
ปฏิกิริยาหลังการเมืองระส่ำ รมต.ศธ. (เปลี่ยนอีกแล้ว) วิกฤตการศึกษาไทย ดิ่งเหว

| การศึกษา
วิกฤตการเมือง ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่งผลต่อเสถียรภาพรัฐบาล ไล่ตั้งแต่ศึกแย่งเก้าอี้ มท.1 กระทั่งปรากฏคลิปเสียง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พูดคุยกับ สมเด็จฯ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ถึงการแก้ปัญหาความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ที่กล่าวถึงแม่ทัพภาคที่ 2 ว่าเป็นฝ่ายตรงข้าม
ส่งผลให้พรรคภูมิใจไทย (ภท.) ชิงความได้เปรียบประกาศถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล โดยอ้างเหตุจากคลิปเสียง ส่งผลกระทบต่ออธิปไตย ดินแดน ผลประโยชน์ของประเทศไทย และกองทัพไทย พร้อมมีมติให้รัฐมนตรีสังกัดพรรค ภท.ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งยกแผง
รวมถึง พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ และนายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล ก็ได้ยื่นไขก๊อกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการ ศธ. และรัฐมนตรีช่วยว่าการ ศธ. เช่นเดียวกัน
แน่นอนว่า เมื่อรัฐบาลตัดสินใจเปลี่ยนม้ากลางศึก ย่อมส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และความเชื่อมั่น ปรากฏการณ์ครั้งนี้ แวดวงการศึกษายอมรับว่า ค่อนข้างเสียขวัญและสัมผัสได้ถึงความไม่มั่นคงในเสถียรภาพรัฐบาล…
นายณรินทร์ ชำนาญดู นายกสมาคมผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งประเทศไทย (ส.บ.ม.ท.) เปิดเผยว่า การที่รัฐมนตรีลาออกกลางคันมีทั้งข้อดีและข้อเสีย
สำหรับข้อเสียที่เกิดขึ้นคือ แผนงานที่รัฐมนตรีคนปัจจุบันทำไว้จะหยุดชะงักหรือถึงขั้นถูกยกเลิก หากมีรัฐมนตรีคนใหม่เข้ามา ขณะเดียวกัน ทรัพยากรต่างๆ ที่ใช้ในการขับเคลื่อนนโยบายก็จะถูกปรับเปลี่ยนและขาดความต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นหลักสูตรใหม่ที่เริ่มนำร่องในปีนี้ นโยบายเรียนได้ทุกที่ ทุกเวลา หรือ Anywhere Anytime ก็อาจจะถูกหยุดลงได้
“ทั้งนี้ การเปลี่ยนรัฐมนตรีกลางคันยังสร้างความไม่มั่นใจต่อนักเรียน ผู้ปกครอง ครู และบุคลากรทางการศึกษา เพราะความไม่แน่นอนทางนโยบายอาจทำให้เกิดความสับสน ขาดขวัญและกำลังใจที่ต้องถูกเปลี่ยนการทำงาน รวมไปถึงยังก่อให้เกิดปัญหาสำหรับการแก้ไขที่เร่งด่วน เช่น เรื่องของครูมัท ที่ทำการปิดชีวิตตัวเองเนื่องจากภาระงาน การเปลี่ยนรัฐมนตรีกลางคันก็อาจส่งผลให้เรื่องนี้ไม่ได้ถูกแก้ไขอย่างเร่งด่วน” นายณรินทร์กล่าว
สำหรับข้อดี ถือเป็นการเปิดทางให้ผู้มีศักยภาพคนใหม่เข้ามาทำงานแทน ซึ่งหากได้ผู้ที่มีความเข้าใจระบบการศึกษา ก็สามารถกำหนดทิศทางนโยบายที่ดีได้ รวมไปถึงปรับเปลี่ยนนโยบายเดิมที่อาจจะยังไม่เป็นที่ยอมรับหรือไม่เหมาะสม ทั้งนี้ การลาออกยังเป็นการกระตุ้นให้สังคมได้หันเข้ามาเห็นถึงปัญหาของระบบการศึกษาในปัจจุบันและอาจส่งผลไปยังพรรคการเมืองที่มีหน้าที่รับผิดชอบให้ส่งผู้ที่มีความสามารถเข้ามาทำงานได้อย่างเหมาะสม
“รัฐมนตรีว่าการ ศธ.คนใหม่ควรมีภาพลักษณ์เป็นนักพัฒนาเด็ก มากกว่านักการเมือง ต้องเป็นผู้ฟังเสียงของเด็ก ครู และชุมชน ออกแบบระบบการศึกษาที่เข้าใจความเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง พร้อมทั้งเร่งเดินหน้าทำงานทันที โดยไม่เสียเวลาศึกษางานนานเกินไป เพราะเวลาของรัฐบาลชุดปัจจุบันเหลือไม่มากนัก รัฐมนตรีคนใหม่ควรเร่งปรับระบบการเรียนรู้ให้มีความยืดหยุ่น สอดคล้องกับชีวิตจริงมากขึ้น ลดการเรียนแบบท่องจำ และเน้นทักษะสำคัญในศตวรรษที่ 21เปิดทางเลือกให้เด็กได้เรียนตามความถนัด กระจายทรัพยากรอย่างเป็นธรรมไปยังโรงเรียนขนาดเล็ก พื้นที่ห่างไกล และเด็กกลุ่มเปราะบางให้ได้รับอุปกรณ์การเรียน ครู และอินเตอร์เน็ตอย่างทั่วถึง อีกภารกิจสำคัญที่รัฐมนตรีใหม่ต้องเร่งดำเนินการ คือ การแก้ปัญหาหนี้สินครูอย่างเป็นระบบ ควบคุมการก่อหนี้ใหม่ ส่งเสริมวินัยทางการเงินในระยะยาว” นายณรินทร์กล่าว
นักวิชาการ ห่วง ศธ.เปลี่ยนตัวกลางคัน กระทบนโยบายกว่าครึ่งวูบ ชี้รัฐมนตรีใหม่ควรเป็นคนรุ่นใหม่ เข้าใจงานจริง ไม่ใช่ข้าราชการเกษียณ
ขณะที่ นายสมพงษ์ จิตระดับ นักวิชาการทางการศึกษา มองคล้ายกันว่า การเปลี่ยนตัวรัฐมนตรี ศธ.กลางคันส่งผลเสียต่อระบบการศึกษาไทยอย่างแน่นอน ภารกิจที่ได้ริเริ่มไว้จะหายไปมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ เพราะไม่ได้รับการสานต่อ เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การศึกษาของไทยไม่มีความเปลี่ยนแปลง เพราะตัวนโยบายที่ถูกกำหนดโดยรัฐบาล และตัวรัฐมนตรีว่าการ ศธ. ไม่มีความต่อเนื่องและไม่ยั่งยืน เวลาที่มีการเปลี่ยนเจ้ากระทรวง นโยบายเดิมจะถูกยกเลิกและทำใหม่โดยผู้บริหารคนใหม่
“พอเกิดความไม่ต่อเนื่องในตัวนโยบาย ข้าราชการในกระทรวงก็ต้องปรับตัว ปรับการทำงานใหม่ เพื่อรับสนองต่อนโยบายใหม่ของรัฐมนตรีคนใหม่ ซึ่งต้องใช้เวลาเรียนรู้งานอีกประมาณ 6 เดือน-1 ปี ถือเป็นผลเสียของการเปลี่ยนผู้บริหารกลางคัน สำหรับนโยบายที่ส่วนตัวมองว่าจะได้รับการสานต่อคือ การติดตามเด็กนอกระบบการศึกษาเชิงระบบ (Thailand Zero Dropout) โครงการทุนการศึกษาเพื่อขยายโอกาสและพัฒนาประเทศ (Outstanding Development Opportunity Scholarship : ODOS) และการขับเคลื่อนร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ…. เนื่องจากนโยบายเหล่านี้เป็นเรื่องที่ทำงานร่วมกับรัฐบาล”
ผู้ที่จะเข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการ ศธ. อยากให้เป็นคนที่มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของการศึกษาเป็นพื้นฐานสำคัญ มีหลักคิดในเรื่องของการบริหารจัดการการศึกษา ต้องมีความเข้าใจต่อระบบโครงสร้างของกระทรวงที่จะต้องดูแลข้าราชการครูจำนวนกว่า 4-5 แสนคน รัฐมนตรีว่าการ ศธ.คนใหม่ควรจะลงลึกเข้าไปดูปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในบริบทพื้นที่ การทำงานที่แท้จริงของครูและบุคลากรทางการศึกษา เพื่อให้นโยบายที่ออกมาไม่ได้เป็นเพียงนามธรรม ฉะนั้น ผู้ที่จะเข้ามาต้องมีภาวะของการเป็นผู้นำที่ได้รับการยอมรับในวงการการศึกษา
โดยส่วนตัวอยากให้เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความกระตือรือร้นอยากทำงานเพื่อพัฒนาและเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาอย่างแท้จริง เรียนรู้ได้เร็วเพื่อเข้ามาทำงานได้ทันที เนื่องจากรัฐบาลชุดนี้เหลือวาระในการทำงานไม่มาก ทำให้การเข้ามาบริหารกระทรวงแล้วต้องเรียนรู้งานใหม่ทั้งหมดโดยใช้เวลา 6 เดือน-1 ปี อาจไม่เพียงพอที่จะทำให้เกิดการพัฒนาระบบการศึกษาได้
“นอกจากนี้ ผู้ที่เข้ามาบริหารจะต้องทำงานอย่างแท้จริง ไม่ฉาบฉวย และไม่ทำงานตามกระแสที่เกิดขึ้นแต่ต้องบริหารงานทั้งระบบอย่างสม่ำเสมอ และจะต้องเรียนรู้โลกที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา นำการศึกษาไทยไปสู่ระดับสากลและสามารถแข่งขันบนเวทีนานาชาติได้” นายสมพงษ์กล่าว
วิกฤตการเมืองระส่ำครั้งนี้ กระทบไปทุกภาคส่วน ทั้งเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา ไปจนถึงปัญหาความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ยังไม่มีทางออก
แม้จะฝากความหวังไว้ได้ยาก แต่ในฐานะประชาชนที่ได้รับผลกระทบ หวังว่ารัฐบาลจะให้ความสำคัญ เร่งแก้ปัญหา และพัฒนาการศึกษาอย่างจริงจัง ลดการเล่นเกมการเมืองเพื่อผลประโยชน์
ไม่เช่นนั้นอาจทำให้การศึกษาไทยดิ่งเหวไปมากกว่านี้…