
93 ปี 24 มิถุนายน 2475 อาจต้องรอเกิน 100 ปี …จึงจะมีประชาธิปไตย

หลักศิลากลางน้ำเชี่ยว | มุกดา สุวรรณชาติ
93 ปี 24 มิถุนายน 2475
อาจต้องรอเกิน 100 ปี
…จึงจะมีประชาธิปไตย
93 ปีของการเปลี่ยนแปลงการปกครองนับ จาก 24 มิถุนายน 2475 เป้าหมายคือประชาธิปไตย
แต่ถึงวันนี้ทำไปได้ไม่ถึงครึ่ง มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง
1. ช่วงฝ่ากระแสเผด็จการนาน 60 ปี (24 มิถุนายน 2475-พฤษภาทมิฬ 2535)
มีความพยายามพัฒนาประเทศให้เข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย
15 ปีแรก ต้องต่อสู้กับอำนาจเก่าและความคิดเก่าอย่างหนัก อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ประชาชนยังมีส่วนร่วมน้อยมาก กล่าวได้ว่าเป็นการปฏิวัติของขุนนาง
การพัฒนาประชาธิปไตยสะดุดลงจากการรัฐประหาร 2490 โดยจอมพลผิน ชุณหะวัณ กับจอมพล ป.พิบูลสงคราม และหลังจากนั้นอำนาจฝ่ายเผด็จการก็เข้าคุมอำนาจรัฐ ต่อเนื่องเปลี่ยนผ่านอำนาจโดยการรัฐประหารของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในปี พ.ศ 2500 แล้วขยายอำนาจเผด็จการต่อจนเสียชีวิตในปี 2506 และมีการสืบทอดอำนาจต่อโดยจอมพลถนอม กิตติจขร-จอมพลประภาส จารุเสถียร จนถูกโค่นล้มโดยการเคลื่อนไหวของพลังนักศึกษาประชาชน ในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516
แต่กระแสประชาธิปไตยเติบโตเป็นช่วงระยะสั้น 3 ปี พอถึง 2519 ก็มีการรัฐประหาร 6 ตุลาคม จากนั้นเกิดสงครามจรยุทธ์ของกลุ่มนักศึกษาประชาชนที่หนีเข้าป่า กว่าสงครามจะสงบ จบอย่างประนีประนอมในปี 2525 มีการปกครองสืบทอดมาแบบที่เรียกว่าประชาธิปไตยครึ่งใบ จนมีการรัฐประหาร 2534 โดยคณะ รสช.
จากนั้นเกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬขึ้นในปี 2535 ล้มคณะ รสช.ลงได้ นับเวลาจาก 24 มิถุนายน 2475 ครบ 60 ปีพอดี
2. ฝ่ายอนุรักษนิยม กำหนดเป้าหมายชัดเจน ใน 20 ปีหลังนี้
หลังจากปี 2535 ระบอบประชาธิปไตยจึงมีการพัฒนาต่อเนื่องกันถึง 15 ปี ได้รัฐธรรมนูญ 2540 คล้ายกับว่าประเทศไทยจะเดินเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยอย่างเต็มตัวแล้ว แต่มีคนไม่ยอม จึงมีการรัฐประหาร 2549 เพื่อโค่นล้มรัฐบาลนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ปี 2549
ผ่านไป 75 ปีจาก 2475 เป้าหมายของฝ่ายอนุรักษนิยมก็ปรากฏชัด ผ่านรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 และ 2560 คือการปกครองโดยประชาธิปไตยแบบไทยๆ ต้องการให้พวกตัวเองเป็นผู้ปกครอง ประชาชนทั่วไปควรจะมีเสียงประมาณ 30% อีก 70% ต้องเป็นของกลุ่มที่มีหัวอนุรักษนิยม
ดังนั้น จึงใช้วิธีโค่นผู้ที่จะเข้ามาแย่งชิงอำนาจรัฐทุกวิถีทางไม่ว่าจะต้องใช้กฎหมายหรือปืน การปฏิบัติการเริ่มตั้งแต่ปี 2548 สมัยนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร และเปิดหน้าโดยการรัฐประหารเดือนกันยายน 2549
เป็นการพาประเทศชาติถอยหลัง 3 ก้าว คือรัฐประหาร 2549…ตุลาการภิวัฒน์ 2551 และรัฐประหาร 2557 แถมยังลงบันไดอีก 3 ขั้นคือ ฉีกรัฐธรรมนูญ 2540 ฉีกรัฐธรรมนูญ 2550 ที่คณะรัฐประหารร่างเอง และลงบันไดขั้นสุดท้ายคือการร่างรัฐธรรมนูญ 2560 ออกมาเพื่อใช้สืบทอดอำนาจ
วันนี้เราได้เห็นทุกองค์กร ทุกสถาบัน ทุกอย่างถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อล้มระบอบประชาธิปไตย ชิงอำนาจ และสืบทอดอำนาจ แต่ก็ยังมีผู้รักประชาธิปไตยพยายามต่อสู้ตลอด 20 ปี
3. ขณะนี้อำนาจฝ่ายตุลาการ อยู่เหนืออำนาจอื่น
ถ้าหากอำนาจตุลาการหรือศาลต่างๆ ไม่ยอมรับการรัฐประหารว่าถูกต้อง การรัฐประหารจะทำได้ยากมาก
แต่ในประเทศไทย อำนาจตุลาการทุกยุคไม่กล้าหือกับเผด็จการ และหลังรัฐประหาร 2549 กลับมีบทบาทอย่างมาก จึงเกิดการทำตุลาการภิวัฒน์ และยุบพรรคการเมือง และตัดสินคดีที่มีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐ เรื่องเล็กแบบยับยั้งโครงการของฝ่ายบริหาร ยับยั้งการลงมติของสภา ทำได้สบายมาก บางคนก็เรียกว่าถ่วงดุลอำนาจ บางคนก็เรียกว่าก้าวก่าย
ส่วนองค์กรอิสระที่ผ่านมา บทบาทของกรรมการแทบทุกองค์กรก็ถูกมองว่าเอียงไปทางผู้มีพระคุณที่แต่งตั้งมาทั้งสิ้น ประชาชนจึงไม่เชื่อถือ
ความยุติธรรมมาจากกฎหมาย และคนที่ใช้กฎหมาย ถ้าแก้รัฐธรรมนูญและกฎหมายให้ยุติธรรมไม่ได้ การปฏิรูปก็ทำไม่ได้ ช่วงนี้ให้จับตาดูการดำเนินคดีและตัดสินคดีฮั้ว ส.ว.
4. ฝ่ายนิติบัญญัติ…พิการ ทำงานไม่ได้
รัฐสภาซึ่งประกอบไปด้วยสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา สภาพขณะนี้ถือว่าพิการใช้งานไม่ได้ สภาผู้แทนราษฎรซึ่งมีพรรคการเมืองและ ส.ส.เป็นองค์ประกอบสำคัญ ส่วนใหญ่ในปัจจุบันกลายเป็นที่รวมของบุคคลที่หาผลประโยชน์โดยวิธีเข้ามาเล่นการเมือง ทั้งตั้งพรรค เข้าร่วมกับพรรค และย้ายพรรค
ที่จริงแล้วมีพรรคการเมืองที่อยากเข้ามาทำงานการเมืองแบบมีอุดมการณ์ แต่ถ้าพรรคเหล่านี้ได้รับความนิยมเมื่อใดก็มีโอกาสจะถูกทำลาย ที่ง่ายที่สุดในขณะนี้คือการยุบพรรคและตัดสิทธิการเมือง กรรมการพรรค เหยื่อรายล่าสุดคือพรรคก้าวไกล
แต่พรรคการเมืองและบุคคลที่แสวงหาผลประโยชน์ต่างๆ กลับอยู่ได้
กฎหมายพรรคการเมืองก็เขียนไว้เพื่อประโยชน์กับ ส.ส.ที่ต้องการจะย้ายพรรคหรือแสวงหาผลประโยชน์
สภาพของสภาผู้แทนราษฎรในวันนี้จึงคล้ายท้องนาธรรมชาติที่ต้องมีงูเห่า
จุดอ่อนในรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบ พฤติกรรมของ ส.ส. และพรรคการเมืองทำให้เกิดความเสื่อมศรัทธาต่อระบบการเมืองไทย
5. วุฒิสภา เดิมชื่อ พฤฒสภา ตอนนี้เป็นสภา…ฮั้ว
วุฒิสภาชุดแรกเริ่มตั้งแต่ปี 2489 เรียกว่า พฤฒสภา ซึ่งถูกคัดเลือกโดยผู้เป็น ส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้งในขณะนั้น จากนั้นก็มีการแต่งตั้งจากผู้มีอำนาจกันเรื่อยมา กว่าจะได้ ส.ว.เลือกตั้งก็ต้องมีรัฐธรรมนูญ 2540 เกิดขึ้น ส.ว.ชุดแรกมาจากการเลือกตั้งในวันที่ 4 มีนาคม 2543 จำนวน 200 คน ชุดที่สองมาจากการเลือกตั้งในวันที่ 19 เมษายน 2549 แต่ก็สิ้นสุดลงเมื่อมีการรัฐประหาร19 กันยายน 2549
ส.ว.แต่งตั้งชุดสุดท้ายเป็นฝีมือของคณะรัฐประหาร คสช.จำนวน 250 คน แถมให้อำนาจในการคัดเลือกนายกฯ จึงมีผลให้การเลือกตั้งในปี 2562 และ 2566 คะแนนเสียงชี้ขาดว่าใครจะได้เป็นนายกฯ ไปอยู่กับมือของ ส.ว. 250 คนนั้น
และเมื่อ ส.ว. 250 คนหมดอำนาจลง การเลือก ส.ว.ชุดใหม่แบบเลือกกันเองก็เกิดขึ้นตามรัฐธรรมนูญ 2560 เป็นวิธีที่ไม่เคยทำที่ไหนมาก่อน
แต่ก็ไม่มีใครคิดว่าจะมีคนคิดกลโกงการเลือกตั้งแบบโกงทั้งประเทศ แต่ปกปิดความจริงไม่ได้เพราะเกี่ยวข้องกับคนนับพันนับหมื่น แม้กลุ่มที่วางแผนและกระทำการนี้จะได้ ส.ว.มากเกินกว่าครึ่ง แต่ก็ถูกฟ้องร้องและกำลังดำเนินคดีกันอยู่
คดีฮั้ว ส.ว.กำลังจะกลายเป็นประวัติศาสตร์การเมืองไทย ที่ถูกบันทึกไว้ขณะนี้ได้ข่าวว่ากำลังมีคนจะเขียนเป็นภาษาอังกฤษเพื่อเผยแพร่บทเรียนและประสบการณ์ออกไปให้ทั่วโลกรู้บทเรียนราคาแพงของประเทศไทย
ผลของคดีนี้ จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในปัจจุบัน และจะเป็นตัวชี้วัดระบบยุติธรรมของประเทศไทย
6. บทบาทสื่อสารมวลชนเปลี่ยนไป
จากผู้สังเกตการณ์ ผู้รายงาน ผู้วิจารณ์ มาเล่นเกมเอง สื่อทุกรูปแบบในวันนี้มีอิสระเสรีอย่างเต็มที่ แต่มิได้ทำหน้าที่เพียงเพื่อการกระจายข่าวสารข้อมูล หรือเพิ่มพูนความรู้แก่ประชาชน ยังถูกใช้เป็นอาวุธเพื่อทำลายคู่ขัดแย้งและหาประโยชน์
ข้อเสียก็คือสามารถสร้างเรื่องเท็จโจมตีบุคคลหรือองค์กรได้มากขึ้น สร้างและขยายความขัดแย้งได้กว้างขวาง ข้อดีก็คือสามารถทำให้คนได้รู้ข้อเท็จจริงได้มากขึ้น รับรู้ข้อคิดเห็นจากหลายมุมมอง
บทบาทสื่อวันนี้จึงคล้ายอาวุธนำวิถีระยะไกลที่ยิงเข้าใส่เป้าหมายทุกวัน ด้วยตัวอักษร ภาพและเสียง กระสุนนั้น อาจเป็นคำด่า คำโหก เรื่องจริง เรื่องเท็จ เหตุผล
ถ้าสื่อมวลชนไม่ตระหนักถึงผลของการยั่วยุและเลือกข้าง และผู้คนยังมีการใช้โซเชียลมีเดียเข้าฟาดฟันกัน ไม่เพียงขัดขวางการปฏิรูป แต่ยังกระตุ้นความรุนแรงให้ล้างผลาญกัน จนเกิดความเสียหายกับทุกฝ่าย
7. การเปลี่ยนแปลงของประชาชน
เกิดการตื่นตัวทางความคิดและอุดมการณ์ทางประชาธิปไตยกระจายไปทั่วประเทศ ผู้คนได้รับรู้ว่าประชาธิปไตยยังหมายถึงสิทธิผลประโยชน์ของตนเองทั้งด้านสวัสดิการรักษาพยาบาล การทำมาหากิน ความสะดวกสบายต่างๆ มีการปกป้องผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม
เกิดการจัดตั้งกลุ่มพลังทางการเมืองที่สามารถเรียกร้องสิทธิทางการเมือง ความยุติธรรมและใช้ต่อรองกดดัน และต่อสู้กับอำนาจอื่นๆ ได้ เกิดวัฒนธรรมการต่อสู้ทางการเมืองที่จะไม่ยอมรับอำนาจ ไม่ยอมสยบต่ออำนาจแบบเก่าๆ
95 ปีหลัง 2475 ถ้ามีการเลือกตั้งปี 2570 จะเป็นดัชนีวัดความก้าวหน้า ว่าระบบอุปถัมภ์ กับระบอบประชาธิปไตย จะถึงจุดที่เปลี่ยนความคิดคนส่วนใหญ่ได้หรือยัง ถ้ายังก็ต้องสู้ต่อ ซึ่งอาจเกิน 100 ปี