

Cool Tech | จิตต์สุภา ฉิน
Instagram : @sueching
Facebook.com/JitsupaChin
‘ครู นักเรียน และ AI’
แค่ไหนเรียกว่าโกง
หลายปีก่อนการมาถึงของ AI ที่เป็นผู้ช่วยคิดช่วยเขียนตัวฉกาจ การตรวจงานที่นักเรียนส่งมาและพิจารณาว่างานไหนเป็นงานที่นักเรียนเขียนเองหรืองานไหนแอบไปลอกบทความบนอินเตอร์เน็ตมาส่งเข้า Google Translate ให้แปลเป็นภาษาอังกฤษอีกทีเป็นภารกิจที่ฉันรู้สึกว่าทำได้ไม่ยาก แค่อ่านไปไม่กี่บรรทัดก็รู้ได้ทันที หรืออันไหนลอกมาเนียนหน่อยก็พอจะมีเครื่องมือให้ช่วยในการตรวจจับได้
โชคดีที่ฉันหยุดรับงานสอนหนังสือไปตั้งแต่ก่อน Gen AI จะแมส เพราะแค่คิดว่าต้องจับผิดชิ้นงานหลายสิบชิ้นที่ AI สมัยนี้ช่วยเขียนขึ้นมาก็หัวจะปวดแล้ว
เรื่องนี้น่าจะเป็นปัญหากับครูอาจารย์ทั่วโลก AI เป็นเครื่องมือที่ใหม่และความสามารถของมันก็เก่งขึ้นแบบก้าวกระโดด ทำให้สถาบันการศึกษาตั้งรับไม่ทัน นักเรียนแทบจะทุกคนใช้ AI เข้ามาช่วยในการทำงานส่งครู
ในขณะที่ครูก็ยังไม่มีวิธีที่จะตรวจจับได้อย่างแม่นยำว่านักเรียนใช้ AI หรือไม่ หรือถ้าใช้ ใช้ไปมากน้อยแค่ไหน
ต่อให้สัญชาตญาณความเป็นครูช่วยให้อ่านแล้วรู้ทันทีว่านี่คืองานจากฝีมือของ AI แน่ๆ แต่ก็ไม่สามารถหาวิธีพิสูจน์ได้ และเมื่อพิสูจน์ไม่ได้ก็ต้องยกผลประโยชน์ให้จำเลยไปเสีย
จนมาถึงจุดที่ครูหลายคนยอมแพ้ เลิกล้มความตั้งใจที่จะตรวจจับอีกต่อไป
คําถามที่น่าสนใจคือ ถ้าหาก AI กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตการเรียนและการทำงานไปแบบที่ฉีกออกจากกันไม่ได้อีกแล้ว การใช้ AI ช่วยทำการบ้านหรืองานส่งครูแค่ไหนถึงจะเรียกว่าทุจริต
แน่นอนว่าถ้านักเรียนใช้ AI ช่วยเขียนงานทั้งชิ้นก็น่าจะสามารถเรียกว่าเป็นการโกงได้อย่างเต็มปากเต็มคำ แต่ถ้านักเรียนแค่ใช้ AI ในการช่วยคิดประเด็น ช่วยขัดเกลาภาษา หรือช่วยตรวจไวยากรณ์ แบบนี้จะยังเข้าข่ายทุจริตหรือไม่
เส้นที่ครูแต่ละคนขีดแบ่งก็อาจจะไม่เท่ากัน ครูบางคนอาจจะโอเคกับการที่นักเรียนใช้ AI บ้างนิดๆ หน่อยๆ แต่ครูบางคนก็อาจจะยอมรับไม่ได้เลยก็ได้ นี่เป็นสิ่งที่ครูแต่ละคนต้องประเมินและขีดเส้นสำหรับวิชาของตัวเอง
นอกจากนักเรียนจะใช้ AI ในการช่วยเขียนแล้ว อีกหนึ่งทักษะที่ได้รับผลกระทบจากความเก่งของ AI ก็คือทักษะการอ่านและสรุปความ เพราะทุกวันนี้นักเรียนไม่ต้องอ่านหนังสือ บทความ หรือเอกสารยาวๆ ด้วยตัวเองอีกต่อไป
แค่ฟีดเข้าไปให้ AI ช่วยอ่านและสรุปใจความสำคัญทั้งหมดให้ งานชิ้นนั้นก็เสร็จได้ในเวลาเพียงแค่ไม่กี่นาที
เมื่อลองมองจากมุมของนักเรียนดูบ้างว่าทำไมนักเรียนสมัยนี้ถึงตัดสินใจใช้ AI กันง่ายๆ ก็พบว่าการเรียนหนังสือและทำงานส่งครูหลายๆ วิชาพร้อมๆ กันไม่ใช่เรื่องง่าย บางช่วงอาจจะมีงานที่ครูสั่งมากองตรงหน้าพร้อมๆ กันหลายวิชา เมื่อมีเครื่องมืออย่าง AI ที่พร้อมแบ่งเบางานไปได้ก็เป็นการตัดสินใจที่ไม่ต้องคิดเยอะ
ยิ่งรู้ว่าครูยังไม่มีเครื่องมือตรวจจับที่มีประสิทธิภาพดีพอก็ยิ่งย่ามใจ ใช้ไปก่อนแล้วกัน ไหนๆ ก็ไม่มีทางพิสูจน์ได้อยู่แล้ว
ครูจำนวนหนึ่งเลือกใช้เทคโนโลยีในการสู้กลับเทคโนโลยี ในเมื่อนักเรียนใช้ AI เขียนงานส่งมา ครูก็สั่ง AI ตัวเดียวกันนี่แหละให้ตรวจงานกลับไป พร้อมกับระบุไว้ในคำสั่งเลยว่าตรวจให้หน่อยว่างานนี้ AI เขียนมาหรือเปล่า
บางคนรับมือด้วยการให้นักเรียนอ้างอิงแหล่งที่มาของข้อมูลอย่างละเอียดซึ่งเป็นสิ่งที่ AI ไม่ได้ชำนาญสักเท่าไหร่
เมื่อนักเรียนรู้ว่าครูจะใช้ AI ตรวจงานกลับมา และจะต้องแนบสกรีนช็อตของแหล่งที่มาของข้อมูลไปพร้อมงานที่ส่งก็มีแนวโน้มจะใช้ AI ช่วยทำงานน้อยลง
ฉันลองคิดย้อนกลับไปว่าถ้า AI เก่งขนาดนี้ในสมัยที่ฉันยังเรียนหนังสืออยู่ ฉันจะใช้มันช่วยทำงานส่งครูบ้างหรือเปล่า หากไม่หลอกตัวเองฉันก็คิดว่าคำตอบก็คือใช้แน่นอนแต่จะใช้มากน้อยแค่ไหนก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ
อดีตนักเรียนอย่างฉัน หรือนักเรียนที่ได้ผ่านการเรียนหนังสือมาในแบบที่ไม่มี AI นับว่าโชคดีที่ได้ฝึกปรือทักษะการเขียน การอ่าน การสรุปใจความแบบที่ไม่มี AI เป็นตัวช่วย แต่ลองนึกถึงนักเรียนที่เพิ่งเริ่มเส้นทางการศึกษาพร้อมๆ กับการเติบโตของ AI การจะแบ่งเส้นว่าอันไหนเป็นสิ่งที่ให้ AI แบ่งเบาไปทำได้ หรืออันไหนเป็นทักษะที่ต้องฝึกให้มีติดตัวก็น่าจะไม่ใช่เรื่องง่าย
การคิดค้นและพัฒนาเครื่องมือที่จะช่วยให้ครูรับมือนักเรียนที่ใช้ AI ทำงานส่งก็ยังคงต้องดำเนินต่อไป แต่ในขณะเดียวกันในภาพกว้างก็ต้องมีการออกแบบการศึกษาใหม่
มีการเสนอแนะว่าวิธีที่น่าจะช่วยได้อาจเป็นสั่งงานในรูปแบบอื่นที่นอกเหนือจากการให้กลับไปเขียนงานแล้วนำมาส่งคาบต่อไป อย่างเช่น การให้เขียนงานในห้องเรียนเลย การสั่งงานที่เน้นการพูดมากขึ้นแทนที่จะเขียนอย่างเดียว การสั่งงานแบบใช้ปากกาเขียนบนกระดาษ ไปจนถึงบางชิ้นงานก็ระบุไปเลยว่าใช้ AI ได้ แต่ใช้ได้ในแง่มุมไหนบ้าง
ฉันคิดว่าไอเดียที่กล่าวมาก็น่าสนใจตรงที่สามารถทำได้ทันที ไม่ต้องใช้เทคโนโลยีมาจับเทคโนโลยี แต่แค่บิดวิธีการสอน วิธีการสอบเสียใหม่ ไม่เน้นแค่ผลลัพธ์แต่ให้ความสำคัญกับกระบวนการทำให้มากขึ้น ครูอาจจะเสียเวลามากกว่าเดิมแต่สุดท้ายก็น่าจะปวดหัวน้อยลง
การรับมือที่สำคัญที่สุดคือในทุกชั้นเรียนครูควรมีช่วงเวลาพูดเพื่อทำความเข้าใจกับนักเรียนว่าวัตถุประสงค์ของการเสียเวลา เสียเงินมาเรียนในคลาสคืออะไร คือการได้ทักษะติดตัวไปใช้ตลอดชีวิตหรือไม่ ทักษะเหล่านั้นจำเป็นอย่างไรสำหรับอนาคตของนักเรียน และทักษะที่จะได้รับไปนั้นมันจะทำให้ได้เปรียบคนอื่นในยุคที่ใครๆ ก็ใช้ AI ได้อย่างไร
มิเช่นนั้นใบปริญญาบัตรที่ได้รับตอนเรียนจบก็อาจจะเป็นแค่กระดาษราคาแพงที่ได้มาเพราะความสามารถของ AI ไม่ใช่ตัวเรา