bg-single

นิธิ เอียวศรีวงศ์ | อัตลักษณ์ไทยกับประชาธิปไตย

05.06.2025

นิธิ เอียวศรีวงศ์

อัตลักษณ์ไทยกับประชาธิปไตย (เผยแพร่ครั้งแรก มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ วันที่ 29 พ.ย. 2556)

“นักปราชญ์” ไทยพูดกันมานาน นับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ.2475 ว่า ประชาธิปไตยนั้นไม่เข้ากับ “ความเป็นไทย” หรือ “ลักษณะไทย” ถ้าพูดภาษาปัจจุบันคือไม่เข้ากับอัตลักษณ์ไทย และด้วยเหตุดังนั้น ประชาธิปไตยที่เราควรใช้ก็คือประชาธิปไตยแบบไทย

ประชาธิปไตยแบบไทยนี้ ฟังดูเหมือนมีรูปแบบตายตัว แต่ที่จริงแล้วไม่มีหรอกครับ สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบไปได้ตามสถานการณ์ มีรัฐสภาที่มาจากการแต่งตั้งของผู้ทำรัฐประหารทั้งหมด เช่นสมัย สฤษดิ์-ถนอม-ประภาส ก็เรียกประชาธิปไตยแบบไทย มีสภาที่มาจากการเลือกตั้ง แต่ไม่มีอำนาจในการเลือกนายกรัฐมนตรี และมีนโยบายที่ตั้งไว้ตายตัวอยู่แล้ว โดยสภาไม่อาจเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้ เช่นสมัย พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ก็เรียกว่าเป็น “แบบไทย” ได้เหมือนกัน (หรือ “ครึ่งใบ”)

แต่หลักการสำคัญของประชาธิปไตยแบบไทยนั้น อยู่ที่ว่าประชาชนจะได้รับความดูแลสุขทุกข์จากผู้ปกครอง โดยไม่ต้องมีส่วนร่วมทางการเมืองใดๆ หากได้รับความเดือดร้อน ก็มีช่องทางให้ร้องเรียนให้ผู้ปกครองทราบ ในช่องของราชการบ้าง ริมช่องของราชการบ้าง เช่นไทยรัฐ

ไม่ต่างจากที่พรรณนาไว้ในจารึกของพ่อขุนรามคำแหง คือมีกระดิ่งแขวนไว้ที่ปากประตู เพื่อให้ราษฎรมาร้องทุกข์ เพียงแต่กระดิ่งอาจเปลี่ยนรูปไปบ้างตามยุคสมัย และไม่ต่างจากหลักการปกครองตามอุดมคติโบราณ คือการปกครองของธรรมราชา

ปัญหามาอยู่ที่ว่า ประชาธิปไตยแบบไทยนี้ มันดีในตัวมันเอง หรือมันเหมาะแก่อัตลักษณ์ไทยชั่วครั้งชั่วคราว ก็ไม่ค่อยชัดนัก ถ้าเรียกประชาธิปไตยแบบนี้ว่า “ครึ่งใบ” ก็แสดงว่าวันหนึ่งมันจะเต็มใบ จึงเป็นเพียงระบอบปกครองชั่วคราว เมื่ออัตลักษณ์ไทยยังไม่เปลี่ยน

นอกจากนี้ นับตั้งแต่เริ่มแรกใน พ.ศ.2475 ชนชั้นนำในตอนนั้นสืบมาจนถึงทุกวันนี้ ก็อธิบายความไม่เหมาะของประชาธิปไตยว่า สังคมไทยยังไม่ได้มีชนชั้นกลางจำนวนมากพอ อันเป็นรากฐานที่ขาดไม่ได้ของประชาธิปไตย และคนไทยยังไม่ได้รับการศึกษาอย่างทั่วถึงเพียงพอ

ถ้าอย่างนั้น วันหนึ่งเมื่อเรามีชนชั้นกลางมากพอ และมีผู้ได้รับการศึกษามากขึ้น เมื่อนั้นเราก็สามารถเป็นประชาธิปไตยได้เต็มใบกระนั้นหรือ ถึงวันนั้นเมื่อไร เราก็ต้องทิ้ง “ลักษณะไทย” ไปใช่ไหม และประชาธิปไตยของเราก็ไม่ใช่ประชาธิปไตยแบบไทยอีกต่อไป ฟังดูเหมือนกับว่า ประชาธิปไตยมีความสำคัญกว่าอัตลักษณ์ไทย

แต่อย่าเพิ่งด่วนสรุปอย่างนั้น ความเป็นคนชั้นกลางคือมีฐานะเศรษฐกิจที่จะทำอะไรซึ่งคนจนทำไม่ได้ ได้รับการศึกษาดีคือทำให้สามารถคิดเองเป็น ไม่ถูกจองจำด้วยจารีตประเพณี หรืออิทธิพลของคนอื่น สองอย่างนี้ปลดปล่อยคนให้กลายเป็นปัจเจกบุคคล แล้วทำไมประชาธิปไตยจึงใช้ได้เฉพาะกับปัจเจกบุคคลเป็นหลัก ผมเข้าใจว่านี่เป็นอิทธิพลความคิดของนักคิดเสรีนิยมอังกฤษในคริสต์ศตวรรษที่ 19 อันเป็นอุดมคติที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริงที่ไหนในโลก เพราะมนุษย์ที่เป็นปัจเจกล้วนๆ ไม่มี แม้กระนั้นกลับมีพลังในการกำหนดทิศทางของประชาธิปไตยในโลกตะวันตกค่อนข้างสูง

ความอีหลักอีเหลื่อของนักคิดไทยก็คือ ในด้านหนึ่งรับคติเสรีนิยมเรื่องปัจเจก-ในนามชนชั้นกลางและการศึกษาสูง-แต่อีกด้านหนึ่งหวั่นวิตกต่อเสรีภาพของปัจเจกว่าจะทำจะทำลายช่วงชั้นทางสังคม หรือสูญเสีย “ความเป็นไทย” พ่อแม่ครูบาอาจารย์หรือแม้แต่พระมหากษัตริย์ ก็จะไม่มีใครเคารพเชื่อฟังอีกต่อไป สังคมไทยก็อยู่ไม่ได้ ในแง่นี้อัตลักษณ์จึงมีความสำคัญเหนือประชาธิปไตย

ไม่แต่เพียงประชาธิปไตยเท่านั้นที่กำกวมอย่างยิ่ง อัตลักษณ์ไทยยิ่งกำกวมขึ้นไปใหญ่ว่ามันคืออะไรกันแน่

“นักปราชญ์” ไทยหลายท่านชอบพูดถึงความเป็นไทยเหมือนอะไรที่คงที่ไม่เปลี่ยนแปลง และมีมาตั้งแต่พระเจ้าสร้างโลก (primordial) โดยหลักการแล้วอัตลักษณ์ที่เป็นอย่างนี้ไม่มีในโลก (อันที่จริง ผมจะพูดเลยไปว่า “ชาติพันธุ์” ที่หยุดนิ่งมีมาแต่จุดกำเนิดของ “ชาติพันธุ์” นั้นๆ ก็ไม่มีในโลกเหมือนกัน)

ไทดำแถวเดียนเบียนฟูจะเป็นบรรพบุรุษคนไทยสยามหรือไม่ผมไม่กล้ายืนยัน แต่อัตลักษณ์ไทดำกับอัตลักษณ์ไทยสยามในปัจจุบันนั้นแตกต่างกันพอๆ กับอัตลักษณ์ชาวเวียดและไทย

ไทดำอยู่บนที่สูง แม้ว่าอยู่ในที่ราบเล็กๆ ใกล้สายน้ำ แต่ก็เป็นที่สูงมาก พูดด้วยภาษาไทยสยาม เขาเป็น “ชาวเขา” ครับ ไทดำกลุ่มที่ตั้งภูมิลำเนาเลยเข้ามาในหัวพัน สปป.ลาวจัดอยู่ในกลุ่ม “ลาวเทิง” แม้ว่านับญาติทั้งสายพ่อและแม่ แต่ไทดำสืบมรดกและเกียรติยศตามสายพ่อ (เหมือนเวียดนามและจีน) ยังไม่พูดถึงเขาใช้แซ่แบบเวียดนามด้วย ซ้ำกลุ่มแซ่ยังเป็นการจัดองค์กรทางสังคมขั้นพื้นฐานของไทดำ

ชนชั้นสูงของเขาไม่ได้แต่งตัวแบบแขกอินเดียผสมเปอร์เซียเหมือนเรา แต่แต่งชุดขุนนางเวียดนาม พิธีกรรมหลายอย่าง เช่น การแต่งงานก็ใช้รูปแบบของเวียดนามด้วย

ยิ่งไล่ไปถึงจ้วงในมณฑลกวางสี นอกจากเขาไม่ได้เรียกตัวเองว่าไทหรือไตแล้ว สมัยก่อนปฏิวัติในเมืองจีน เขายังไม่อยากให้ใครรู้ว่าเขาเป็นจ้วงด้วยซ้ำ แม้หลังปฏิวัติแล้ว ผู้คนก็อยากเป็นจ้วงเพียงเพื่อลงทะเบียนไว้กับรัฐ เพราะจ้วงได้รับการยกเว้นไม่ต้องมีลูกคนเดียวเหมือนจีนฮั่น เป็นจ้วงตามทะเบียนจึงอบอุ่นดี

ดังนั้น อัตลักษณ์ไทย จึงไม่ใช่ลักษณะหยุดนิ่งตายตัว และมีมาแต่เกิดชนชาติไทขึ้น แท้จริงแล้วก็เหมือนอัตลักษณ์ของคนอื่นทั่วโลก คือแปรเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงที่ประสบการณ์ของเขาได้รับ

อัตลักษณ์ไทยที่ว่าไม่เข้ากับประชาธิปไตยนั้น ที่จริงแล้วก็กำหนดขึ้นเอาเอง เช่น คนไทยไม่มีลักษณะปัจเจกเหมือนฝรั่ง ก็จริงในระดับหนึ่ง แต่ทำไมประชาธิปไตยจึงใช้ได้เฉพาะสังคมปัจเจกสุดโต่งซึ่งไม่มีอยู่จริงเท่านั้นเล่าครับ ใครอ่านนวนิยายรักข้ามชนชั้นต่างๆ ของ เจน ออสเต็น ก็จะเห็นได้ว่า อังกฤษในช่วงนั้นหาได้มีลักษณะปัจเจกสูงนัก คนยังผูกพันกับครอบครัว, ชนชั้น, เชื้อชาติ, ฯลฯ อีกมาก แต่เขาก็เป็นประชาธิปไตยนะครับ

บางทีก็บอกว่า เพราะคนไทยส่วนใหญ่ยังยากจน ฉะนั้น จึงต้องมีความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์กับคนมั่งมี หรือคนมีอำนาจ แต่ความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์นั้น มีความเข้มข้นในสังคมที่การกระจายทรัพยากรขาดความเป็นธรรม หากเชื่ออย่างนั้นจริง ก็ต้องมาช่วยกันสร้างความเป็นธรรมในการเข้าถึงทรัยพากรให้มากขึ้น แต่ชนชั้นนำไทยกลับเอากลุ่มอุปถัมภ์เป็นส่วนสำคัญของอัตลักษณ์ไทยที่เปลี่ยนไม่ได้

ตรงกันข้ามกับอัตลักษณ์ที่ไม่เข้ากับประชาธิปไตย ผมสังเกตเห็นว่า วัฒนธรรมหมู่บ้านไทยในอดีตกลับเข้ากับประชาธิปไตยเป็นอย่างยิ่ง เช่น การกระจายทรัพยากรในหมู่บ้านค่อนข้างเปิดกว้างกว่าในเมือง ความสัมพันธ์ในหมู่บ้านค่อนข้างจะเน้นความเท่าเทียมมากกว่าช่วงชั้นในความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ เสียงของคนส่วนใหญ่ดังกว่าเสียงของผู้นำ แต่ในขณะเดียวกันก็พยายามมิให้เสียงส่วนน้อยเสียหน้า

(แต่นี่ก็ไม่ใช่ลักษณะพิเศษของอัตลักษณ์ชาวบ้านไทยนะครับ หมู่บ้านในอดีตของเกือบทั้งโลก ล้วนเป็นประชาธิปไตยหมู่บ้านทั้งนั้น)

ฉะนั้น หากจะพูดว่าอัตลักษณ์ไทยไม่เข้ากับประชาธิปไตย ก็ต้องถามว่าอัตลักษณ์ไทยในอดีตหรือปัจจุบัน

อัตลักษณ์นั้นเป็นสิ่งสร้างทางสังคม สร้างขึ้นเองเพื่อต่อรองสิทธิและอำนาจ หรือคนอื่นสร้างขึ้นเพื่อลดทอนสิทธิอำนาจก็ตาม ไม่ได้มีมาเองตามธรรมชาติ แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นทั้งสองอย่างปนๆ กัน

ในความเห็นของนักวิชาการบางคน (Michael K. Connors, Democracy and National Identity in Thailand) อัตลักษณ์ประจำชาติของไทยเป็นสิ่งที่รัฐสร้างขึ้น ก็แค่มีคณะกรรมการเอกลักษณ์แห่งชาติอยู่ในสำนักนายกรัฐมนตรี ก็เห็นได้ชัดๆ อยู่แล้ว

แต่นายคอนเนอร์ไม่ได้ยกการสร้างอัตลักษณ์แห่งชาติไทยให้คณะกรรมการชุดนี้สักเท่าไร หากชี้ให้เห็นว่า เมื่อรัฐไทยย่างเข้าสู่รัฐสมัยใหม่และรัฐชาติ รัฐก็มีอำนาจในการสร้างอัตลักษณ์แห่งชาติไทยขึ้นอย่างแยบยลหลากหลายวิธี ผ่านโรงเรียน ผ่านกระทรวงมหาดไทย ผ่านสื่อซึ่งรัฐควบคุม ผ่านคำขวัญ ฯลฯ จนทำให้คนไทยซึ่งมีโอกาสเผชิญกับการกล่อมเกลาของรัฐมากหน่อย มีสำนึกว่าคนไทยก็ต้องเป็นอย่างนี้แหละ คือรักชาติเชิดชูศาสนาและยกย่องพระมหากษัตริย์ ประชาธิปไตยเป็นเรื่องรอง

ในขณะที่แนวคิดเสรีประชาธิปไตยแพร่เข้าสู่สังคมหลายระลอก อัตลักษณ์ไทยที่พยายามสร้างเสริมกันมาตลอดนี้ จะเผชิญกับแนวคิดที่ทำให้รัฐถูกควบคุมตรวจสอบจากประชาชนอย่างไร รัฐไทยไม่โง่พอที่จะปฏิเสธประชาธิปไตย แต่จะล้อมรั้วประชาธิปไตยให้ไม่บ่อนทำลายอำนาจของชนชั้นนำลงต่างหาก รัฐใช้อัตลักษณ์แห่งชาติที่สร้างขึ้นนี้ เป็นเหมือนฝายเหมือนเขื่อนที่จะลดกระแสประชาธิปไตยให้อ้อยอิ่งและเฉื่อยชาลง จนกลายเป็นประชาธิปไตยแบบไทยหรือแบบไทยๆ ขึ้น

ประชาธิปไตยแบบไทยๆ นี้ เขาสร้างศัพท์ขึ้นว่า democrasubjection คงแปลว่าประชาธิปไตยแบบสยบยอม รัฐไทยจึงเป็นประชาธิปไตย แต่เป็นประชาธิปไตยแบบสยบยอม

อย่างไรก็ตาม หากอัตลักษณ์แห่งชาติไทยยังเป็นอย่างนั้นอยู่ ป่านนี้ คุณสนธิ ลิ้มทองกุล หรือ คุณประมวล รุจนเสรี คงเป็นนายกรัฐมนตรีไปแล้ว

ผมหมายความว่า ความแตกร้าวอย่างหนักทางการเมืองในทุกวันนี้สะท้อนให้เห็นความแตกร้าวอย่างหนักในสำนึกเกี่ยวกับอัตลักษณ์ไทยเช่นกัน ความแตกร้าวนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะชนชั้นนำกลุ่มเล็กๆ อย่างที่เคยเป็นมา แต่ขยายไปกว้างขวางทั้งในหมู่ชนชั้นนำทุกด้าน คนชั้นกลางระดับต่างๆ ซึ่งไม่ยอมเป็นพลเมืองผู้สยบยอมอีกต่อไป รวมไปถึงคนชั้นล่างหาเช้ากินค่ำ

ประชาธิปไตยแบบสยบยอมไม่อาจทำงานในสังคมนี้ได้อีกแล้ว พื้นที่แห่งการประนีประนอมจึงเกิดขึ้นได้ยาก เพราะเราคิดถึง “ความเป็นไทย” ที่แตกต่างกันมาก

อัตลักษณ์ไทยกำลังแตกตัวออกเป็นความหลากหลายที่หาจุดร่วมแทบไม่เจอ เราต่างก็รักชาติ แต่ในวิถีทางที่ต่างกัน การกู่ตะโกนให้สำนึกบุญคุณบรรพบุรุษ และพลีชีพเพื่อชาติจึงไร้ความหมาย ไม่ใช่ลืมบุญคุณบรรพบุรุษนะครับ แต่มองบรรพบุรุษที่ทำคุณให้แผ่นดินต่างกัน ต่างพร้อมจะพลีชีพเพื่อชาติ แต่เป็นชาติที่มีความหมายไม่เหมือนกัน

ผมคิดว่าสิ่งที่น่าสนใจ จึงอยู่ที่การศึกษาอัตลักษณ์ไทยที่กำลังเปลี่ยนอย่างรวดเร็วในเวลานี้… มันเกิดขึ้นได้อย่างไร เป็นผลให้เกิดสำนึกอัตลักษณ์อะไรบ้าง ขัดแย้งกันอย่างไร และกำลังนำไปสู่อะไร ฯลฯ



เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต

พาณิชย์เดินหน้า…จัดงานประชุมสัมมนามันสำปะหลังโลก ยกระดับมันสำปะหลังไทย ขยายตลาดส่งออก ดันเศรษฐกิจฐานรากเติบโต
“รองฯตี๋ ”สั่งสืบ 8 รวบแก็งแว้น ย่านตลาดบางปะกอก เหตุรวมตัวมั่วยา ส่งเสียงดังก่อความรำคาญ กำชับท้องที่กวดขัน คาดโทษหากเกียร์ว่าง
ปักธง เทียนวรรณ เปิดโฉม บุรุษรัตน์ สามัญชน จาก ‘ศรีบูรพา’
ปรีดี แปลก อดุล : คุณธรรมน้ำมิตร (74)
‘โฉมหน้าของศักดินาภิวัตน์ในปัจจุบัน’ (2)
เดินหน้าสู่ปีที่ 4 (21) ความตายจากฟากฟ้า
เมษา พฤษภา 2553 ประสาน 2 การเคลื่อนไหวใหญ่ ระหว่าง รัฐบาล กับ คนเสื้อแดง
มนุษย์เป็นเพียงผลลัพธ์ของเหตุบังเอิญ
ปฏิบัติการเหมันต์ทมิฬ (2) (Operation Dark Winter)
การเล่นกอล์ฟช่วยให้มีอายุยืน จริงหรือไม่?
33 ปี ชีวิตสีกากี พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ (132)
ตามไปดูการใช้ AI ในโรงเรียน ‘ญี่ปุ่น’