
วัย 50+ ระวัง ‘งูสวัด’ อสรพิษร้าย (ป้องกันได้ด้วย ‘วัคซีน’)

บทความพิเศษ | จักรกฤษณ์ สิริริน
วัย 50+ ระวัง ‘งูสวัด’
อสรพิษร้าย (ป้องกันได้ด้วย ‘วัคซีน’)
ตอนผู้เขียนเด็กๆ เคยได้ฟังเรื่องน่ากลัวเกี่ยวกับ “งูสวัด” แม้จะยังไม่รู้ความ ว่ามันคืออะไร
แต่ก็จำคำเตือนเกี่ยวกับ “งูสวัด” ได้ดี ว่า “ถ้าใครเป็น ‘งูสวัด’ แล้วถูกพันรอบตัวจะต้องตาย!”
โตขึ้นมาจึงรู้ว่า มันเป็นเพียงความเชื่อแบบ “ปากต่อปาก” ยิ่งค้นคว้าข้อมูลมาก ก็ยิ่งพบความจริงที่น่าสนใจ นำมาเล่าสู่กันฟังครับ
เรื่องเล่าปรัมปราที่บอกว่า “ถ้าใครเป็น ‘งูสวัด’ แล้วถูกพันรอบตัวจะต้องตาย!” นั้น มันไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด
แม้ผู้ป่วยบางรายจะมี “ผื่นงูสวัด” ทั้ง 2 ด้านของลำตัว คือทั้งซ้ายและขวา เหมือนจะเลื้อยเข้ามาหากัน จนดูเหมือนว่า “งูสวัด” กำลังจะพันรอบตัว
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผู้ที่เสียชีวิตจาก “งูสวัด” เกิดจากภูมิคุ้มกันต่ำ ร่วมกับภาวะแทรกซ้อนต่างหาก
เพราะการติดเชื้อ “งูสวัด” จะทำให้ร่างกายอ่อนแอ และเสียชีวิตในที่สุด
ผู้ที่มีความเสี่ยงเป็น “งูสวัด” นอกจากคนวัย 50+ แล้ว ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันร่างกายต่ำ หรือผู้ที่กินยากดภูมิคุ้มกันก็มีความเสี่ยงเช่นกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่ติดเชื้อ HIV, ผู้ที่เป็นมะเร็ง และรับยาเคมีบำบัด (คีโม) หรือผู้ป่วยติดเตียง
นอกจากนี้ ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บรุนแรง หรือเคยได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ ก็มีความเสี่ยงเช่นกัน
รวมถึงผู้ที่ใช้สเตียรอยด์เป็นเวลานาน และผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน แพ้ภูมิตนเอง หรือ SLE (Systemic Lupus Erythematosus) โรคหัวใจ โรคไต
ยังไม่นับผู้ที่นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ และผู้ที่มีความเครียดก็เสี่ยงที่จะเป็น “งูสวัด” เช่นกัน
ข้อมูลทางการแพทย์ระบุว่า “งูสวัด” (Herpes Zoster/Shingles) เกิดจากการติดเชื้อ Varicella Zoster Virus หรือ VZV ซึ่งในครั้งแรกจะทำให้เป็น “อีสุกอีใส”
แต่เมื่อหายดีแล้ว VZV จะเข้าไปหลบซ่อนในปมประสาท โดยไม่แสดงอาการใดๆ นานหลายปี หากภูมิคุ้มกันร่างกายของเราต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ใหญ่วัย 50+ VZV ที่แฝงตัวอยู่จะค่อยๆ กำเริบ
โดยแพร่กระจายไปตามปมประสาท ทำให้เกิดอาการปวดตามแนวเส้นประสาทจากอาการเส้นประสาทอักเสบ
เกิดรอยโรคในลักษณะผื่นแดงบริเวณผิวหนัง ตามด้วยตุ่มน้ำใสๆ ขึ้นเรียงกันเป็นกลุ่ม และพาดยาวไปตามแนวปมประสาท
เกิดอาการคัน ปวดแสบปวดร้อน และเจ็บแปลบไปทั่วร่างกาย ปวดศีรษะ และมีไข้ร่วมด้วย
ข้อมูลทางการแพทย์ชี้ว่า ผู้ที่เคยเป็น “อีสุกอีใส” ทุกคนล้วนแล้วแต่มีความเสี่ยงต่อการเป็น “งูสวัด” ทั้งสิ้น
อันตรายจาก “งูสวัด” ไม่จบแค่นี้ เพราะหาก “งูสวัด” ขึ้นบริเวณใบหน้า ศีรษะ หรือคอ-บ่า-ไหล่ ต้องรีบรักษาโดยด่วน ก่อนที่จะลามเข้าสมองผ่านทางเส้นเลือด
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้า “งูสวัด” เข้าตา ตาอาจบอดได้
กรณีอาการหนัก แพทย์จะให้การรักษาเพื่อควบคุมไม่ให้ไวรัสวิ่งย้อนกลับไปตามเส้นประสาท เข้าสู่ไขสันหลัง หรือสมอง เสี่ยงเป็นอัมพฤกษ์ และเส้นเลือดหัวใจตัน
“งูสวัด” จึงเป็นโรคที่ต้องเฝ้าระวังระยะยาว แม้สื่อจะไม่ค่อยพูดถึง แต่ “งูสวัด” มีอันตรายมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนวัย 50+ อย่านิ่งนอนใจ
แนวทางการป้องกัน “งูสวัด” มีดังนี้
1. หลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรงกับผู้ที่มีความเสี่ยงสูง
เพื่อป้องกันการเป็น “งูสวัด” ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วยที่เป็น “งูสวัด”
ในทางกลับกัน ผู้ที่เป็น “งูสวัด” ก็ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรงกับกลุ่มผู้มีความเสี่ยงสูง เพื่อป้องกันไม่ให้ไวรัสแพร่กระจายลุกลามสู่ผู้อื่น ซึ่งได้แก่ กลุ่มผู้สูงอายุ ผู้ที่ไม่เคยเป็นโรคอีสุกอีใสมาก่อน ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันร่างกายต่ำ เด็กเล็ก หรือสตรีมีครรภ์
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ควรแยกของใช้ส่วนตัว เช่น ที่นอน เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่มของผู้ที่เป็น “งูสวัด” ออกจากผู้อื่น
2. หมั่นรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง
รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย ทำจิตใจให้สบาย ไม่เครียด และพักผ่อนให้เพียงพอ จะช่วยให้ภูมิคุ้มกันร่างกายแข็งแรง และห่างไกลจาก “งูสวัด”
3. ฉีดวัคซีนป้องกันโรคงูสวัด
สำหรับผู้ที่เคยเป็น “อีสุกอีใส” มาแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนวัย 50+ จัดเป็นกลุ่มผู้มีความเสี่ยงสูง
แต่สามารถป้องกัน “งูสวัด” ได้ด้วยการรับ “วัคซีนป้องกันงูสวัด” เพื่อลดความเสี่ยงในการเป็น “งูสวัด” ที่จะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ตามมา
ในช่วงที่ผ่านมา ผู้เขียนไปวงไหน ก็จะมีคนวัย 50+ ที่ใส่ใจสุขภาพ ถามไถ่กันไปมาอยู่ตลอด ว่า “ฉีดวัคซีนงูสวัดหรือยัง?”
ปัจจุบัน “วัคซีนงูสวัด” ได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพในการป้องกัน และลดภาวะแทรกซ้อนของโรคงูสวัดได้มาก โดยวัคซีนมี 2 ชนิด คือ
1. Zoster Vaccine Live (ZVL) หรือ “วัคซีนชนิดเชื้อเป็น” ฉีด 1 เข็ม เป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคงูสวัดได้ 70% (ไม่ค่อยแนะนำเนื่องจากเป็นวัคซีนเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์)
2. Shingrix Vaccine (Recombinant Subunit Zoster Vaccine หรือ RZV เป็น “วัคซีนงูสวัดชนิดใหม่” ฉีด 2 เข็ม เป็น “วัคซีนชนิดเชื้อตาย” สามารถป้องกัน “งูสวัด” ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดในปัจจุบัน
เพราะ Shingrix เป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพในการป้องกัน “งูสวัด” สำหรับคนวัย 50+ ไปได้ถึง 98%
มีประสิทธิภาพในการป้องกันอาการปวดตามแนวเส้นประสาทหลังการติดเชื้อได้ถึง 92% และมีประสิทธิภาพในการป้องกัน “งูสวัด” ตลอด 10 ปี หลังเข้ารับการฉีดวัคซีนได้ถึง 90%
แม้วัคซีนจะดี แต่ราคาค่อนข้างแพง (เฉลี่ยเข็มละ 6,000 กว่าบาท) สำหรับ “คนมีกะตังค์” เมื่อชั่งน้ำหนักอันตราย ความเสี่ยง และความยืดเยื้อของ “งูสวัด” ก็คุ้มค่ากับการเสี่ยง
แต่สำหรับประชาชน “คนหาเช้ากินค่ำ” คง “ไม่มีปัญญาจะฉีด”
จึงอยากให้ “กระทรวงสาธารณสุข” เข้าไปดูเรื่อง “การควบคุมราคาวัคซีน”
หรือสร้างเป็นสวัสดิการ นำเข้าในระบบประกันสังคม/ประกันสุขภาพถ้วนหน้า เพื่อให้ประชาชนทุกคนมีวัคซีนดีๆ ในราคาย่อมเยา และเอื้อมถึงได้มากกว่านี้
สําหรับคนวัย 50+ ที่ยังไม่มีโอกาสไปรับวัคซีน ผู้เขียนมีวิธีดูแลตนเองเมื่อเป็น “งูสวัด” มาฝากครับ
1. รีบไปพบแพทย์ เพื่อรับยาต้านไวรัสทันทีภายใน 48-72 ชั่วโมงที่มีอาการ
2. กินยา และทายา ตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
3. ประคบเย็น ด้วยผ้าชุบน้ำ ผ้าเย็น หรือเจลประคบเย็น และปิดผื่นไว้แบบหลวมๆ
4. ไม่ใช้ยาที่ไม่ใช่ยาตามแพทย์สั่ง เช่น สมุนไพร ยาพ่น หรือยาอื่นๆ ทา “ผื่นงูสวัด” หรือบริเวณที่คัน เพราะจะทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนตามมา
5. ไม่เกา “ผื่นงูสวัด” และให้ตัดเล็บมือเล็บเท้าให้สะอาดเพื่อป้องกันการเผลอเกา การที่เล็บสั้นจะช่วยลดการสะสมของเชื้อแบคทีเรีย
6. หากมีแผลเปิด ให้ปิดแผลเพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรีย
7. หมั่นล้างมือให้สะอาด รักษาความสะอาดมืออย่างสม่ำเสมอ
8. สวมเสื้อผ้าหลวมๆ เพื่อป้องกันตุ่มงูสวัดเสียดสีกับเสื้อผ้า
ผู้ที่เป็นโรคงูสวัด ควรงดกินอาหารดังต่อไปนี้
1. งดอาหารน้ำตาลสูง เช่น แป้งขัดขาว เบเกอรี่ เค้ก ขนมหวาน ลูกอม น้ำหวาน น้ำอัดลม
2. งดอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง เช่น อาหารแดกด่วน Fast Food เนื้อสัตว์ติดมัน อาหารที่มีไขมันทรานส์
3. งดอาหารที่มีสาร Arginine สูง เช่น เนื้อแดง เนื้อสัตว์ปีก ถั่วเมล็ดแห้ง ช็อกโกแลต
4. งดอาหารที่ผ่านการแปรรูป เช่น หมูแฮม เบคอน ไส้กรอก เนย มาการีน ไอศกรีม
5. งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022