็นเด็กวัยละอ่อน ยังเรียนหนังสืออยู่ในชั้นมัธยมต่อเนื่องกับระดับมหาวิทยาลัย ผมได้เป็นนักศึกษาวิชาทหาร หรือที่คนทั้งหลายเรียกว่า ร.ด. ต่อเนื่องกันสามปี โดยเรียนสองปีแรกเมื่อตอนที่อยู่ชั้นมัธยม และไปเรียนวิชาทหารชั้นปีที่สามเมื่ออยู่ปีหนึ่งในมหาวิทยาลัย
นอกจากการนั่งเรียนหนังสือในห้องเรียนแบบหลับๆ ตื่นๆ และการฝึกแถวทหารกลางแจ้งในพระนครแล้ว ก่อนจะจบหลักสูตรคือตอนปลายปีสุดท้าย นักศึกษาวิชาทหารทุกคนต้องไปฝึกภาคที่เขาชนไก่ จังหวัดกาญจนบุรี กำหนดเวลาทั้งหมดหกคืนเจ็ดวัน
เวลานั้นผมอายุประมาณ 19 ปี ความลำบากตรากตรำต่างๆ เห็นจะไม่เกินกำลังของเราไปได้ แต่ยอมรับครับว่าสิ่งที่รู้สึกกังวลที่สุดคือการเข้าห้องสุขาเพื่อปฏิบัติสิ่งที่จำเป็นต่อวงจรชีวิตประจำวัน สถานการณ์จะเป็นอย่างไรบ้างหนอในช่วงเวลาเจ็ดวันนั้น
จำได้ว่าผมเข้าไปใช้บริการ “ห้องสุขา” เพียงไม่กี่ครั้ง เรียกว่าจะเข้าไปเฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น
แต่ถ้ามาถามรายละเอียดในเวลานี้ก็จำไม่ได้เสียแล้วว่ามีอะไรอยู่ในห้องที่ว่านั้นบ้าง
เกริ่นมาเสียขนาดนี้ คงพอนึกออกแล้วนะครับว่าวันนี้ผมจะคุยถึงเรื่อง “ห้องสุขา” หรือถ้าเรียกง่ายๆ กว่านั้นก็ต้องเรียกว่า “ห้องส้วม” ซึ่งโดยปกติแล้วเป็นสถานที่ที่เราต้องแวะเวียนเข้าไปใช้บริการอยู่ทุกวัน
ใครเป็นผู้คิดคำว่า “ห้องสุขา” ขึ้นผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน แต่รู้สึกว่าเข้าทีดีอยู่เพราะความรู้สึกของคนทั้งหลายที่มีความทุกข์อึดอัดต้องการระบายออก เมื่อเข้าไปในห้องที่ว่านั้นแล้วก็มีความสุขเพิ่มขึ้นสมความปรารถนาทุกครั้งไป
เรื่องของห้องส้วมนี้มีวิวัฒนาการมาเคียงคู่กับวิวัฒนาการของมนุษยชาติเลยทีเดียว
ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ในยุคดึกดำบรรพ์ ห้องส้วมคงมิได้มีลักษณะมิดชิดอย่างที่นิยมกันทุกวันนี้ คนเราสามารถใช้ทุ่งนาป่าเขาเป็นที่ระบายความทุกข์ชนิดนี้ได้โดยไม่มีข้อจำกัด เพราะเรามีพื้นที่กว้างขวางเหลือเกิน ถึงจะไประบายความทุกข์ไว้กลางแจ้งหรือในพุ่มไม้แล้ว ความทุกข์นั้นก็ไม่หวนกลับมาสร้างความลำบากใจให้กับคนอื่น เรียกว่าหลีกกันพ้นครับ
การไประบายความทุกข์ในที่กลางแจ้งโดยไม่จำเป็นต้องสร้างอะไรเพิ่มเติมขึ้นเป็นพิเศษนี้ ยังเห็นเค้าได้จากคำพูดของคนไทยในสมัยก่อนตามต่างจังหวัดที่ลงจากเรือนไประบายทุกข์ตรงซอกมุมไหนก็ได้ แล้วมีสำนวนเรียกว่า “ไปทุ่ง”
พูดว่าไปทุ่งก็เข้าใจแล้วว่าไปทำอะไร ไม่ใช่การไปทำไร่ไถนาหรือไปเก็บเห็ดเก็บดอกไม้เป็นแน่
แต่วิวัฒนาการขั้นต่อมาเมื่อการไปทุ่งไม่ใช่ของสะดวกสำหรับทุกคน ห้องส้วมก็เริ่มเกิดขึ้น และส้วมยุคนี้น่าจะเรียกว่าส้วมหลุมก็เป็นที่เข้าใจกันแล้ว
ที่ผมจำได้แม่นยำ คือ หลักฐานทางประวัติศาสตร์ในสมัยสุโขทัย ที่เราพบโบราณวัตถุอยู่ตามวัดต่างๆ ลักษณะเป็นเครื่องสุขภัณฑ์ยุคนั้น มีหลุมมีร่องตามตำแหน่งที่ควรจะเป็น นั่นน่าจะแปลได้ว่า ในสมัยสุโขทัยเรามีห้องส้วมเกิดขึ้นแล้ว
และผมอยากจะเดาสุ่มต่อไปด้วยว่า ถ้ามีส้วมให้พระภิกษุได้ใช้แล้ว บุคคลผู้ที่อยู่ในฐานะเป็นคนชั้นสูงของสังคมก็น่าจะมีส้วมเป็นของตัวเองบ้างเหมือนกัน
แต่อาจจะไม่ได้สร้างด้วยวัตถุถาวร คือ แผ่นหินอย่างส้วมของพระ ซึ่งมีคำศัพท์เรียกโดยเฉพาะว่า ฐาน หรือจะเรียกให้ไพเราะกว่านั้นก็ต้องเรียกว่า เวจกุฎี
หากแต่เป็นส้วมหลุม คือ ใช้วิธีขุดดินลงเป็นหลุม มีไม้กระดานพาดกันตก มีความมิดชิดหรือมีเครื่องบังตาตามสมควรไม่ให้อะไรต่อมิอะไรประเจิดประเจ้อเกินไป
ข้อสังเกตของผมเองเกี่ยวกับส้วมในอดีตของคนไทยมีอยู่ว่า เราไม่นิยมสร้างส้วมเป็นส่วนหนึ่งของตัวอาคารที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัย หากแต่แยกเป็นอาคารโดยเฉพาะ ซึ่งก็น่าจะเหมาะสำหรับเรื่องสุขอนามัย ฝาและป้องกันกลิ่นที่ไม่พึงปรารถนามารบกวนความสุขในเรือนพักด้วย
ในขณะที่ห้องอาบน้ำหรือการอาบน้ำนั้นสามารถปฏิบัติได้บนเรือนโดยไม่ต้องแยกไปมีห้องอาบน้ำต่างหากอยู่อีกที่หนึ่ง
ถ้าใครเป็นแฟนหนังสือเรื่องขุนช้างขุนแผน จะพบว่ามีฉากพระเอกนางเอกนั่งอาบน้ำอยู่บนเรือนให้เราได้ลุ้นอยู่หลายฉาก บรรยากาศก็ช่างรู้เห็นเป็นใจเสียเหลือเกิน นั่งบนตั่ง อาบน้ำจากตุ่มหรือภาชนะขนาดใหญ่ที่ใส่น้ำไว้ใช้สอย บนท้องฟ้าก็มีพระจันทร์สุขสว่าง ตรงโน้นก็มีไม้กระถางไม้ดัดวางอยู่เป็นระยะๆ พระเอกนางเอกอาบน้ำไปคุยกันกะหนุงกะหนิงไป ครู่เดียวก็ต้องเลิกอาบน้ำเสียแล้วเพราะมีธุระอย่างอื่นที่ต้องไปทำ ฮา!
แต่เท่าที่ผมนึกออก วรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผนไม่ได้พูดถึงเรื่องใครไปห้องส้วมเอาไว้บ้างเลย
พูดถึงวรรณคดียุคเก่าแบบขุนช้างขุนแผนมาแล้ว ไขนาฬิกาให้เดินหน้ามาถึงวรรณคดียุคใหม่บ้าง
หนังสือเรื่องสี่แผ่นดินเป็นหนังสือที่พูดถึงเรื่องห้องส้วมเอามาให้ชัดเจน เป็นความรู้หรือข้อมูลเกี่ยวกับห้องส้วมในวังหลวงหรือพระบรมมหาราชวังของเรา ว่าสำหรับสตรีผู้เป็นข้าราชบริพารฝ่ายในที่ไม่ใช่เจ้านายแล้ว เมื่อเวลามีความทุกข์ประจำวันขึ้นมา ก็ต้องไประบายทุกข์ที่ ” อุโมงค์” ซึ่งเป็นชื่อเรียกส้วมสาธารณะ แยกส่วนต่างหากจากตำหนักต่างๆ ข้าหลวงหรือบริวารของทุกตำหนักจึงได้พบหน้ากันอยู่เสมอที่อุโมงค์แห่งนี้
ในขณะที่เจ้านายไม่ต้องเสด็จไปอุโมงค์ เพราะผมเข้าใจว่า ท่านย่อมลงพระบังคนอยู่ที่ตำหนักของแต่ละองค์ โดยใช้ภาชนะที่เหมาะสมและเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องมิดชิด
จะพูดมากไปกว่านี้ก็เกิดไม่ทันเสียด้วย ขีดเส้นใต้ไว้แค่นี้ก็เห็นพอนะครับ
เมื่อยุคสมัยบ้านเมืองเปลี่ยนแปลงไป คนมาอาศัยอยู่บ้านเป็นหลักเป็นฐาน บ้านหรือก็อยู่เรียงชิดติดกัน จะใช้วิธีไปทุ่งหรือขุดส้วมหลุมอย่างแต่ก่อนเห็นจะไม่ได้แล้ว
บ้านของชาวเราในชั้นหลังจึงมีห้องส้วมอยู่ในอาคารหลักที่เป็นที่กินอยู่หลับนอนของเราเลยทีเดียว
ขณะเดียวกัน ในอาคารที่พักอาศัยรูปแบบอื่นเช่นตึกแถว ห้องส้วมก็เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของตึกแถวเช่นเดียวกัน
แต่ตามข้อสังเกตส่วนตัวของผม ห้องส้วมในยุคแรกที่ผนวกเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของบ้านเรือนนั้น ยังไม่ได้รับความสำคัญนับหน้าถือตาว่าต้องสวยงามหรือสะดวกสบายเป็นพิเศษ
ห้องส้วมในครั้งนั้นจึงมักมีขนาดเล็กและต้องอยู่ในซอกมุมที่ไม่โดดเด่น เช่น ไปซ่อนตัวอยู่ที่ห้องใต้บันไดเสีย
ความนิยมที่จะมีห้องส้วมห้องน้ำให้เข้าออกต่อเนื่องกับห้องนอนก็ยังไม่แพร่หลายมากนัก
ยิ่งความคิดที่จะให้มีห้องน้ำห้องส้วมอยู่บนชั้นสองของบ้านยิ่งเป็นไปไม่ได้ หรือเป็นไปได้ยากเต็มที เพราะแรงขับน้ำให้ขึ้นไปใช้สอยได้สะดวกที่ชั้นสองในยุคนั้นเป็นสิ่งที่อยู่ไกลเกินความคิด
จากวันนั้นมาถึงวันนี้ ห้องส้วมเดินทางมาไกลพอสมควรนะครับ มาถึงปัจจุบันห้องส้วมได้รับเกียรติยศเพิ่มมากขึ้น และเป็นความนิยมของยุคสมัยนี้แล้วด้วยที่ห้องส้วมกับห้องน้ำจะควงคู่อยู่ด้วยกันเป็นฝาแฝดหรือเป็นเนื้อเดียวกัน
ขนาดพื้นที่ก็กว้างขวางมากขึ้นไม่ต้องซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดอีกต่อไป
ระบบการระบายกลิ่นก็ดี แรงดันน้ำที่ไม่ได้จำกัดให้ห้องน้ำห้องส้วมต้องอยู่โดยเฉพาะชั้นหนึ่งอย่างแต่ก่อนก็ดี เครื่องสุขภัณฑ์ที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่เป็นส้วมแบบนั่งราบซึ่งน่าจะพัฒนามาจากส้วมหลุมแต่ก่อน และได้เปลี่ยนไปเป็นเครื่องสุขภัณฑ์แบบนั่งสบายเหมือนนั่งเก้าอี้อย่างทุกวันนี้ก็ดี
ทำให้ห้องส้วมเป็นห้องสุขาอย่างแท้จริง
สังเกตไหมครับว่าถ้าเราเข้าไปปฏิบัติการในห้องส้วมหรือห้องสุขาที่เป็นสถานที่คุ้นเคยของเราเอง เช่น เป็นห้องส้วมที่บ้าน ทุกอย่างจะดูลงตัวไปหมด อะไรต่อมิอะไรก็อยู่ใกล้มือหยิบใช้ง่าย
แต่ความทุกข์ในลักษณะที่ว่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะเวลาที่เราอยู่ในบ้านของเราเองเท่านั้น ความทุกข์ที่สามารถระบายถ่ายถอนได้แบบนี้ บางครั้งก็เกิดขึ้นเวลาที่เราอยู่นอกบ้านหรืออยู่ในระหว่างเดินทาง ครั้นจะอัดอั้นตันใจไว้เพื่อไปแก้ทุกข์ที่บ้านก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก จำเป็นต้องอาศัยห้องส้วมที่เขามีให้บริการเป็นสาธารณะตามสถานที่ทั่วไปเป็นที่ผ่อนผันบรรเทาทุกข์
ท่านที่ชอบเดินทาง (เหมือนผม) คงสังเกตเห็นได้ว่า ห้องส้วมสาธารณะตามสถานีบริการเชื้อเพลิงหรือปั๊มน้ำมันต่างๆ จากแต่เดิมที่มีก็เหมือนซังกะตาย มีหรือมีไปตามบุญตามกรรม
ยุคสมัยนี้พัฒนาไปมากแล้ว และเป็นเครื่องดึงดูดอย่างสำคัญให้นักเดินทางเลือกที่จะแวะเข้าไปเติมน้ำมันและใช้บริการซื้อข้าวของอื่นๆ ในปั๊มที่มีห้องส้วมสะอาด สวยงาม และเป็นมิตรกับผู้ใช้บริการ มากกว่าปั๊มที่เป็นปั๊มแบบจารีตนิยมที่ห้องส้วมยังไม่ได้พัฒนา
นอกจากห้องส้วมตามปั๊มน้ำมันแล้ว ห้องส้วมตามร้านอาหารก็มีการพัฒนาไปอย่างมีนัยยะสำคัญเลยทีเดียว นึกดูก็แล้วกันครับว่าถ้าร้านอาหารหรูหรารสอร่อย แต่มีห้องส้วมซอมซ่อ ลูกค้าจะรู้สึกพึงใจหรือไม่พึงใจอย่างไร
ผมจึงพบว่าร้านหรูสมัยนี้มักจะมีห้องส้วมหรูควบคู่กันไป และเป็นเครื่องจูงใจอย่างสำคัญให้ลูกค้ามาใช้บริการด้วย
ห้องส้วมตามศูนย์การค้าต่างๆ ก็เช่นเดียวกัน มีผู้มาบอกเล่าให้ผมฟังว่า มีศูนย์การค้าแห่งหนึ่งอยู่บนถนนสุขุมวิทใกล้กันกับแยกอโศก เจ้าของหรือผู้ลงทุนสร้างศูนย์การค้าแห่งนั้นมีนโยบายชัดเจนที่ห้องน้ำห้องส้วมต้องสวยเด่นเป็นสง่า และนโยบายนี้ได้มีการปฏิบัติจริงเสียด้วย
ขอแสดงความชื่นชมครับ
ตั้งแต่ต้นปีมาจนถึงกลางปีเช่นนี้ ผมเดินทางไปต่างประเทศมาสี่ครั้งแล้ว สามครั้งในจำนวนสี่ครั้งเป็นการเดินทางระยะสั้นไปยังประเทศที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านเรานัก คือ ศรีลังกา อินเดีย และจีน สองประเทศหลังคืออินเดียและจีนเป็นประเทศที่ผมต้องลุ้นมากพอสมควรว่า ห้องส้วมที่ไม่ได้อยู่ในโรงแรมที่พักจะใช้การได้เพียงใดหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เมืองจีนซึ่งเล่าลือกันมาช้านานว่าห้องส้วมของเขาเด็ดนัก
จากการเดินสำรวจสถานที่จริง ผมพบว่าห้องส้วมเมืองจีนเฉพาะเมืองปักกิ่งที่ผมไปเดินเที่ยวเล่นพัฒนาไปมากพอสมควร
แต่น้องนักเรียนไทยที่เป็นผู้นำทางแอบกระซิบว่า ถ้าเป็นห้องส้วมสาธารณะแบบดั้งเดิม พูดตามสำนวนการประชุมระหว่างประเทศก็ต้องบอกว่า “ยังมีโอกาสที่จะพัฒนาได้อีกมาก”
เพียงแต่ผมไม่ได้ไปเข้าห้องส้วมชนิดนั้นเท่านั้น
กล่าวโดยรวมแล้วผมยังอยากจะสรุปงานวิจัยเรื่องห้องส้วมชิ้นนี้ว่า คุณภาพของห้องส้วมอาจใช้เป็นดัชนีสำคัญในการวิเคราะห์พัฒนาการของสังคมหรือประเทศต่างๆ ได้เป็นอย่างดี
บ้านเราส่งเสริมการท่องเที่ยว อยากให้คนไทยเที่ยวไทยด้วยกัน อยากให้คนต่างชาติเข้ามาเที่ยวเราด้วย เศรษฐกิจจะได้หมุนเวียนรุ่งเรือง เรื่องห้องส้วมนี้ก็ต้องรุ่งเรืองพัฒนานำหน้าไปก่อนเลยทีเดียว
ฟังดูเป็นวิชาการดีไหมครับ
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022