bg-single

เรื่องกลุ้มๆ เกี่ยวกับ ‘จริยธรรม’

25.06.2025

หลังลับแลมีอรุณรุ่ง | ธงทอง จันทรางศุ

เรื่องกลุ้มๆ เกี่ยวกับ ‘จริยธรรม’

จากข้อสังเกตส่วนตัวของผม ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา ประเด็นเรื่องจริยธรรมเป็นหัวข้อที่มีการอภิปรายถกเถียงและได้รับความใส่ใจเป็นพิเศษ

ข้อใหญ่ใจความมักมีแนวโน้มไปในทางที่ว่า ปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งของประเทศไทย คือ การขาดแคลนจริยธรรมในหมู่ผู้นำ ข้าราชการ นักธุรกิจ หรือแม้กระทั่งประชาชนคนทั่วไปด้วย สาเหตุนี้ทำให้ประเทศไทยติดหล่มอยู่ในวังวนแห่งสถานการณ์ที่ยุ่งยาก

ความกังวลเช่นนี้ได้นำไปสู่ความพยายามที่จะเขียนเรื่องจริยธรรมไว้ให้ปรากฏในตัวบทกฎหมายหลายฉบับ

ตั้งแต่กฎหมายที่สำคัญสูงสุดของประเทศ คือ รัฐธรรมนูญ ลดระดับลงไปถึงการมีพระราชบัญญัติมาตรฐานจริยธรรมภาครัฐ ซึ่งมีบทบัญญัติให้หน่วยงานภาครัฐทั้งหลายต้องจัดทำประมวลจริยธรรมสำหรับเป็นแนวปฏิบัติของคนทำงานอยู่ในหน่วยงานเหล่านั้น ว่าจะประพฤติตนอย่างไรจึงจะถือได้ว่ามีจริยธรรมถูกต้องตามกติกาของบ้านเมืองแล้ว

เมื่อมีกฎว่าด้วยจริยธรรมเขียนลงบนแผ่นกระดาษหลายระดับดังที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว เพื่อ” ขับเคลื่อน” ให้สิ่งที่เป็นลายลักษณ์อักษรอยู่บนแผ่นกระดาษมีชีวิตกระโดดโลดเต้นได้จริงและมีผลบังคับใช้ในภาคปฏิบัติ

ทุกหน่วยงานในระดับกระทรวงทบวงกรมทุกหน่วยจำเป็นต้องมีคณะกรรมการขึ้นชุดหนึ่ง เพื่อกำกับดูแลและจัดให้มีแผนงานเพื่อผดุงรักษาจริยธรรมในหน่วยงานเหล่านั้น

เรื่องทั้งหมดนี้ ไม่ว่าไปถามใครก็ได้รับคำตอบเป็นอย่างเดียวกันว่า เป็นเรื่องดีและมีความสำคัญมาก ผมเองก็เห็นด้วย และมีความฝันเหมือนกับทุกคนว่า ถ้าบ้านเมืองของเราผู้คนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีบทบาทสำคัญในสังคมเป็นคนมีจริยธรรมที่ดีงามทั่วถึงกันแล้ว เราคงปวดหัวน้อยลงมากทีเดียว

แต่แน่นอนครับว่าเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่จะทำให้ทุกคนมีจริยธรรมในระดับที่เท่าเทียมกัน

ว่าไปทำไมมี แม้เราผู้อยู่ในครอบครัวเดียวกัน ถ้ามีปรอทวัดว่าใครมีจริยธรรมสูงส่ง ใครมีจริยธรรมเพียงใดแค่ไหน ผมยังไม่แน่ใจเลยว่าพ่อแม่ลูกซึ่งกินข้าวด้วยกันทุกมื้อจะมีจริยธรรมอยู่ในระดับเดียวกัน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องไม่ลืมว่า จริยธรรมนั้นเป็นเรื่องของนามธรรม ความไม่ชัดเจนหรือปริมณฑลที่คลุมเครือเกี่ยวกับจริยธรรมมีอยู่มากพอสมควร

ในสังคมหนึ่ง ณ เวลาหนึ่ง อาจมีความเห็นร่วมกันเป็นเสียงส่วนใหญ่ว่า การกระทำอย่างไรถูกต้องตามหลักจริยธรรม

แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป บริบทในทางสังคมและอื่นๆ เปลี่ยนแปลงไป คุณค่าว่าอะไรถูกต้องตามหลักจริยธรรมหรือไม่ก็อาจเปลี่ยนแปลงไปได้เป็นธรรมดา

อย่างไรก็ดี ที่ผมพูดเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าจริยธรรมเป็นของเลื่อนลอยจนจับต้องไม่ได้

จริยธรรมที่เป็นคุณค่าถาวรก็มีครับ แต่นั่นยังไม่ใช่ประเด็นที่ผมจะยกขึ้นสนทนาในวันนี้ ฝากเป็นข้อคิดพิจารณาไว้สำหรับทุกท่านก่อนก็แล้วกัน

เรื่องที่อยากยกขึ้นเป็นประเด็นพูดคุยวันนี้ คือ อย่างที่กล่าวมาแล้วว่า ทุกหน่วยราชการต้องมีคณะกรรมการจริยธรรมขึ้นคณะหนึ่ง

คราวนี้ก็เกี่ยวกับผมสิครับ เพราะมีหน่วยราชการที่รู้จักคุ้นเคยกันสองสามแห่งคงจะได้กรุณาพิจารณาเห็นว่า อายุอานามของผมขนาดนี้แล้ว ยังพอประคองตนได้ไม่เสื่อมเสีย อะไรให้เป็นข่าวฉาวโฉ่ แถมยังโพสต์เรื่องเข้าวัดเข้าวาอยู่เสมอ

ดูท่วงท่าแล้วคงเป็นคนมีจริยธรรมเอาการอยู่ เห็นเป็นการสมควรที่จะมาชวนผมเป็นประธานคณะกรรมการจริยธรรมของหน่วยงานนั้นๆ

ผมตรองแล้วเห็นว่าเป็นงานที่พอจะทำได้ก็เลยรับปากเข้าไปเป็นกรรมการดังที่ว่า

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้พูดคุยกับข้าราชการรุ่นน้องซึ่งอย่าบอกเลยว่าอยู่กรมไหน ผมปรารภเกี่ยวกับการทำงานของคณะกรรมการจริยธรรมโดยรวมในประเทศไทยว่า ส่วนใหญ่แล้วเรามีตัวชี้วัดที่เป็นแบบแผนประเพณีหรือพิธีกรรมเป็นหลัก เรียกว่าเน้นรูปแบบไม่เน้นเนื้อหา

เช่น มีแผนงานว่า เพื่อผดุงจริยธรรมของหน่วยงาน เราจะจัดให้มีพิธีใส่บาตรพระสงฆ์ปีละสี่หน ไปกวาดลานวัดสองหน ไปเลี้ยงเด็กพิการหนึ่งหน และไม่ลืมที่จะไปเลี้ยงอาหารคนชราอีกหนึ่งครั้ง

สิ่งที่ขาดไม่ได้อีกอย่างหนึ่ง คือ เชิญวิทยากรจากหน่วยงานที่น่าจะมีจริยธรรมสูงส่งกว่าคนอื่น เช่น ป.ป.ช. มาบรรยายเรื่องการป้องกันปราบปรามการทุจริต

ถ้าให้ดียิ่งกว่านั้น นิมนต์พระมาเทศน์สักคราวหนึ่งละก็แจ๋วเลย

การทำแผนคุ้มครองผดุงรักษาจริยธรรมแบบนี้เห็นได้ทั่วไปในหลายหน่วยงาน ใช้งบประมาณพอหอมปากหอมคอ และพอถึงสิ้นปี ตัวชี้วัดก็จะบอกให้เราสบายใจว่า หน่วยงานของเรามีจริยธรรมผ่านเกณฑ์เรียบร้อยแล้ว แถมยังผ่านในระดับเกียรตินิยมคือมีคนเข้าร่วมกิจกรรมเกินกว่าร้อยละ 99 ของจำนวนที่ตั้งเป้าหมายไว้เสียด้วยซ้ำ

ดูเหมือนคอลัมน์เดียวกันนี้ เมื่อหลายปีก่อนผมเคยพร่ำเพ้อไว้ว่า ความสำเร็จในการพัฒนาหรือยกระดับความกินดีอยู่ดีของประชาชน ทางราชการมักตั้งเป้าหมายตัวชี้วัดว่า ได้ปลูกต้นไม้แล้วเท่านั้นเท่านี้ต้น ได้จัดอบรมกี่ครั้ง ได้ฝึกอาชีพไปกี่รอบ ทำถนนได้ยาวกี่กิโลเมตร

เมื่อทำกิจกรรมดังกล่าวครบแล้วก็เป็นอันสรุปได้ในใจว่า ประชาชนมีฐานะความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นแล้ว

พูดง่ายๆ คือ เราวัดความสำเร็จอยู่ตรงกิจกรรม ไม่ได้เน้นที่ผลปลายทางว่า ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้นจาก 1,000 บาทเป็น 1,200 บาทหรือไม่ ประชาชนมีสุขภาพที่ดีขึ้นไม่ต้องไปหาหมอบ่อยเหมือนอย่างแต่ก่อนหรือไม่ เด็กนักเรียนมีผลการเรียนดีขึ้นตามเกณฑ์มาตรฐานสากลอย่างไร

ถ้าขืนไปวัดตัวชี้วัดแบบนี้ ข้าราชการก็แย่สิครับ เพราะวัดยากเหลือเกินและต้องใช้เวลาในการทำงานต่อเนื่องยาวนานด้วย ขณะที่งบประมาณของเราเป็นงบประมาณรายปี ว่ากันเป็นแต่ละปีไป บางครั้งและบ่อยครั้งที่เมื่อเปลี่ยนหัวหน้าหน่วย นโยบายงบประมาณก็เปลี่ยนด้วย

เพราะฉะนั้น อย่าไปวัดอะไรให้มันยากเลย เอาแบบนี้นี่แหละ สบายดี

ถ้าขยายวงหรือขยายประเด็นให้กว้างออกไปอีกสักนิด เราจะพบว่า บ้านเมืองของเรานิยมที่จะเน้นพิธีกรรมเป็นสำคัญ และมีความสบายใจมากที่ได้ทำพิธีกรรมนั้นแล้ว โดยไม่ได้ทันเฉลียวใจว่า สาระที่แท้จริงของเรื่องอยู่ตรงไหน

เมื่อประมาณหนึ่งเดือนที่ผ่านมา คงพอจำกันได้ว่าที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในต่างจังหวัดห่างไกล ปกติประเพณีก็ต้องมี “พิธีกรรม” การชักธงชาติขึ้นสู่ยอดเสาเวลา 08:00 น. ก่อนจะเข้าห้องเรียนหรือทำอื่นใดต่อไป

วันที่เกิดเหตุเป็นวันฝนตกหนัก ครูที่ดูแลรับผิดชอบเรื่องนี้ก็ยังกะเกณฑ์ให้เด็กนักเรียนชายหญิงคู่หนึ่งต้องออกไปยืนชักธงชาติอยู่กลางสายฝน ถึงแม้จะจัดให้มีคนไปกางร่มให้ก็ตามที แต่ถึงอย่างไรเด็กก็ต้องเปียกฝนอยู่ดี เพียงแต่เปียกน้อยหน่อยเท่านั้น

พอเห็นได้ไหมครับว่า การชักธงชาติขึ้นสู่ยอดเสามีความสำคัญถึงขนาดนี้

ในทัศนะของบางท่าน ความรักชาติสามารถแสดงออกได้ชัดเจนด้วยการชักธงชาติ ถ้าร้องเพลงชาติได้ไพเราะ เคารพธงชาติทุกวัน ท่านที่พบเห็นก็มีความสุขแล้ว

ส่วนคนที่ร้องเพลงชาติได้คล่องแคล่ว โตขึ้นไปแล้วจะไปสร้างปัญหาสังคม ไปติดยาเสพติด ไปคอร์รัปชั่น เรื่องนั้นค่อยว่ากันทีหลัง

จริงอยู่ครับว่า การร้องเพลงชาติไทยได้ดี กับการไปทำชั่วทีหลัง ไม่ได้เกี่ยวข้องกันโดยตรง แต่ผมอยากจะเสนอประเด็นว่า เราอาจต้องย้อนมาพิจารณาว่าการอบรมศึกษาในโรงเรียนได้เคยชวนให้เด็กนักเรียนของเราคิดในประเด็นจริยธรรมแบบอภิปรายถกเถียงบ้างหรือไม่ ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในหน้าหนังสือพิมพ์ หรือข่าวออนไลน์แต่ละวัน จะดีหรือไม่ครับ ถ้าครูจะนำเรื่องเหล่านั้นมาอภิปรายในชั้นเรียน ฝึกให้เด็กได้คิดได้ช่วยกันออกความเห็น ครูคอยช่วยแต่งเติมให้ความเห็นอยู่ในครรลองที่ควรจะเป็น ไม่ใช่เพียงแค่การสอนให้ท่องศีลห้า หรือร้องเพลงชาติวันละสองครั้งแล้วเป็นอันจบกัน

น่าเสียดายที่เราไม่ค่อยได้ฝึกให้พวกเราเลือกกันเอง “คิด” ในเรื่องอย่างนี้อย่างจริงจัง เพราะมัวแต่ไปเน้นเรื่องอื่นเสียมากกว่า

การกะเกณฑ์คนมาร่วมงานก็ดี การบังคับให้ใครทำอะไรที่ใจไม่สมัครก็ดี ที่ไหนเลยจะสู้ได้กับการที่เขาเข้าร่วมกิจกรรมด้วยใจสมัคร สำคัญอยู่ตรงที่ว่า เราพอที่จะฝากฝังเรื่องราวเกี่ยวกับจริยธรรมหรืออะไรก็แล้วแต่ที่เราหวังว่าสมควรอยู่ในหัวใจคนทั้งในวันนี้และวันข้างหน้าได้อย่างแนบเนียน และด้วยวิธีการที่เหมาะกับยุคสมัย

หรือว่าทำกันไม่เป็นเสียแล้ว

ตัวอย่างที่ดูแล้วน่ากลุ้มใจหรือน่าคิดมีอยู่ในข่าวสารสาธารณะแทบจะทุกวัน

ข้อนี้น่าพิจารณานะครับ



เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต

แพทองธาร พร้อมผลักดันสื่อสารภาพลักษณ์พุทธศาสนาให้ทันสมัย เข้าใจง่าย เข้าถึงคนรุ่นใหม่
ลอย ชูโมเดล การพลิกฟื้นเศรษฐกิจของอาร์เจนตินา ยุทธวิธีของ ปธน. Javier Milei ที่ไทยควรเรียนรู้
ICSI
ICSI คืออะไร สามารถเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ได้ไหม?
เจ้าอาวาสกับอำนาจเหนือพื้นที่วัด : โครงสร้างที่ต้องสังคายนาใหม่ (1)
วัคซีนเรืองแสงสุดโรแมนติก แพร่ผ่านการกุ๊กกิ๊กกันและกัน
การปกครองเปลี่ยน-แฟชั่นปรับ : แฟชั่นสมัยคณะราษฎร-สงคราม (13) เมื่อสำนักพระราชวังตักเตือน “เจ้าชาย-เจ้าหญิง” ให้แต่งกายตามรัฐนิยม
ดาวกับดวงวันพฤหัสบดีที่ 17 กรกฎาคม 2568
พาณิชย์เดินหน้า…จัดงานประชุมสัมมนามันสำปะหลังโลก ยกระดับมันสำปะหลังไทย ขยายตลาดส่งออก ดันเศรษฐกิจฐานรากเติบโต
“รองฯตี๋ ”สั่งสืบ 8 รวบแก็งแว้น ย่านตลาดบางปะกอก เหตุรวมตัวมั่วยา ส่งเสียงดังก่อความรำคาญ กำชับท้องที่กวดขัน คาดโทษหากเกียร์ว่าง
ปักธง เทียนวรรณ เปิดโฉม บุรุษรัตน์ สามัญชน จาก ‘ศรีบูรพา’
ปรีดี แปลก อดุล : คุณธรรมน้ำมิตร (74)
‘โฉมหน้าของศักดินาภิวัตน์ในปัจจุบัน’ (2)