เว็บไซต์นี้ใช้คุ้กกี้เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีมีประสิทธิภาพยิ่งขี้น อ่านเพิ่มเติมคลิก (Privacy Policy) และ (Cookies Policy)
bg-single

ลายพิมพ์จังหวะลมหายใจ …เทคโนโลยีใหม่ระบุอัตลักษณ์บุคคล

03.07.2025

ทะลุกรอบ | ป๋วย อุ่นใจ

ลายพิมพ์จังหวะลมหายใจ

…เทคโนโลยีใหม่ระบุอัตลักษณ์บุคคล

“ลมหายใจอาจบอกอะไรได้มากกว่าที่คุณคิด”

งานวิจัยล่าสุดจากสถาบันวิทยาศาสตร์ไวซ์แมนน์ (Weizmann Institute of Science) ในอิสราเอลเผย “การหายใจของมนุษย์แต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน บางคนชอบหายใจสั้น บางคนชอบหายใจยาว บางคนชอบหายใจถี่ บางคนชอบหายใจแบบสูดฟีดหนึ่งทีต้องสูดลม (แถมพีเอ็ม) เข้าไปให้เต็มปอด และแบบแผนการหายใจแค่ยุบหนอ พองหนอที่ไม่เหมือนกันนี่แหละ สามารถเอามาใช้จำแนกอัตลักษณ์บุคคลได้”

งานวิจัยนี้เผยแพร่ออกมาในวารสาร Current Biology เมื่อสัปดาห์ก่อน ภายใต้ชื่อ “Humans have nasal respiratory fingerprints” หรือถ้าแปลไทยก็คือ “มนุษย์นั้นมีลายเซ็นลมหายใจ”

ในงานนี้ “โนอัม โซเบล (Noam Sobel)” นักประสาทวิทยาชื่อดังจากไวซ์แมนน์และทีมได้ออกแบบเครื่องวัดแบบแผนการหายใจแบบพกพา เอาไปติดไว้กับอาสาสมัครจำนวน 100 คน แล้วให้กลับไปใช้ชีวิตปกติเป็นเวลา 1 วัน (24 ชั่วโมง) แล้วกรอกมาว่าไปทำอะไรบ้าง

และเมื่อได้ข้อมูลมาแล้ว โนอัมและทีมก็เอาข้อมูลนี้ไปฟีดเพื่อเทรนเอไอ

ผลปรากฏว่าเอไอของพวกเขาสามารถจำแนกแบบแผนจังหวะลมหายใจที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละคนออกมาได้อย่างแม่นยำถึง 96.8 เปอร์เซ็นต์

เล่นเอาทุกคนสตั๊นต์ นะจังงังไปพักใหญ่

ที่สำคัญหลังจากทำการทดลองไปสองปี แล้วทดลองใหม่ ผลแบบแผนลมหายใจของแต่ละคนก็ยังค่อนข้างคงเดิม ไม่ได้เปลี่ยนอะไรมากมาย

นั่นหมายความว่า “จังหวะลมหายใจอาจจะถูกนำมาใช้เพื่อระบุอัตลักษณ์บุคคลได้ไม่ต่างจากลายนิ้วมือ”

ซึ่งเปิดอีกประเด็นน่าสนใจ สำหรับยุคที่เทรนด์การใช้เครื่องมือดิจิทัลเพื่อติดตามสัญญาณชีพ เช่น พวก wearable gadgets และอีกสารพัดเครื่องมือดิจิทัลที่สามารถบันทึกและวิเคราะห์ได้หมด ตั้งแต่อัตราการเต้นของหัวใจ ชีพจร ความดันโลหิต ระยะทางการวิ่ง หรือแม้แต่คุณภาพการนอน

เครื่องวัดจังหวะลมหายใจของโนอัม โซเบล

การติดตามจังหวะลมหายใจคงไม่ใช่จะเป็นเรื่องยากขนาดนั้น …สิ่งที่ต้องคำนึงถึงจึงเป็นเรื่องของ Privacy หรือความเป็นส่วนตัวของเจ้าของข้อมูล เพราะถ้าข้อมูลพวกนี้สามารถถูกเก็บและเอามาใช้ระบุตัวตนได้ และบางทีอาจถูกเอาไปใช้เทรนเอไอ อันนี้เป็นเรื่องใหม่ที่นักกฎหมายคงต้องมาขบคิดกัน ว่าจะตรากฎหมายยังไงดี

และแน่นอนมีคนถามเรื่องนี้กับโนอัม และเขาก็ตอบว่าในมุมของเขา เรื่องการบันทึกสัญญาณชีพหรือไม่ แต่ประเด็นคือจะบันทึกไว้เยอะและนานแค่ไหน เพราะถ้าบันทึกแค่สั้นๆ ไม่กี่นาที บางทีเราอาจจะไม่ต้องกังวล

“สิบนาทียังไม่พอ ยี่สิบนาทีก็ไม่พอ อย่างน้อยต้องยี่สิบสี่ชั่วโมงถึงจะเอามาวิเคราะห์ได้แม่นยำ” โนอัมกล่าว

ในมุมมองของนักประสาทวิทยา โนอัมมองว่ามันน่าจะเอาไปใช้อะไรได้มากกว่านั้น เพราะแบบแผนของการหายใจไม่ใช่แค่เรื่องของปอดและกล้ามเนื้อ แต่มันคือเสียงสะท้อนจากสมอง จังหวะความคิด การประมวลผลกลิ่น และความรู้สึกที่ไม่เคยพูดออกมา

นักวิทยาศาสตร์รู้ดีว่าศูนย์ควบคุมการหายใจอยู่ลึกในก้านสมอง และมีสายใยโยงใยกับพื้นที่อารมณ์ ความจำ ความกลัว และการตัดสินใจ

ดังนั้น ลมหายใจจึงอาจไม่ใช่แค่กลไกชีววิทยา แต่คือ ภาพสะท้อนของสมองของแต่ละคน และถ้าเรามองว่าสมองของแต่ละคนไม่เหมือนกัน จังหวะของการสูดลมหายใจเข้าและออกก็ไม่จำเป็นต้องเหมือนกันด้วยเช่นกัน

“นี่เป็นงานวิจัยที่อลังการมากจริงๆ” อาร์ติน อาร์ชาเมียน (Artin Arshamian) นักประสาทวิทยาจากสถาบันคาโรลินสกา ประเทศสวีเดน กล่าวด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความตื่นเต้นระคนคาดหวัง

เพราะถ้าลมหายใจคือหน้าต่างของสมอง และทุกจังหวะของการสูดลมเข้าไปคือสัญญาณจากวงจรภายในของสมอง

เราก็อาจสามารถฟังเสียงของโรคที่เงียบที่สุดอย่าง “โรคซึมเศร้า” ได้…ผ่านเสียงลมหายใจ

ในคนที่มีภาวะซึมเศร้า ลมหายใจเปลี่ยนไปจริงๆ อาจจะถี่ขึ้น ตื้นลง หรือเสียสมดุลแบบไร้เหตุผล แต่ที่ผ่านมา เรากลับไม่มีเครื่องมือไหนที่จะตรวจหามันได้อย่างจริงจัง

แต่เทคนิคของโนอัม ถ้าพัฒนาให้สมบูรณ์ อาจทำให้เราสามารถติดตามจังหวะลมหายใจของผู้ป่วยที่เปลี่ยนไปและสามารถเห็นสัญญาณของโรคที่กำเริบขึ้นมาได้แบบเรียลไทม์ก็เป็นได้

“เป้าหมายของเราไม่ได้หยุดแค่การวินิจฉัย” โนอัมกล่าวไว้ด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมความหวัง “เราต้องการก้าวไปให้ไกลกว่านั้น คือการรักษา และแม้เราจะยังพูดได้แค่ว่าวิธีนี้น่าจะมีหวัง แต่แค่นั้นก็เป็นก้าวเล็กๆ ที่สำคัญแล้ว”

“คำถามคือทำไมเราถึงเอาแต่คิดว่า ความเศร้าคือสาเหตุของลมหายใจที่ผิดปกติ แล้วทำไมไม่เคยมองกลับกันบ้าง…เป็นไปได้ไหมว่า ลมหายใจที่ผิดจังหวะต่างหาก คือจุดเริ่มต้นของความเศร้า” โนอัมถามต่อ

“ในเมื่ออัตราการหายใจมีผลต่อระดับพลังงานของร่างกาย และการหายใจไม่ดีอาจจะส่งผลให้เกิดอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยล้า เป็นไปได้มั้ยที่อาการเหล่านี้จะส่งผลต่ออาการซึมเศร้า”

เครื่องวัดจังหวะลมหายใจของโนอัม โซเบล

อาจจะเป็นคำถามที่ดูเรียบง่าย แต่กลับสั่นคลอนแนวคิดดั้งเดิมอย่างสิ้นเชิง ในเมื่อการหายใจสัมพันธ์กับพลังงานของร่างกายโดยตรง การหายใจที่ตื้น ถี่ หรือไม่สม่ำเสมอ อาจทำให้สมองได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ ทำให้เหนื่อยง่าย ง่วงซึม เบลอ หรือรู้สึกหมดเรี่ยวแรง อ่อนเพลีย แม้ไม่ได้ทำอะไร

เป็นไปได้มั้ยที่อาการพวกนั้นจะพัฒนาต่อไปเป็น “ภาวะซึมเศร้า”

และถ้ามองในมุมนั้น บางทีจุดเริ่มต้นของความเศร้า อาจไม่ได้อยู่ในสมองเพียงแค่อย่างเดียว แต่ยังอยู่ในกล้ามเนื้อ ปอด หัวใจ และจังหวะของลมหายใจ

ถ้าเราหายใจได้อย่างเหมาะสม บางทีโรคร้ายเหล่านี้ก็อาจจะทุเลาบรรเทาได้

และถ้าไอเดียของโนอัมเป็นจริง บางที…หนทางเยียวยาโรคร้ายในอนาคต อาจไม่จำเป็นต้องเริ่มจากตู้ยา หรือใบสั่งแพทย์ แค่เพียงการฟังลมหายใจของตัวเองให้ดีพอและปรับจังหวะการหายใจของตัวเองให้เกิดขึ้นอย่างมีสติและเหมาะสม ก็อาจเพียงพอที่จะคลายความหม่นมัวในสมอง

และลดความอ่อนล้าในหัวใจ

แนวคิดนี้ ทำให้ผมหวนคิดถึงวันเก่าๆ สมัยยังเป็นเด็กน้อยที่ถูกจับให้นั่งหลับตา ฝึกอานาปานสติ จำได้ว่าในตอนนั้น ครูให้สูดหายใจลึกๆ เอาให้เต็มปอด แล้วปล่อยออกอย่างแผ่วเบา ท่อง “ยุบหนอ…พองหนอ…” ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนจิตเริ่มนิ่ง และความฟุ้งซ่านเริ่มเบาบาง

แม้ตอนนั้นนิวรณ์จะคอยตีขนาบซ้ายขวาอยู่ตลอดเวลา

เดี๋ยวก็อยากขยับ เดี๋ยวก็คิดถึงข้าวเที่ยง เดี๋ยวก็สงสัยว่าอีกนานไหมจะได้ลืมตา

นั่งไปนั่งมาก็แอบสงสัยว่าเพื่อนข้างๆ จะแอบลืมตามองเราหรือเปล่า

แต่พอใจสงบ หัวใจกลับรู้สึกผ่องแผ้วขึ้นอย่างประหลาด…

ถ้ามองในมุมนี้ ในโลกที่หมุนเร็วขึ้นทุกวันด้วยแรงผลักของเทคโนโลยี บางที…การนั่งเงียบๆ อยู่กับตัวเอง ทบทวนสิ่งที่ทำ ไปจนถึงการฝึกหายใจอย่างมีสติ อาจไม่ใช่แค่ “กิจกรรมผ่อนคลาย”

แต่อาจเป็น “เทอราปีทางสมอง” ที่ทรงพลังพอๆ กับยา หรือสปาใดๆ

น่าสนใจไม่น้อย เพราะถ้ามองในแง่ของ neuroplasticity หรือแนวคิดที่ว่าสมองไม่ได้หยุดนิ่ง แต่สามารถปรับเปลี่ยนและฟื้นฟูตัวเองได้

เรื่องอย่าง Mindfulness และ meditation จึงไม่ใช่แค่กิจกรรมเพื่อความสงบใจอีกต่อไป แต่มันกลายเป็นเครื่องมือทางการแพทย์ที่มีการศึกษาในระดับสมอง และมีเปเปอร์รองรับออกมามากมาย

หนึ่งในงานแนวๆ นี้ที่น่าสนใจ ก็คืองานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร PNAS เมื่อปี 2009 ของอี้หยวน ถัง (Yi-yuan Tang) นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยต้าเหลียน (Dalian University) กับมหาวิทยาลัยโอเรกอน (The University of Oregon) ที่พบว่า การฝึกสมาธิภายในเวลาเพียง 5 วันก็สามารถช่วยเพิ่มความสามารถในการควบคุมตนเอง ลดความเครียด และเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานของสมองบางส่วนได้อย่างชัดเจนทั้งในระดับพฤติกรรมและการทำงานของระบบประสาท

ทั้งหมดนี้ยิ่งตอกย้ำว่า แนวคิดของโนอัม ที่พยายามอ่าน “ลายเซ็นของลมหายใจ” ให้เข้าไปถึงระดับการแพทย์เชิงลึก ไม่ได้เป็นแค่เรื่องฟุ้งซ่านลอยลม แต่มันตั้งอยู่บนฐานของทั้งศาสตร์เก่าอย่างสมาธิ และเทคโนโลยีใหม่อย่าง AI และเครื่องมือวัดสมอง

คงต้องติดตามต่อว่าเทคโนโลยีจากห้องแล็บของโนอัม จะสามารถพลิกโลกการวินิจฉัยและบำบัดในทางจิตเวช หรือแม้แต่การดูแลสุขภาพจิตแบบไม่พึ่งยา ได้จริงหรือไม่ เพราะบางทีคำตอบของคำว่า “สุขภาพจิต” อาจไม่อยู่ที่หัวใจหรือความคิด

แต่อยู่ที่จังหวะของลมหายใจ…ที่เรามองข้ามมานาน

แต่ที่น่าตกใจคือแค่ไม่กี่วันหลังจากที่เปเปอร์ของโนอัมเผยแพร่ออกมา ผมก็ได้ข่าวจากเพื่อนนักวิจัยของผมส่งข้อความมาในแมสเซนเจอร์ด้วยความช็อก ที่แนบมาเป็นภาพของตึกวิจัยที่กำลังถูกไฟเผาผลาญ และตึกนั้นคือตึกของสถาบันวิทยาศาสตร์ไวซ์แมนน์ที่ที่โนอัมอยู่ พวกเขาโดนลูกหลงจากความขัดแย้งระหว่างอิหร่าน-อิสราเอลเข้าอย่างจัง

แรงระเบิดจากมิสไซล์ไม่ได้เพียงแค่ทลายกำแพงตึก แต่กำลังตอกย้ำว่า…ในสงคราม ไม่มีพื้นที่ไหนปลอดภัย แม้แต่ในมหาวิทยาลัย หรือห้องแล็บทางวิทยาศาสตร์ที่ไม่เกี่ยวอะไรเลยกับความขัดแย้ง

แม้ยังไม่มีรายงานความเสียหายอย่างเป็นทางการ แต่แหล่งข่าววงในประเมินว่า ความเสียหายน่าจะไม่ต่ำกว่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 16,500 ล้านบาท

หลายตึกได้รับความเสียหายโดยตรง ห้องแล็บหลายร้อยต้องหยุดทำงานอย่างไม่มีเงื่อนไข นักวิจัยอีกนับพันไม่รู้จะกลับไปเจออะไร อาจจะเป็นตู้เลี้ยงเซลล์ที่ถูกไฟไหม้จนละลาย หรือเนื้อเยื่อทางการแพทย์ที่เก็บมานานนับสิบปี ซึ่งอาจไม่มีตัวอย่างใหม่ให้เก็บได้อีกแล้ว และนั่นยังไม่นับรวม “สิ่งที่เงินซื้อไม่ได้” อย่างข้อมูลดิบ นวัตกรรมที่กำลังจะเสร็จ ต้นแบบเทคโนโลยีชีวภาพที่ยังไม่ทันได้จดสิทธิบัตร

ผมไม่รู้ว่าสภาพห้องแล็บของโนอัมตอนนี้เป็นอย่างไร แต่ก็ได้แค่หวังว่าเขาและทีมจะปลอดภัย และมีโอกาสกลับไปสานต่อสิ่งที่เริ่มไว้

เพราะบางที งานวิจัยเล็กๆ ที่เริ่มจากลมหายใจ อาจกลายเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่จะช่วยเยียวยาหัวใจของโลกใบนี้ได้ในวันที่สิ้นหวัง



เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต

เริ่มแล้ว! “Thai–Chinese Golden Fest 2025 เทศกาลร้อยเรื่องราวไทย–จีน” เทศกาลประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญแห่งปี
ฟังเสียง ‘เยาวชน’ | ปราปต์ บุนปาน
“One Plan” โมเดลใหม่ ขับเคลื่อนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สู่การพัฒนาที่ยั่งยืนในทุกพื้นที่
ตลาด..ชีวิตและความหวัง | เรื่องสั้น : มีนา ฟ้าศุกร์
ทำเล
ไม้ดัดในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร | กวีกระวาด : สิริวตี
ดาวกับดวงวันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม 2568
‘กฤษฎีกา-เพื่อไทย’ มองต่างมุม ไพ่ในมือรักษาการนายกฯ ผ่าทางตัน ‘ยุบสภา’ ได้หรือไม่ได้
ภาษีปนาวุธ ทรัมป์ถล่มข้ามทวีป ทีมไทยแลนด์ร่อแร่
‘ภูมิธรรม’ จัดแถวมหาดไทย ล้างบาง ‘สิงห์น้ำเงิน’ ประเดิมย้าย 2 อธิบดีเข้ากรุ จับตา ‘เขากระโดง’ เปิดแผล ‘ปราสาทสายฟ้า’
แค่ลมหายใจ ก็รู้ทันใดว่าอ้วน!!
การปกครองเปลี่ยน-แฟชั่นปรับ : แฟชั่นสมัยคณะราษฎร-สงคราม (12) เจ้านายสนับสนุนรัฐนิยมในสมัยสร้างชาติ