
ปฏิทินกับประชาธิปไตย : เมื่อเสียงข้างมากปะทะกับสิทธิ์ข้างน้อย

ปรัชญา-คำ-‘นึง | พิพัฒน์ สุยะ
ปฏิทินกับประชาธิปไตย
: เมื่อเสียงข้างมากปะทะกับสิทธิ์ข้างน้อย
เมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ฯพณฯ พิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้สัมภาษณ์ยืนยันว่าจะดำเนินการผลิตปฏิทินประกันสังคมต่อไป หลังจากสำนักงานประกันสังคม (สปส.) สุ่มทำประชาพิจารณ์ถึงความต้องการของผู้ประกันตน แม้ผลโหวตเสียงผู้ประกันตนร้อยละ 62 ไม่ต้องการรับแจกปฏิทิน ส่วนร้อยละ 38 อยากได้ปฏิทิน
สิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่งในกรณีนี้ก็คือคำสัมภาษณ์ของท่านรัฐมนตรี ท่านกล่าวไว้ในทำนองที่ว่า คณะก้าวหน้าที่คัดค้านการพิมพ์ปฏิทินนั้นบอกว่าตัวเองว่าเป็นประชาธิปไตย แต่กลับทำตัวเป็นเผด็จการ เอาเสียงส่วนใหญ่มาบังคับเสียงส่วนน้อย
หากย้อนไปก่อนหน้านั้นเล็กน้อย ท่าน รมต.ก็ให้สัมภาษณ์ทำนองเดียวกันนี้ว่า
“มีผู้ที่ไม่ต้องการปฏิทินมากกว่าร้อยละ 60 แต่คนที่ยังต้องการให้ทำปฏิทินก็มีอีกเป็นจำนวนมากกว่าร้อยละ 30 พวกเขาเหล่านี้ไม่มีจิตใจหรือ พวกเขาไม่มีสิทธิที่จะดูรายละเอียดสิทธิประโยชน์ที่พวกเขาจะได้รับหรือ คุณจะเอาคนจำนวนกว่า 60 คน มาบังคับคนอีกกว่า 30 คน เป็นผม ผมก็ไม่ยอม เพราะผมก็ถือว่ามีสิทธิของผม 1 สิทธิเท่ากันกับทุกคน ดังนั้น ควรเคารพสิทธิของคนอื่นด้วย”
“อย่าเอาคนหมู่มากมารังแกคนหมู่น้อย”
หลังจากคำสัมภาษณ์ดังกล่าวของท่าน รมต. เล่นเอาทุกคนมึนไปชั่วขณะ กลายเป็นไวรัลคนแชร์กันมากมายทางโซเชียลมีเดีย
เพราะในโลกปัจจุบันประชาธิปไตยที่เรารับรู้กันเป็นพื้นฐาน ก็ต้องเคารพเสียงส่วนใหญ่ที่ตัดสิน เพราะไม่เช่นนั้น เราเลือกตั้งกันทุกครั้งก็คงยากที่จะตัดสินใจให้ใครมาเป็นผู้แทนฯ หากเราไม่ใช้เสียงคนส่วนใหญ่เป็นตัวตัดสิน
เราลองคิดกันเล่นๆ ก็ได้ว่า กลุ่มเรามีเพื่อนอยู่ 7 คน กำลังตัดสินใจเลือกร้านอาหารตอนเย็นนี้ แต่เลือกไม่ได้สักที วิธีที่เป็นรูปธรรมที่สุดและมีสมมุติฐานว่าทุกคนเท่ากันก็คือ ยกมือหรือโหวตกันนั่นเอง
และแน่นอนว่าเราก็ยืดเสียงส่วนใหญ่ ซึ่งดีกว่าเราจะเลือกเชื่อเพื่อนคนใดคนหนึ่งไปตลอด
ตัวอย่างที่ยกมาแทบจะเป็นสามัญสำนึกแบบประชาธิปไตยของคนทั่วไปก็ว่าได้
จริงอยู่ประชาธิปไตยมันไม่ได้ง่ายดายแบบนี้ เรารู้ว่าจำนวนคน เสียงโหวต หรือการเลือกตั้งเป็นเงื่อนไขจำเป็น (necessary condition) ของประชาธิปไตย แต่คงไม่ใช่เงื่อนไขเพียงพอ (sufficient condition) อย่างแน่นอน
ประชาธิปไตยยังประกอบไปด้วยหลายส่วนไม่ว่าจะเป็น ความเสมอภาค ความยุติธรรม สิทธิ เสรีภาพ ความหลากหลาย ฯลฯ ซึ่งก็แตกต่างหลากหลายอย่างยิ่งในการกำหนดว่าประชาธิปไตยมีเงื่อนไขเพียงพออะไรบ้าง
ดังนั้น คำนิยามประชาธิปไตยไม่ได้เห็นพ้องต้องกันไปเสียทั้งหมด ประชาธิปไตยจึงกลายเป็นนานาทัศนะอย่างนี้เสมอมา
ประเด็นนี้มีรายละเอียดอีกมาก หากมีโอกาสที่เหมาะสมในอนาคต เราคงได้กลับมาถึงพูดถึงอย่างแน่นอน
แต่ตอนนี้ขอกลับมาเจาะเฉพาะประเด็นเรื่องเสียงข้างมากข้างน้อยก่อน
แม้ว่าในตอนแรก เราได้ยินคำสัมภาษณ์ข้างต้นของท่าน รมต. เราอาจจะฉงนฉงายว่ายังมีคนคิดแบบนี้อีกหรือ
แต่หากมองด้วยใจเป็นธรรม ฯพณฯ รมต. ก็มีประเด็นอยู่พอสมควร เพราะในมโนทัศน์ประชาธิปไตยจะมีหลักการพื้นฐานอยู่หลักการหนึ่งก็คือ “กฎเสียงข้างมากเคารพสิทธิของเสียงข้างน้อย” (majority rule which respects minority rights)
ซึ่งหมายถึงการตัดสินใจโดยใช้จำนวนเสียงข้างมากเป็นกติกาและมีผลผูกมัดกับคนทุกคน
แต่ขณะเดียวกันก็ให้หลักประกันว่าสิทธิของเสียงข้างน้อยจะไม่ถูกลิดรอน
เพราะเพียงแค่การตัดสินใจด้วยเสียงข้างมากดังกล่าวยังมิอาจเรียกได้ว่าเป็นกระบวนการทางประชาธิปไตยได้อย่างแท้จริง เพราะประชาธิปไตยที่มีคุณภาพนั้นจะต้องมาพร้อมๆ กันกับกระบวนการตัดสินใจที่จะต้องคำนึงถึงและเคารพสิทธิเสียงข้างน้อยซึ่งก็เป็นบุคคลที่มีสิทธิเท่าเทียมด้วยกันกับเสียงข้างมากด้วยเช่นกัน
เรื่องมาถึงตรงนี้แล้วเราจะไปต่อกันอย่างไรดี
ประชาธิปไตยเป็นระบอบที่มีสมมุติฐานที่สำคัญอีกอย่างคือมนุษย์ทุกคนมีเหตุผล แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนในสังคมจะใช้เหตุผลได้อย่างสมบูรณ์เท่าเทียมกันทั้งหมด และประชาธิปไตยซึ่งเป็นทั้งวิถีทางและเป้าหมายไปพร้อมกันนั้นจะเห็นว่าคนเราเรียนรู้ที่จะใช้เหตุผลอยู่ตลอดเวลา ครั้งนี้อาจผิดพลาดไปเป็นบทเรียน คราวหน้าก็ค่อยๆ เรียนรู้ที่จะตัดสินใจให้ดีที่สุด
ยิ่งเรื่องไหนเกี่ยวข้องกับชีวิต ครอบครัว หรือชุมชุมของเราด้วยแล้ว เขาก็จะยิ่งพินิจพิจารณาด้วยเหตุผลอย่างแยบคายเพื่อให้ได้การตัดสินใจที่ดีที่สุดสำหรับเขา
ในปัจจุบันนี้จึงมีทั้งนักปรัชญาและนักรัฐศาสตร์มองเห็นปัญหาเรื่องเสียงข้างมาก สิทธิ์ข้างน้อยทำนองนี้อยู่เช่นกัน ทั้งปรัชญาการเมืองและนักรัฐศาสตร์บางส่วนจึงเสนอประชาธิปไตยแบบใหม่ขึ้นมา
ที่เรียกว่า “ประชาธิปไตยแบบปรึกษาหารือ” (deliberative democracy)
นักปรัชญาที่มีแนวคิดทำนองนี้ก็ได้แก่ จอห์น รอลส์ (John Rawls : 1921-2002) นักปรัชญาชาวอเมริกันที่สนับสนุนเสียงส่วนใหญ่ภายใต้กรอบความยุติธรรม
ส่วน เจอร์เกน ฮาเบอร์มาส (Jurgen Habermas : 1929-) นักปรัชญาชาวเยอรมันก็สนับสนุนเสียงข้างมากที่เกิดจากการถกเถียงอย่างมีเหตุผล
นอกจากนี้ ยังมีนักปรัชญาการเมืองชาวอเมริกันนามว่า โจชัว โคเฮน (Joshua Cohen : 1951-) ที่เห็นว่าการตัดสินใจในประเด็นต่างๆ ของสังคมควรอิงอยู่กับเหตุผลสาธารณะ (public reason) และเสียงข้างมากควรได้รับการอภิปรายอย่างเปิดเผยและเท่าเทียมกัน
เพราะความชอบธรรมนั้นไม่ได้มาจากจำนวนแต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังมาจาก “เงื่อนไขของการปรึกษาหารือ” (conditions of deliberation) ด้วย
นอกจากนักปรัชญาที่กล่าวมาแล้ว ยังมีนักรัฐศาสตร์ร่วมสมัยชาวอเมริกันคนสำคัญนามว่า เอมี กัตมานน์ (Amy Gutmann : 1949-) และ เดนนิส ธอมป์สัน (Dennis Thompson : 1940-2025) ได้เสนอแนวคิดเรื่องประชาธิปไตยแบบปรึกษาหารือเช่นเดียวกัน
โดยพวกเขาเสนอแนวคิด “ประชาธิปไตยแบบให้เหตุผลร่วมกัน” (reason-giving democracy)
ซึ่งทั้งสองเห็นว่า ความขัดแย้งทางนโยบายสามารถแก้ไขได้ผ่านการใช้เหตุผลอย่างเปิดเผยและยุติธรรม
เสียงข้างมากจะมีความชอบธรรมก็ต่อเมื่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายมีโอกาสในการอภิปรายร่วมกัน
พวกเขาเน้นว่าการตัดสินในทางการเมืองควรเกิดจากการอภิปรายที่เปิดกว้าง ซึ่งผู้เข้าร่วมต้องให้เหตุผลที่เป็นที่ยอมรับร่วมกัน (mutually acceptable reasons) เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับกฎหมายและนโยบาย
ทั้งกัตมานน์และธอมป์สันก็รู้ดีว่า การหาฉันทามติที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกันทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องยาก
แต่การอ้างเหตุผลคือเงื่อนไขขั้นต่ำหรือจำเป็นสำหรับประชาธิปไตย
จากตัวอย่างทัศนะของบรรดานักคิดข้างต้นแล้ว ล้วนเห็นสอดคล้องไปในทำนองเดียวกันที่ว่า ในระบอบประชาธิปไตยอย่างน้อยเงื่อนไขจำเป็นพื้นฐานสองอย่างก็คือ จำนวนเสียงและความมีเหตุผล ส่วนรายละเอียดก็อาจแตกต่างลงไปในรายละเอียด
และหากเรานำความคิดดังกล่าวมาพิจารณาเรื่องการจัดพิมพ์ปฏิทินของสำนักงานประกันสังคมก็จะทำให้เราเข้าใจเรื่องนี้ได้มากขึ้น
การโต้แย้งจากคณะก้าวหน้าที่ไม่เห็นด้วยกับการจัดพิมพ์ปฏิทินที่อ้างเสียงส่วนใหญ่มาสนับสนุนนั้นคงไม่ใช่การไม่เคารพสิทธิของเสียงส่วนน้อยแต่อย่างใด
เนื่องจากที่ประชุมคณะอนุกรรมการประชาสัมพันธ์และการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสีย สำนักงานประกันสังคม (สปส.) พิจารณาผลการทำประชาพิจารณ์การยกเลิกจัดทำปฏิทินประจำปีแจกผู้ประกันตน
ซึ่งผลสำรวจเสียงส่วนใหญ่เสนอให้ยกเลิกการทำปฏิทินนั้นถึงประมาณร้อยละ 63
และหากพิจารณาจากเหตุผลที่ฝ่ายเสียงข้างน้อยที่ให้มานั้น ไม่น่าจะเป็นเหตุผลที่คนทั่วไปยอมรับได้
เราลองมองพิจารณาจากเหตุผลที่สำนักงานประกันสังคมชี้แจงไว้โดยมีเหตุผลความจำเป็น ดังนี้
1. ปฏิทินเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ที่สามารถให้ข้อมูลสิทธิประโยชน์แก่ผู้ประกันตนได้ครบทุกมาตรา นอกจากนี้ ยังเป็นการแจ้งช่องทางการติดต่ออื่นๆ ของสำนักงานประกันสังคม
2. ปฏิทินใช้เป็นสื่อประกอบกิจกรรมประชาสัมพันธ์ทั้งในและนอกสถานที่
3. ปฏิทินช่วยลดช่องว่างการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารสิทธิประโยชน์ของ สปส.ผ่านทางสื่อดิจิทัล เนื่องจากยังมีผู้ประกันตนจำนวนมาก ที่ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารผ่านระบบดิจิทัลต่างๆ ได้
จะเห็นว่าเหตุผลทั้งสามข้อล้วนใช้ปฏิทินเป็นแหล่งเผยแพร่ข้อมูลเป็นหลัก หากตามจุดประสงค์เช่นนั้นน่าจะมีความเป็นไปได้ในการเผยแพร่ข้อมูลรูปแบบอื่นหรือไม่
หรือหากเหตุผลทั้งสามข้อที่ว่ามานี้ของสำนักงานประกันสังคมจำเป็นจริง แต่คนร้อยละ 62 เขาไม่คิดว่าเป็นความสำคัญอย่างเดียวกับ สปส.ล่ะ แล้วจะทำอย่างไร
เรื่องก็วนกลับมาที่เดิม เพราะถึงขนาดคณะก้าวหน้าเสนอว่า ถ้าอย่างนั้นลองปรับลดจำนวนปฏิทินที่พิมพ์ลงได้หรือไม่ คณะอนุกรรมการก็ดูเหมือนจะยังไม่ยอม
หากเป็นเช่นนี้ เหตุผลไม่เป็นที่ยอมรับร่วมกันได้ ก็ต้องกลับมาเงื่อนไขจำเป็นอย่างแรก นั่นคือ เสียงโหวต
เพราะอย่าลืมว่า เสียงข้างมากจะมีอำนาจก็ต่อเมื่อมันพูดด้วยเหตุผล ไม่ใช่เสียงดังเพราะจำนวน ในทำนองเดียวกัน
สิทธิ์ของเสียงข้างน้อยจะเป็นที่น่าเคารพได้ก็ด้วยเหตุผล หาใช่เรื่องจำนวนแต่อย่างใด