

บทความพิเศษ | จักรกฤษณ์ สิริริน
เสียน้ำตาที่คาเฟ่
ผมเคยเขียนเรื่อง “คาเฟ่คนทุกข์” หรือ Café Mortel ซึ่งตั้งอยู่ที่เมือง Neuchâtel ประเทศ Switzerland ใน “มติชนสุดสัปดาห์” ของเราแห่งนี้
โดย Café Mortel ถูกตั้งขึ้นเพื่อใช้เป็นสถานที่พบปะ เพื่อพูดคุย ผ่อนคลาย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ประเด็นปัญหาชีวิต และปรับทุกข์กันตามอัตภาพของผู้คนในเมือง Neuch?tel
มาในตอนนี้ มีเรื่องราวคล้ายๆ กับ “คาเฟ่คนทุกข์” ของ Café Mortel มาเล่าสู่กันฟังอีกครั้ง เป็นเรื่องราวของ “คาเฟ่แห่งความตาย”
ข้อมูลจาก Website : DeathCafé.com ระบุว่า ปัจจุบันมี “คาเฟ่แห่งความตาย” หรือ Death Café ทั่วโลกจำนวน 20,918 แห่ง โดยพบมากที่สุดในสหราชอาณาจักร คือ 3,812 แห่ง
Emily Myers เจ้าธุรกิจจัดงานศพแห่งเมือง Hadleigh ประเทศอังกฤษ ตั้งคำถามว่า ถ้าเทียบกับอดีต ทุกวันนี้เราสามารถพูดคุยเกี่ยวกับความตายกันมากน้อยแค่ไหน?
“ฉันจึงทำร้านกาแฟ Death Café ขึ้นเพื่อชวนให้ผู้คนได้มาพบปะ และพูดคุยเกี่ยวกับความตาย การสูญเสีย และแผนการในช่วงบั้นปลายชีวิต พร้อมกับจิบชา และกินเค้กร่วมกัน” Emily Myers กล่าว
Emily Myers บอกว่า เธอได้เรียนรู้ข้อมูลมากมายเกี่ยวกับความหมายของงานศพ และความหมายของการตาย
“แต่ที่ผ่านมา ฉันไม่ได้พูดคุยกับใครเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก หรือไม่รู้ว่าจะหาข้อมูลได้จากที่ใด” Emily Myers กล่าว และว่า
“ฉันคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ ที่จะมีพื้นที่ในการพูดคุยเกี่ยวกับความตาย และคนใกล้ตาย โดยทำให้มันกลายเป็นเรื่องธรรมดามากขึ้น เราควรพูดคุยเกี่ยวกับมันอย่างเป็นธรรมชาติ มากกว่าที่จะปิดบังมันไว้เหมือนอย่างที่เคยเป็นมาในอดีต”
“ดังนั้น เราจึงสามารถพูดคุยกับญาติ พี่น้อง พ่อแม่ และลูกๆ ของเราอย่างเปิดกว้างมากขึ้น” Emily Myers สรุป
เช่นเดียวกับที่เมือง Liverpool ประเทศอังกฤษ ณ ร้านกาแฟสุดเก๋แห่งหนึ่ง ลูกค้าในร้านกำลังพูดคุยกันอย่างออกรส พร้อมกับจิบชา และกินเค้กร่วมกัน
หัวข้อสนทนาคือเรื่องราวเกี่ยวกับ “ความตาย”
ร้านกาแฟแห่งนี้ปกติมีชื่อว่า Rose แต่ทุกๆ สิ้นเดือน Hannah Todd จะเนรมิต Rose Lane ให้กลายเป็น Death Café
Hannah Todd บอกว่า “คาเฟ่แห่งความตาย” เป็นสถานที่ปลอดภัย และเปิดกว้าง สำหรับการพูดคุยเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความตาย และคนใกล้ตาย
“บางคนเข้าใจเรื่องนี้ดี แต่บางคนก็ไม่เข้าใจ” Hannah Todd กล่าว และว่า
“บทสนทนาที่เกิดขึ้นใน Death Café อาจแตกต่างกันออกไปบ้าง เช่น แขกบางคนมักแบ่งปันเรื่องสนุกๆ ส่วนตัว และบางกลุ่มก็ชอบคุยกันถึงเรื่อง Big Bang”
แต่ส่วนใหญ่แล้ว บทสนทนามักวนเวียนเกี่ยวกับเรื่อง “ความตาย” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ชีวิตเริ่มต้นที่ใด” และ “จะไปจบลงที่ใด” Hannah Todd กล่าว และว่า
“ฉันคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ ที่ผู้คนจะได้มีโอกาสพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่พวกเขาอาจรู้สึกไม่สบายใจเมื่อต้องพูดคุยกับเพื่อนและครอบครัว”
Hannah Todd บรรยายความรู้สึกตอนที่พ่อแม่ของเธอที่เสียชีวิตว่า “ฉันคล้ายกับเด็กที่หลงทางในซูเปอร์มาร์เก็ต”
“ฉันพบว่า มันคล้ายกับตอนที่เรายังเด็ก และไม่สามารถหาซื้อพวกมันได้ในซูเปอร์มาร์เก็ตใหญ่ๆ” Hannah Todd พูดถึง “ความตาย”
Hannah Todd เชื่อว่า ทุกๆ คนจะต้องมีช่วงเวลาเช่นเดียวกันนี้ให้นึกถึงอยู่บ่อยครั้ง นั่นคือความรู้สึกสูญเสีย และชิ้นส่วนชีวิตที่ขาดหายไป
“น่าเสียดายที่หลายคนไม่มีโอกาสได้พบเจอสิ่งเหล่านั้นอีก แม้จะอยากเจอก็ตาม”
“ดังนั้น Death Café จึงเสมือนเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการทำให้ ‘ความตาย’ ดูน่ากลัวน้อยลง” Hannah Todd กล่าว และว่า
“ท้ายที่สุดแล้ว ความตายจะเกิดขึ้นกับทุกคน” Hannah Todd สรุป
เช่นเดียวกับ Jenny Watt เจ้าของ Death Caf? หลายสาขาในเมือง Glasgow ประเทศสกอตแลนด์
Jenny Watt ระบุว่า นอกเหนือจากผู้ที่กำลังจัดการกับความโศกเศร้าอยู่ ผู้เข้าร่วมราว 25% เป็นผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่ามีอาการร้ายแรง หรือไม่ก็เป็นผู้ที่กำลังดูแลใครสักคนอยู่
“ที่ Death Café เราเปิดโอกาสให้ทุกคนพูดอะไรก็ได้ที่อยากจะพูด ไม่มีอะไรที่พูดไม่ได้ที่นี่” Jenny Watt กล่าว และว่า
“หลายคนหัวเราะ หลายคนก็ร้องไห้ และในท้ายที่สุด ฉันคิดว่าทุกคนจะได้เรียนรู้อะไรบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการไตร่ตรองถึงประสบการณ์ของตนเอง หรือการตระหนักถึงความตาย”
“ฉันสนใจในเรื่องของความตายมาตลอด” Jenny Watt กล่าว และว่า
“ความตายเกิดขึ้นกับทุกคน มันอาจเป็นประสบการณ์ที่เฉพาะเจาะจงสำหรับคุณกับความสัมพันธ์ที่ทำให้คุณกำลังเศร้าโศก”
“เมื่อคุณเริ่มพูดถึงความตาย คุณจะรู้ว่ามันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด” Jenny Watt สรุป
เช่นเดียวกับ Nicola Smith ลูกค้าประจำ Death Café ของ Jenny Watt ที่เสริมว่า วันแรกที่เธอเข้าร่วม Death Café เป็นวันที่เพื่อนสนิทคนหนึ่งของเธอเพิ่งเสียชีวิต
“ฉันน้ำตาไหลพราก แต่การได้ปลดปล่อยอารมณ์ไม่ใช่เหตุผลเดียวที่ทำให้ฉันมาที่ Death Caf? แห่งนี้”
“ส่วนใหญ่แล้ว เราไม่รู้จะจัดการความรู้สึกเกี่ยวกับความตายอย่างไร เพราะเราคงพูดถึงมันไม่มากพอ” Nicola Smith กล่าว และว่า
“ฉันสูญเสียญาติที่ฉันรักเมื่อตอนที่ลูกฉันยังเล็ก และนั่นเป็นครั้งแรกที่ลูกสาวเห็นฉันร้องไห้ ลูกถามฉันว่า ทำไมหน้าของฉันเปียก”
“นั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันได้อธิบายว่า มันเป็นเรื่องธรรมดาที่จะร้องไห้ นี่จะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเวลาที่คุณต้องเสียคนที่คุณรัก มันไม่ใช่ความอ่อนแอ และคุณก็ไม่ควรทำมันอย่างหลบๆ ซ่อนๆ” Nicola Smith กล่าว และว่า
“ความตายเป็นส่วนที่สำคัญมากของชีวิต แต่เรากลับไม่ค่อยจะพูดถึงมันสักเท่าไหร่” Nicola Smith สรุป
เช่นเดียวกับ John Mackay เจ้าของดุษฎีนิพนธ์เกี่ยวกับ “ความตาย และการไว้ทุกข์” ชี้ว่า มีเรื่องต้องห้ามมากมายเกี่ยวกับความตาย แต่คุณสามารถมองมันให้เป็นเรื่องเบาสมองได้
“บางวัฒนธรรม งานศพมีความอึกทึกครึกโครม และมีการแสดงออกทางความรู้สึกอย่างมาก แต่บางวัฒนธรรม งานศพมักจะเป็นงานที่สงวนไว้เฉพาะคนในครอบครัว” John Mackay สรุป
เช่นเดียวกับ Spencer Mason ผู้เคยพยายามจบชีวิตของตนเอง แต่ตอนนี้ Spencer Mason มีภาระหน้าที่ต้องดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่เขาใกล้ชิด
“ผมคิดว่า ยิ่งเราพูดถึงความตายมากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งเห็นคุณค่าของการมีชีวิตมากขึ้นเท่านั้น” Spencer Mason กล่าว และว่า
“ในสถานการณ์ที่ผมเคยเฉียดตาย แต่ผมกลับหลุดพ้นออกมาด้วยความต้องการอยากมีชีวิตอยู่มากที่สุดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน” Spencer Mason ทิ้งท้าย
ทั้งนี้ Death Café เกิดขึ้นในสหราชอาณาจักรเป็นครั้งแรก เมื่อปี ค.ศ.2011 ในกรุงลอนดอน ก่อนจะแพร่กระจายไปทั่วโลก
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในปัจจุบันมี Death Café หรือ “คาเฟ่แห่งความตาย” มากกว่า 3,812 แห่งทั่วทั้งสหราชอาณาจักร
เฉพาะที่สกอตแลนด์ มี Death Café จำนวนหลายสิบแห่ง ตั้งแต่เมือง Ullapool ไปจนถึงเมือง Kirkcudbright แต่ส่วนใหญ่แล้ว Death Café มักจะกระจุกตัวอยู่ในเมืองใหญ่ เช่น Glasgow หรือ Edinburgh
ข้อมูลจาก Website : DeathCafé.com ระบุว่า Death Café หรือ “คาเฟ่แห่งความตาย” มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ทั้งในเอเชีย ยุโรป อเมริกาเหนือ อเมริกากลาง อเมริกาใต้ แอฟริกา ออสเตรเลีย
ตั้งแต่ Afghanistan Canada Finland Israel ญี่ปุ่น จีน เนปาล เปรู สิงคโปร์ และประเทศไทย (จังหวัดเชียงใหม่)
ทุกวันนี้ ทั่วทุกมุมโลก มี Death Café จำนวน 20,918 แห่ง โดยพบมากที่สุดในสหราชอาณาจักรดังที่ได้กล่าวไป
เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต

