
“ฝ่ายค้านกัมพูชา” ก็ใช้ “ชาตินิยมเป็นเครื่องมือ” ไม่น้อยไปกว่า “ฮุนเซน”

แนวคิด “ชาตินิยม” ได้กลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองสำคัญในกัมพูชา ในการช่วงชิงอำนาจระหว่างรัฐบาลและฝ่ายค้านมาหลายทศวรรษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้การนำของสมเด็จฮุน เซน ซึ่งครองอำนาจมายาวนาน
ที่จริง สถานการณ์การเมืองในกัมพูชาที่ร้อนแรงขึ้นจาก “เกมการเมืองชาตินิยม” ขณะนี้ มิใช่เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
เป็นที่รู้กันว่า ที่ผ่านมา สมเด็จฮุน เซน มักหยิบยกประเด็นอธิปไตยและเขตแดน เช่น ปราสาทเขาพระวิหาร หรือปัญหาแนวเขตแดนกับไทย มาใช้กระตุ้นอารมณ์ชาตินิยมของประชาชน เพื่อสร้างความชอบธรรมในการปกครอง และเบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหาภายในประเทศ เช่น คอร์รัปชันและการละเมิดสิทธิมนุษยชน
- การปลุกกระแสชาตินิยมจากฝั่งรัฐบาล
เหตุการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ระลอกล่าสุด เริ่มจากเหตุการณ์วันที่ วันที่ 13 ก.พ. 2568 ประชาชนกัมพูชาและทหารกัมพูชาขึ้นไปบนปราสาทตาเมือนธม อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ตั้งอยู่ในพื้นที่อธิปไตยของไทย และร้องเพลงชาติกัมพูชา ฝ่ายไทยยื่นหนังสือประท้วงอย่างเป็นทางการ
จากนั้น วันที่ 27 ก.พ. 2568 พล.อ.เมา โซะพัน ผู้บัญชาการทหารบกกัมพูชา ลงพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต พร้อมส่งทหาร 80 นาย พร้อมอาวุธประจำกายในพื้นที่ช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี มีการตำหนิกำลังพลทหารกัมพูชาว่าเหตุปล่อยให้ทหารไทยมาทำกิจกรรมทางศาสนาที่ศาลาตรีมุข
วันที่ 1 มี.ค. 2568 เกิดเหตุเพลิงไหม้ศาลาตรีมุข สัญลักษณ์มิตรภาพ ไทย-ลาว-กัมพูชา หน่วยในพื้นที่ได้รับข่าวสารว่ามีทหารกัมพูชาพร้อมอาวุธ เข้ามาวางกำลัง พร้อมดัดแปลงพื้นที่ รุกล้ำเข้ามาในเขตประเทศไทย บริเวณช่องบก ประมาณ 150 เมตร
เช้าวันที่ 28 พ.ค. 2568 ก็เกิดการปะทะขึ้น ฝ่ายไทยอ้างว่าได้จัดกำลังลาดตระเวนพิสูจน์ทราบตามปกติ แต่ฝ่ายกัมพูชาได้ใช้อาวุธปืนยิงฝ่ายไทยก่อน จึงเกิดการปะทะกันขึ้น โดยต่างฝ่ายชี้แจงไม่ตรงกัน ขณะที่ฝั่งกองทัพกัมพูชาก็ยืนยันว่าฝ่ายไทยเป็นฝ่ายยิงก่อน
ทันทีที่เกิดเหตุการณ์ รัฐบาลกัมพูชา ฮุน เซน โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก โดยเรียกประเทศไทยว่าเป็นกองทัพผู้รุกราน โดยยืนยันว่าพื้นที่ช่องบกรวมถึงปราสาทตาเมือนธม, ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควายเป็นของกัมพูชา และประกาศว่าจะไม่ถอนทหารออกจากจุดปะทะที่ช่องบก
ฮุน เซน อ้างกองทัพกัมพูชาประจำการอยู่ในพื้นที่ มาตั้งแต่ก่อนข้อตกลงสันติภาพปารีสในปี 1973 และก่อนที่จะมีการลงนาม MOU43 และระบุว่าองค์การบริหารชั่วคราวแห่งสหประชาชาติในกัมพูชา (UNTAC) สามารถเป็นพยานได้
รัฐบาลกัมพูชาเดินเกมเร็ว วันที่ 2 มิถุนายน 2568 ฮุน เซน โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่าสภานิติบัญญัติแห่งชาติและวุฒิสภา มีมติเห็นชอบด้วยคะแนนเสียง 182 เสียง ต่อแผนการดำเนินการของ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ในการยื่นข้อพิพาทชายแดนระหว่างกัมพูชากับไทยต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือ ศาลโลก (ICJ)
รัฐสภากัมพูชาได้ตอบรับท่าทีของผู้นำในการลงมติด้วยคะแนนเสียง 182 เสียง ให้ส่งเรื่องพื้นที่พิพาท 4 แห่ง ได้แก่ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย และพื้นที่สามเหลี่ยมมรกตไปยังศาลโลก เพื่อให้มีการพิจารณาตัดสินอย่างเป็นทางการ

- ฝ่ายค้านกับการปลุกกระแสมอง “ไทย” เป็นอริ
นอกจาก ฮุน มาเน็ต นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน และสมเด็จฯ ฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้เป็นบิดา ความพยายามขับเคลื่อนกระแสชาตินิยมยังถูกขับเคลื่อนอย่างแข็งขันจากนายสม รังสี อดีตผู้นำฝ่ายค้านที่ลี้ภัยในต่างประเทศ ซึ่งพยายามปลุกกระแสชาตินิยมเขมร สร้างประเทศไทยเป็นศัตรู เพื่อเป้าหมายทางการเมืองสูงสุดคือการโค่นล้มอำนาจของตระกูล “ฮุน”
เริ่มจากช่วงปลายปี 2567 นายสม รังสี ได้เริ่มจุดชนวนกระแสรักชาติขึ้นมา ครั้งนั้นใช้ประเด็น “เกาะกูด” ซึ่งเป็นพื้นที่ข้อพิพาททางทะเลระหว่างไทยและกัมพูชา เป็นแกนหลักในการปลุกระดมผู้สนับสนุน ท่ามกลางแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นต่อรัฐบาลกัมพูชาชุดใหม่ที่นำโดยนายฮุน มาเน็ต
นายสม รังสี ซึ่งเคลื่อนไหวผ่านเครือข่ายของพรรค CNRP ได้จัดการประท้วงในหลายประเทศสำคัญที่มีชาวกัมพูชาพลัดถิ่นและกลุ่มเยาวชนจำนวนมากอาศัยอยู่ เช่น เกาหลีใต้ สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น โดยมีข้อเรียกร้องหลักให้รัฐบาลกัมพูชาเร่งดำเนินการอ้างสิทธิ์เหนือเกาะกูดอย่างเป็นทางการ หรือยื่นเรื่องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) พร้อมกล่าวอ้างว่ารัฐบาลไทยได้ละเมิดข้อตกลงบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี พ.ศ. 2544 ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำเขตแดนทางทะเล ซึ่งข้อกล่าวอ้างนี้ถูกนำมาใช้เพื่อตั้งคำถามต่อความเข้มแข็งและประสิทธิภาพของรัฐบาลฮุน มาเน็ต ในการปกป้องอธิปไตยของชาติ และมีเป้าหมายสูงสุดคือการสั่นคลอนและโค่นล้มอำนาจของตระกูลฮุน
- อ้างไทยไม่เคารพอธิปไตย เพราะผู้นำเขมรอ่อนแอ
เมื่อวันที่ 11 มิถุนายนที่ผ่านมา นายสม รังสี ได้โพสต์ข้อความผ่านบัญชีเฟซบุ๊กส่วนตัวอย่างดุเดือด โดยระบุว่า “ประเทศเพื่อนบ้านไม่ให้ค่ากัมพูชา เพราะเขารู้ว่าเรามีผู้นำที่อ่อนแอและฉ้อฉล” ซึ่งข้อความดังกล่าวถูกขยายความเพิ่มเติมในคอมเมนต์ใต้โพสต์ว่า “เขารังแก เขาขู่ เขาไม่ให้ค่ากัมพูชา เขาไม่เคารพอำนาจอธิปไตยของประเทศเรา เพราะรู้ว่าเขมรมีผู้นำอ่อนแอ ผู้นำที่ฉ้อฉล ไม่เคยคิดปกป้องบูรณภาพแห่งดินแดนของเราอย่างแท้จริง”
นายสม รังสี ยังพุ่งเป้าโจมตีไปที่จุดอ่อนที่เขาอ้างว่าตระกูลฮุนมีต่อประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากธุรกิจสีเทาบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา เขาระบุว่า “พวกเขารู้จุดอ่อนของฮุนเซน และฮุน มาเนต ที่กลัวจะสูญเสียอำนาจ แค่เรื่องสังหาร “ลิม กิมยา” ไทยก็ใช้ขู่ตระกูลฮุนได้ หากประเทศไทยตัดไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ตในปอยเปต และพื้นที่บ่อนการพนันอื่นๆ ตระกูลฮุนคงสูญเสียรายได้จากอาชญากรรมออนไลน์ และนี่คือเหตุผลที่ตระกูลฮุนกลัวที่จะเผชิญหน้ากับไทยในข้อพิพาทชายแดน”
การโจมตีนี้ยังรวมไปถึงประเด็นความแข็งแกร่งของกองทัพกัมพูชา โดยนายสม รังสี อ้างว่า “กองทัพแห่งชาติกัมพูชาก็ไม่มีอาวุธสมัยใหม่เหมือนกับบอดี้การ์ดฮุนเซน กองทัพแห่งชาติไม่มีแม้แต่อาหารกิน อุปกรณ์ความปลอดภัยไม่เพียงพอ” ซึ่งเป็นการตอกย้ำภาพลักษณ์ที่อ่อนแอของรัฐบาลฮุน มาเน็ต และระบุว่า “ชีวิตของนายซวน โรน และชีวิตของทหารที่เสียสละเพื่อปกป้องชายแดน ถูกใช้เป็นเกมการเมืองเพื่อปกป้องอำนาจของตระกูลฮุน”

- ยก “ตระกูลฮุน-ตระกูลทักษิณ” สนิทกัน
นอกจากประเด็นชายแดนและอธิปไตย นายสม รังสี ยังได้ขยายแนวทางการโจมตีไปยังความสัมพันธ์ระหว่างตระกูล “ฮุน” ของกัมพูชา และตระกูล “ทักษิณ” ของไทย โดยมีการโพสต์ภาพการ์ตูนล้อเลียนคล้ายสมเด็จฮุน เซน และนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไทย โดยนายทักษิณถือไพ่ที่มีภาพคล้ายนายลิม กิมยา อดีต ส.ส.ฝ่ายค้านกัมพูชา ที่ถูกสังหารกลางกรุงเทพฯ เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา
นายสม รังสี อ้างว่า “ตำนานของพวกเขากำลังถูกใช้ประโยชน์เป็นเพียงเครื่องมือทางยุทธศาสตร์ เพื่อให้ตระกูลฮุนอยู่ในอำนาจต่อไป พร้อมๆ กับปกป้องผลประโยชน์ของกลุ่มการเมืองทักษิณในประเทศไทย” และชี้ว่าความสัมพันธ์ “ฮุน เซน-ทักษิณ” เป็นเหมือนพี่น้องทางธรรม ที่มีการจัดการทางการเมืองเพื่อป้องกันภัยคุกคามทางการเมืองและการทหารในประเทศตัวเอง ภายใต้หลักการที่ว่า “คุณปกป้องฉัน ฉันก็ปกป้องคุณ” การเชื่อมโยงนี้เป็นการพยายามสร้างภาพว่ารัฐบาลกัมพูชาไม่สามารถดำเนินการปกป้องผลประโยชน์ของชาติได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากมีความผูกพันและผลประโยชน์ร่วมกับนักการเมืองไทย
- สร้างข้อกล่าวหา “กลัวไทย”
เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2568 นายสม รังสี ได้โพสต์คลิปวิดีโออ้างว่า ทหารไทยกำลังดำเนินการสร้างรั้วลวดหนามรุกล้ำพรมแดนกัมพูชาที่จังหวัดอุดรมีชัย โดยมีทหารกัมพูชาพยายามห้ามปรามแต่ทหารไทยไม่หยุด การโพสต์คลิปและข้อกล่าวหาดังกล่าวถูกใช้เป็นเครื่องมือในการตอกย้ำว่ารัฐบาลฮุน เซน และฮุน มาเน็ต ไม่กล้าเผชิญหน้ากับไทย
นายสม รังสี ฉวยโอกาสนี้โจมตีว่า “สมเด็จฮุน เซน กล้าแต่กับคนกัมพูชา ไม่กล้าสั่งทหารปะทะกับทหารไทย เพราะกลัวเกิดสงคราม แล้วจะไปกระทบนายกฯ แพทองธาร ซึ่งเป็นบุตรบุญธรรมของสมเด็จฮุน เซน อาจหลุดจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี” ซึ่งเป็นการโยงประเด็นทางการเมืองภายในของไทยเข้ามาเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจของผู้นำกัมพูชา
อย่างไรก็ตาม กระทรวงกลาโหมกัมพูชาได้ออกคำชี้แจงเพื่อตอบโต้ข้อกล่าวหาเหล่านี้ โดยระบุว่าไม่มีการถอนหรือถอยกำลังทหารออกจากแนวชายแดน มีเพียงการปรับกำลังทหารเท่านั้น ซึ่งเป็นการพยายามสยบข่าวลือและลดทอนความพยายามของฝ่ายต่อต้านที่ต้องการ “เล่นเกมปล่อยข่าวเสี้ยม กัดเซาะรัฐบาลฮุน มาเน็ต”

- สม รังสี คู่แค้นฮุนเซน ยาวนาน
สม รังสี เป็นหนึ่งในนักการเมืองที่โดดเด่นในประวัติศาสตร์กัมพูชา เขาเริ่มมีบทบาทสำคัญในช่วงที่สหประชาชาติตั้งองค์กร UN Transitional Authority in Cambodia (อันแทค) ในปี 2533 เพื่อฟื้นฟูสันติภาพและประชาธิปไตยในกัมพูชา จนมีการเลือกตั้งในปี 2536 ซึ่งมีประชาชนออกมาใช้สิทธิถึง 4.2 ล้านคน สมในวัยสี่สิบต้นๆ ขณะนั้น เป็นหนึ่งในสมาชิกสภา 120 คน และได้รับเลือกตั้งจากจังหวัดเสียมราฐในนามพรรคฟุนซินเปก ฝ่ายนิยมกษัตริย์
แม้พรรคฟุนซินเปกจะชนะเลือกตั้งได้ ส.ส. มากกว่าพรรคของฮุน เซน แต่ฮุน เซนไม่ยอมรับผล จึงต้องมีนายกรัฐมนตรีร่วม ส่งผลให้การเมืองกัมพูชาเต็มไปด้วยความขัดแย้ง ภายหลังสม รังสีถูกปลดจากตำแหน่งรัฐมนตรีคลัง และถูกขับออกจากพรรคฟุนซินเปก เขาจึงก่อตั้งพรรคใหม่ชื่อ ‘พรรคสม รังสี’ และลงเลือกตั้งในปี 2541 แม้ได้คะแนนเสียงมาก แต่กลับถูกลดจำนวนที่นั่งจากสูตรคำนวณของ กกต. ซึ่งอยู่ภายใต้อิทธิพลของฮุน เซน
พรรคของสมได้รับคะแนนนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในหมู่คนรุ่นใหม่ แต่ยังคงเผชิญอุปสรรคจากระบบที่ไม่โปร่งใส เขาจึงร่วมก่อตั้งพันธมิตรประชาธิปไตย ต่อต้านการครองอำนาจของฮุน เซน การต่อสู้ของสม รังสี ถือเป็นสัญลักษณ์ของความพยายามในการเรียกร้องประชาธิปไตยท่ามกลางความไม่ยุติธรรมทางการเมืองในกัมพูชา
- ทำไมกัมพูชา ไม่ปลุกกระแสชาตินิยมกับเวียดนาม
นักวิเคราะห์อย่างสุนัย ผาสุก นักวิจัยด้านสิทธิมนุษยชนจาก (Human Right Watch) เคยชี้ว่าแม้ประวัติศาสตร์กัมพูชาจะมีการเสียดินแดนให้เวียดนามมายาวนานเช่นเดียวกับไทย แต่การที่กัมพูชาในยุคของสมเด็จฯ ฮุน เซน ไม่ค่อยปลุกกระแสชาตินิยมกับเวียดนาม เนื่องมาจากเหตุผลหลักๆคือ เวียดนามมีบุญคุณในทางประวัติศาสตร์การโค่นล้มเขมรแดงในปี 1979 ซึ่งช่วยยุติการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และปลดปล่อยชาวกัมพูชาจำนวนมาก ฮุน เซน และพรรคของเขาได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากเวียดนามในการขึ้นสู่อำนาจและรักษาอำนาจไว้ตลอดทศวรรษ 1980
เวียดนามจึงมีความผูกพันทางการเมืองและอุดมการณ์ต่อชนชั้นนำทางการเมืองของกัมพูชา และรัฐบาลภายใต้ฮุน เซน แม้จะมีความพยายามสร้างภาพลักษณ์เป็นอิสระมากขึ้นในปัจจุบัน แต่สายสัมพันธ์นี้ยังคงอยู่เบื้องหลัง ดังนั้น แม้จะมีความบาดหมางทางประวัติศาสตร์ แต่ความผูกพันทางอำนาจและผลประโยชน์ในปัจจุบันทำให้การปลุกกระแสชาตินิยมกับเวียดนามไม่เป็นประโยชน์ทางการเมืองเท่ากับการปลุกกระแสกับไทย
จะเห็นได้ว่า สถานการณ์ความตึงเครียดที่กำลังปะทุขึ้นนี้ สะท้อนให้เห็นถึงพลวัตทางการเมืองที่ซับซ้อนภายในกัมพูชา ซึ่งฝ่ายค้านพยายามใช้ประเด็นชาตินิยมและข้อพิพาทกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประเทศไทย มาเป็นเครื่องมือในการท้าทายอำนาจของรัฐบาลตระกูลฮุนไม่น้อยไปกว่ารัฐบาลกัมพูชา
ดังนั้นนอกจากเข้าใจความคิดทางการเมืองของฝ่ายรัฐบาลกัมพูชาแล้ว ก็จำเป็นที่จะต้องความซับซ้อนทางการเมืองันเกิดจากฝ่ายค้านด้วย เพื่อการหาทางออกจากวิกฤตความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้อย่างตรงจุด
เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต

