
ฮุน เซน..ปกครองกัมพูชา 40 ปี ใช้วิธีทั้งหัก ทั้งงอ สืบทอดเผด็จการ

หลักศิลากลางน้ำเชี่ยว | มุกดา สุวรรณชาติ
ฮุน เซน..ปกครองกัมพูชา 40 ปี
ใช้วิธีทั้งหัก ทั้งงอ สืบทอดเผด็จการ
จากคนธรรมดาที่เข้าร่วมต่อสู้ในสงครามปฏิวัติในกัมพูชาจนชนะและก็พาทหารเวียดนามบุกเข้าประเทศตัวเองเพื่อกวาดล้างเขมรแดง ยึดอำนาจได้ เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศตั้งแต่อายุ 29 และเป็นนายกรัฐมนตรีเมื่ออายุได้ 33 ปี
จากนั้นก็สืบทอดอำนาจมาด้วยเล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิง กล้าทำทุกเรื่องเพื่อบรรลุเป้าหมาย แบบไม่ต้องมีกฎเกณฑ์ กฎหมาย วันนี้เขาได้สืบทอดอำนาจและส่งต่อไปให้ลูกชายแล้ว
แม้อำนาจนั้นจะเริ่มสั่นคลอนเนื่องจากระบบการรับรู้ข่าวสารพัฒนาไปมาก
แต่เขาจะอยู่ในอำนาจอีกนานเท่าไรก็ขึ้นอยู่กับคนกัมพูชา
1. หักเขมรแดง ขึ้นสู่อำนาจ
“ฮุน เซน” เกิดวันที่ 5 สิงหาคม 2495 ในปี 2515 ช่วงที่กัมพูชาตกอยู่ในสงคราม ฮุน เซน ได้เข้าร่วมกับเขมรแดง สู้รบจนได้รับชัยชนะปี 2518 และเป็นผู้บังคับกองพันของกัมพูชาประชาธิปไตย
ปี 2521 ได้แปรพักตร์เข้าร่วมกับเวียดนาม และเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งขบวนการกู้ชาติที่เวียดนามให้การสนับสนุน นำทัพกู้ชาติ และทหารเวียดนามเข้าปลดปล่อยดินแดนกัมพูชาจากเขมรแดงในต้นปี 2522 จากนั้นก็มีการจัดตั้งรัฐบาลเฮง สัมริน
ฮุน เซน ก็เริ่มเข้าสู่อำนาจทางการเมืองในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศระหว่าง พ.ศ.2524 ถึง 2528 และก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในเดือนมกราคม พ.ศ.2528 ของรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนกัมพูชา และเบ่งบารมีกลบรัศมี เฮง สัมริน
ในขณะที่กลุ่มต่อต้าน ที่เรียกว่า เขมร 3 ฝ่าย ก็จัดตั้งรัฐบาลผสมเรียกว่า “รัฐบาลกัมพูชาประชาธิปไตย” อยู่แถวชายแดนไทย ประกอบด้วย
1) เจ้าสีหนุ เป็นประธานาธิบดี
2) กลุ่มซอน ซานน์ จากกลุ่มเขมรเสรี เป็นนายกรัฐมนตรี
3) เขียว สัมพัน จากกลุ่มเขมรแดง เป็นรองนายกรัฐมนตรี
2. ฮุน เซน ยอมงอ เมื่อสหประชาชาติเข้ามาดูแล
กลุ่มต่อต้านที่เรียกว่าเขมร 3 ฝ่าย เมื่อรวมกับรัฐบาลที่ปกครองพนมเปญอยู่โดยฮุน เซน ก็เลยกลายเป็นเขมร 4 ฝ่าย มีการเจรจาสันติภาพดำเนินต่อไปด้วยอิทธิพลของมหาอำนาจ อเมริกา โซเวียตรัสเซีย และจีนรวมทั้งประเทศแนวหลังแบบเวียดนามและไทย ทำใหัโครงการสันติภาพเดินต่อไปได้โดยให้ UNTAC (The United Nation Transitional Authority in Cambodia) เข้ามาเป็นตัวกลางในการถ่ายโอนอำนาจการปกครองแบบสันติ
แผนการปกครองใหม่ของกัมพูชา คือ จัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 120 คน สภานี้จะทำหน้าที่เป็นสภานิติบัญญัติ ชื่อว่าสภาสูงสุดแห่งชาติ (SNC) พรรคการเมืองสำคัญที่ส่งคนสมัครเข้ารับเลือกตั้งในวันที่ 23-28 พฤษภาคม 2536
มีผลการเลือกตั้งดังนี้
1. พรรคฟุนซินเปก FUN-CIN-PEC (FCP) ของสมเด็จกรมพระนโรดม รณฤทธิ์ ได้ 58 ที่นั่ง
2. พรรคประชาชนกัมพูชา Cambodian People’s Party (CPP )ของฮุน เซน ได้ 51 ที่นั่ง
3. พรรคประชาธิปไตยเสรีพระพุทธศาสนา (BLDP ) ของนายซอน ซานน์ ได้ 10 ที่นั่ง
4. พรรคนิยมระบอบกษัตริย์ (Molinaca) ได้ 1 ที่นั่ง
3. แพ้เลือกตั้ง แต่บีบจนเป็นนายกฯ ร่วม
แล้วหัก นโรดม รณฤทธิ์
เพราะการผ่านร่างรัฐธรรมนูญการปกครองประเทศมาบังคับใช้ ต้องได้เสียง 2 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกสภาสูงสุดแห่งชาติ (SNC) 120 ที่นั่ง ผู้ชนะรวมกับซอน ซานน์ ก็ไม่พอ ต้องอาศัยเสียงจากพรรค CPP และพรรค CPP นั้นมีกองทหารอยู่ในมือเป็นจำนวนมาก ถ้าต้องการที่จะสร้างรัฐบาลใหม่จำต้องประนีประนอมกัน
จึงต่อรองจนได้เป็นรัฐบาลผสมที่มีนายกรัฐมนตรี 2 คน คือ สมเด็จกรมพระนโรดม รณฤทธิ์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่หนึ่ง ส่วนนายฮุน เซน ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่สอง แล้วก็ต่อสู้กันทางการเมืองต่อ
พ.ศ.2540 ความขัดแย้งทางการเมืองกลายเป็นการต่อสู้ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลทั้งสองพรรค ฮุน เซน ได้ออกมากล่าวหาว่า สมเด็จกรมพระนโรดม รณฤทธิ์ วางแผนจะยึดอำนาจโดยมีทหารเขมรแดงหนุนหลัง จึงสั่งให้ทหารในฝ่ายของตนจับกุมฝ่ายของฟุนซินเปก
5 กรกฎาคม พ.ศ.2540 เกิดการปะทะกลางกรุงพนมเปญ ทหารฝ่ายฮุน เซน สามารถยึดครองพื้นที่ได้ 90% ฝ่ายของสมเด็จกรมพระนโรดม รณฤทธิ์ ล่าถอยมาตั้งมั่นที่โอร์เสม็ด ติดแนวชายแดนที่จังหวัดสุรินทร์
จนถึงเดือนสิงหาคม พ.ศ.2540 ฮุน เซน เป็นฝ่ายชนะ สมเด็จกรมพระนโรดม รณฤทธิ์ ลี้ภัยไปฝรั่งเศส
4. หักคู่แข่ง ยุบพรรค
จนชนะเลือกตั้งทุกครั้ง
ถ้าใครไม่หนี ติดคุก
จากนั้นมากัมพูชาก็มีเลือกตั้งทุก 5 ปีอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งพรรค CCP ของฮุน เซน หลังจากพ่ายแพ้ครั้งแรก แต่การเลือกตั้งครั้งต่อมาก็ชนะได้ที่ 1 มาตลอด
พ.ศ.2541 : พรรค CPP ชนะได้ 64 ที่นั่ง จาก 122 ที่นั่ง
พ.ศ.2546 : พรรค CPP ชนะได้ 73 ที่นั่ง จาก 123 ที่นั่ง
พ.ศ.2551 : พรรค CPP ชนะได้ 90 ที่นั่ง จาก 123 ที่นั่ง
พ.ศ.2556 : พรรค CPP ชนะได้ 68 ที่นั่ง จาก 123 ที่นั่ง ครั้งนี้พรรค CNRP ภายใต้การนำของนายสม รังสี กวาดที่นั่งในสภาไปได้ 55 จาก 123 ที่นั่ง หรือคิดเป็น 44% สร้างความตกใจให้แก่พรรค ฮุน เซน
ดังนั้น ในปี 2560 เดือนพฤษภาคม 2017 ก่อนเลือกตั้ง 1 ปี ศาลกัมพูชามีคำสั่งให้ยุบพรรค CNRP และเพิกถอนสิทธิทางการเมืองของสมาชิกพรรคจำนวน 118 คน เป็นเวลา 5 ปี (เหมือนของไทยปี 2550-2551)
นายเกิม โสคา หัวหน้าพรรค ถูกจับในข้อหากบฏ สมรู้ร่วมคิดกับสหรัฐ โค่นล้มรัฐบาล ถูกตัดสินให้กักขัง 27 ปี ทำให้ ส.ส.ของพรรคพากันลี้ภัยไปอยู่ต่างแดน (นายสม รังสี อดีตหัวหน้าพรรค CNRP ซึ่งลี้ภัยทางการเมืองในประเทศฝรั่งเศสตั้งแต่ปี 2558)
ดังนั้น ปี 2561 พรรค CPP จึงชนะการเลือกตั้งทั้งหมด 125 ที่นั่ง เพราะคู่แข่งเป็นพรรคเล็กๆ
พ.ศ.2566 การเลือกตั้งทั่วไป พรรค CPP ชนะการเลือกตั้งทั้งหมด 120 ที่นั่ง จาก 125 ที่นั่ง เพราะ กกต.กัมพูชา ประกาศตัดสิทธิพรรคเพลิงเทียน หรือ Candlelight Party ที่เป็นพรรคฝ่ายค้านในเดือนพฤษภาคม ก่อนการเลือกตั้งที่จะจัดขึ้นในวันที่ 23 กรกฎาคม
อย่าเอาเล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิงและประสบการณ์ของฮุน เซน มาเทียบกับนักการเมืองไทย ต่อให้นักการเมืองที่เข้าร่วมการเมืองมาก่อนนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร 10 ปีก็ยังสู้ไม่ได้
ดูเล่ห์เหลี่ยมแบบเผด็จการแล้ว น่าจะเลียนแบบมาจากประเทศด้อยพัฒนา แม้สืบทอดอำนาจได้ แต่จะกลายเป็นกับดักหน่วงรั้งความเจริญก้าวหน้าของประเทศ
ล่าสุดคือการปลุกกระแสคลั่งชาติ ที่จะทำให้ประชาชนเดือดร้อน แต่ผู้มีอำนาจร่ำรวยอยู่สบาย ไฟไม่ดับ
การปลุกกระแสคลั่งชาติ แก้ปัญหาพื้นฐานไม่ได้ เป็นการแสดงโชว์ชั่วคราว เพื่อหวังผลการเมือง หลอกคนโง่ได้เพียงระยะสั้นเท่านั้น
เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต

