

หลังลับแลมีอรุณรุ่ง | ธงทอง จันทรางศุ
แผนรองรับการเปลี่ยนผ่าน
วันเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมาผมมีนัดหมายกับเพื่อนที่เรียนหนังสือในคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยด้วยกันมาตั้งแต่ปี 2516 ไปท่องเที่ยวมีกำหนดการสองวันหนึ่งคืนที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยแบ่งหน้าที่กันทำ
ตกลงว่าผมดูแลเรื่องการกำหนดโปรแกรมเที่ยว จองร้านอาหาร และเป็นมัคคุเทศก์อาสาสมัคร
เพื่อนอีกคนหนึ่งดูแลเรื่องยานพาหนะ การเก็บเงินค่าใช้จ่ายกองกลาง และการเบ็ดเตล็ดต่างๆ เช่น ไวน์ และของขบเคี้ยว
ส่วนคนสุดท้าย ทำหน้าที่จองโรงแรม และ “ดูแล” อาหารมื้อค่ำในโรงแรม ที่พัก
โปรดสังเกตคำว่า “ดูแล” ในที่นี้ว่ามีความหมายลึกซึ้งกว้างขวางยิ่งนัก
คำคำเดียวในภาษาไทย เมื่อไปใช้ต่างที่ต่างความกัน ก็มีความหมาย แปลกเปลี่ยนกันไปได้มาก เช่น สาวสวยคนหนึ่งมีเสี่ยคอย “ดูแล” หรือบ่อนตรงนี้ มีเจ้าหน้าที่ช่วย “ดูแล” จึงไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครบุกเข้ามาจับ
เห็นแบ่งปันหน้าที่กันเป็นหลายฝ่ายอย่างนี้ อย่านึกว่าไปกันเป็นร้อยคนนะครับ นับสมาชิกเดินทางด้วยกันทั้งหมดแล้วมีจำนวนแค่สิบสี่คน ไม่ขาดไม่เกิน
แต่แรกตั้งเป้าหมายไว้ประมาณสักยี่สิบกว่าคน แต่อย่างว่าแหละครับ อายุมาถึงวัย 70 ปีทั่วกันแล้ว พอใกล้วันเดินทางสมาชิกที่แจ้งความจำนงไว้ก็ค่อยหดหายไปทีละคนสองคนด้วยสาเหตุต่างๆ
เรื่องอย่างนี้ไม่ว่ากันครับ ผมก็เคย “เท” การเดินทางที่คนอื่นเป็นผู้จัดมาแล้วหลายครั้ง แต่ว่าครั้งนี้ตัวเองร่วมเป็นคนจัดกิจกรรม เลยไม่รู้จะเทกันอย่างไร
วันเสาร์ซึ่งเป็นวันแรกที่ออกเดินทาง ผมเกิดมีการประชุมสำคัญซ้ำซ้อนขึ้นมา ยังต้องใช้วิธีประชุมออนไลน์อยู่บนรถระหว่างเดินทางไปอยุธยาเลยครับ ไปถึงปลายทางก็เลิกประชุมพอดี
การเดินทางท่องเที่ยวครั้งนี้เราเข้าไปเยี่ยมชมสถานที่ที่น่าสนใจหลายแห่ง แน่นอนว่าถ้าเป็นวัด ได้แก่ วัดสุวรรณดาราราม และวัดเสนาสนาราม ย่อมไม่มีการขายบัตรหรือเก็บเงินค่าผ่านประตูอยู่แล้ว และเป็นวิสัยปกติเช่นเดียวกันที่เราจะทำบุญในวัดทั้งสองแห่งตามศรัทธา
แหล่งท่องเที่ยวของเราอีกประเภทหนึ่ง คือสถานที่ที่อยู่ในความดูแลของกรมศิลปากร ได้แก่ นิทรรศการเครื่องทองสมัยอยุธยาในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา และโบราณสถานวัดไชยวัฒนาราม
สองแห่งนี้ เราทุกคนเดินเข้าไปชมอย่างองอาจผึ่งผาย ด้วยความมั่นใจว่าไม่ต้องเสียค่าบัตรผ่านประตูเข้าชมเป็นแน่ เพราะกรมศิลปากรยกเว้นให้ผู้สูงอายุที่มีอายุเกิน 60 ปีเข้าชมฟรี
การเข้าชมสถานที่ทั้งสองแห่งนี้จึงเป็นการเข้าชมแบบ “ชมฟรี มีเกียรติ” อย่างเต็มภาคภูมิ
วันอาทิตย์รุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันเดินทางกลับเข้าพระนคร ช่วงสายคณะของเราแวะไปชมพิพิธภัณฑ์ศิลป์แผ่นดิน ที่ ต.เกาะเกิด อ.บางไทร ที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ปกติแล้วคิดค่าเข้าชมคนละ 150 บาท แต่มีกติกายกเว้นว่า ถ้าอายุเกิน 60 ปีขึ้นไปแล้วได้ลดราคาครึ่งหนึ่ง เราทุกคนจึงจ่ายค่าบัตรผ่านประตูคนละ 75 บาทถ้วนจากเงินกองกลาง
นี่เป็นอานิสงส์อย่างหนึ่งของการที่มีอายุเกิน 60 ปี นอกเหนือจากสิทธิที่บางคนได้เงินดูแลช่วยเหลือผู้สูงอายุจากทางราชการ เดือนละ 600 บาท และเพิ่มขึ้นในอัตราเดือนละหนึ่งร้อยบาทตามจำนวนอายุที่เพิ่มสูงขึ้นทุกรอบสิบปี
แต่สมาชิกที่ไปด้วยกันทั้ง 14 คนไม่มีใครได้เงินจำนวนที่ว่านั้น ต้องบอกว่าเราทุกคนโชคดีที่ยังมีบำเหน็จบำนาญหรือรายได้เล็กๆ น้อยๆ พอเลี้ยงดูตัวเองได้โดยไม่ต้องรบกวนเงินของหลวงแบบนั้น
แต่คนไทยทั้งประเทศไม่ได้โชคดีแบบคน 14 คนนี้เสมอไป
เมื่อหลายปีก่อนเราเคยมีข้อมูลว่าในอนาคตอีกเท่านั้นเท่านี้ปี สังคมไทยจะเป็นสังคมผู้สูงอายุเต็มรูป
แต่ความจริงที่เกิดขึ้นปรากฏว่าเราก้าวเข้าสู่สถานะความเป็นสังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบแล้วเร็วกว่ากำหนดที่คาดหมายไว้ไปหลายปี
แต่พูดก็พูดเถิดนะครับ ในความเห็นส่วนตัวของผมแล้ว การรับมือกับการที่สังคมไทยเป็นสังคมผู้สูงอายุแบบนี้เรายังทำได้ไม่เต็มที่ ยังต้องคิดอะไรต่อมิอะไรอีกหลายอย่างเพื่อรองรับสถานการณ์ที่เป็นอยู่และจะเป็นไปในวันข้างหน้า
ลำพังเพียงแค่การไม่คิดบัตรค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์กับการจ่ายเงินเดือนให้คนอายุ 60 ปีขึ้นไป คนละ 600 บาทนั้น ยังไม่ตอบโจทย์หรือความต้องการที่แท้จริงได้ครบถ้วน
แม้กระทั่งการที่บอกว่าอายุ 60 ปีเป็นการขีดเส้นแบ่งว่า คนนี้คนนั้นเข้าเขตวัยชราและควรหยุดทำงานได้แล้ว ก็เป็นเรื่องที่สมควรจะได้มีการพิจารณาทบทวนโดยรอบคอบ ว่าสำหรับผู้ที่อายุเกิน 60 ปีขึ้นไป แต่สุขภาพยังใช้การได้ จะสมควรทำงานต่อไปหรือไม่
และงานที่ทำนั้นก็ต้องเหมาะสมกับสุขภาพร่างกาย จะให้ไปแบกหามอะไรไม่ได้หรอกครับ แต่ก็ยังมีงานอีกหลายอย่างที่ยังพอทำไหว
ตัวอย่างเช่น ถ้ายังแข็งแรงพอ จะเป็นอาจารย์สอนหนังสือในฐานะเป็นอาจารย์พิเศษของโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยต่างๆ ไปจนอายุประมาณสัก 65 ปีก็เห็นจะพอได้ แต่อย่าลุกขึ้นไปเป็นผู้อำนวยการหรือคณบดีเป็นอันขาด ปล่อยให้น้องๆ เขาเป็นไปเถิดครับ
ในสมัยเมื่อผมเป็นวัยรุ่นกำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย กฎหมายในสมัยนั้นให้อำนาจที่จะ “ต่ออายุราชการ” ให้กับนายทหารใหญ่ตำแหน่งสำคัญทั้งหลาย ที่จะไม่ต้องเกษียณอายุตอน 60 ปี แต่มีการต่ออายุราชการได้ไปเรื่อยๆ ทีละปี โดยครองตำแหน่งสำคัญไว้เหมือนเดิม
เช่น เป็นผู้บัญชาการทหารบกอายุครบ 60 ปีแล้ว ก็ต่ออายุราชการอีกปีหนึ่งจะเป็นไรไป ทำแบบนี้รองผู้บัญชาการทหารบกก็อึดอัด เพราะนายไม่ยอมเกษียณเสียที ชะดีชะร้าย เมื่อรองผู้บัญชาการทหารบกอายุ 60 ปีบ้าง ผู้ใหญ่เกิดไม่ต่ออายุขึ้นมา ทำพิธีสืบชะตาให้แต่เฉพาะ ผบ.ทบ. แบบนี้ก็ไม่สนุกเลยสำหรับคนเป็นรอง
และว่ากันว่า เรื่องนี้เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งสำคัญของเมืองไทยขึ้นเมื่อปี 2516
เป็นการดีแล้วครับที่กฎหมายแบบนี้ยกเลิกไป ระบบราชการปัจจุบันตามความเข้าใจของผม คนที่อายุเกิน 60 ปีแล้วยังคงรับราชการต่อไปได้มีแต่เฉพาะในสายงานวิชาการหรือสายงานทางเทคนิค รวมถึงผู้พิพากษาและอัยการเท่านั้น
กล่าวถึงเฉพาะตัวผมเอง ในวันที่ทุกท่านอ่านมติชนสุดสัปดาห์เล่มนี้อยู่ในมือ น่าจะเป็นสัปดาห์ที่ผมมีอายุครบ 70 ปีบริบูรณ์ ในวันที่ 8 มิถุนายนนี้แล้ว
ในวันดังกล่าว ผมจะพ้นจากตำแหน่งประธานคณะกรรมการขององค์การมหาชนแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่ให้ความช่วยเหลือทางด้านเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน ที่มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน)” เพราะมีกฎหมายเขียนกติกาเช่นนั้นไว้
กติกาที่ประธานหรือกรรมการขององค์การมหาชนทุกแห่งจะต้องพ้นจากหน้าที่ในวันที่ตัวเองอายุครบ 70 ปีบริบูรณ์
ผมเห็นว่าเป็นกติกาที่ทำให้งานขององค์การมหาชนทะมัดทะแมงดีมาก ถึงเวลาคนอายุมากก็ต้องถอยฉากออกไปเพื่อให้คนที่มีความคิดเป็นปัจจุบันและรู้จักอนาคตมากกว่าเข้าแทนที่
มาถึงวันเวลานี้เข้าแล้ว ผมนึกบอกกับตัวเองว่า ตอนเปลี่ยนผ่านอายุจาก 59 มาเป็น 60 ปี ผมยังรู้สึกว่าตัวเองกระฉับกระเฉงและไม่รู้สึกหวั่นไหวอะไรเป็นพิเศษ แต่มาถึงคราวนี้ เมื่อเปลี่ยนผ่านอายุจาก 69 ปีไปเป็น 70 ปี เรียกว่าขับรถเลยจากสะพานพระราม 6 มาขึ้นสะพานพระราม 7 แล้ว
คราวนี้รู้สึกตัวเองเลยครับว่า วันเกิดปีนี้เป็นหมุดหมายสำคัญที่ต้องเตือนตนให้มากขึ้น ว่าเราไม่ใช่คนแข็งแรงกระปรี้กระเปร่าเหมือนเดิมแล้ว แทบทุกเดือนไม่มีเว้นผมต้องไปโรงพยาบาลตามที่คุณหมอนัดหมายเพื่อไปตรวจติดตามอาการโรคต่างๆ
ซึ่งถึงแม้ไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่ก็ยังนับว่าเป็นโรคอยู่ดี
ดูเหมือนผมจะได้เคยเกริ่นในที่นี้แล้วด้วยครั้งหนึ่งว่า ผมได้แจ้งความจำนงกับคณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ ที่ผมทำหน้าที่เป็นอาจารย์พิเศษมายาวนานให้ทราบล่วงหน้าว่า สิ้นปีพุทธศักราช 2568 นี้ ผมขออนุญาตที่จะไม่ทำหน้าที่เป็นอาจารย์เจ้าของวิชา ต้องสอนหนังสือ ออกข้อสอบ ตรวจข้อสอบ อย่างที่ทำมาตลอด 45 ปีอีกต่อไป
ผมเฝ้ามองด้วยความชื่นชมว่าลูกศิษย์ของผม วันนี้เป็นศาสตราจารย์ เป็นรองศาสตราจารย์ เป็นผู้มีคุณวุฒิความสามารถทางวิชาการเพียบพร้อม แต่งตำราน่าอ่าน หลายคนได้ทำหน้าที่เป็นผู้บริหารระดับสูงของมหาวิทยาลัย เห็นอย่างนี้แล้วมีอะไรจะให้ผมเป็นห่วงเป็นใยอีกเล่า
ผู้สูงอายุอย่างผมควรเข้าใจข้อจำกัดของตนเอง และเปิดทางเปิดโอกาสให้ผู้ที่เดินตามมาข้างหลังเขาได้เติบโตขึ้น ได้ทำหน้าที่อย่างเต็มภาคภูมิโดยเราไม่ต้องไปนั่งขี่คอเขาอยู่ตลอดไป
ในองค์กรทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ที่มีความรอบคอบ เรื่องหนึ่งที่ต้องจัดให้มีแผนงานและการดูแลไว้เป็นพิเศษ คือ สิ่งที่เรียกว่า Succesion Plan ซึ่งผมไม่รักเลยถ้าแปลคำนี้ว่า “แผนการสืบทอดอำนาจ” ซึ่งฟังดูร้ายกาจอย่างไรก็ไม่รู้
แต่ผมอยากจะแปลคำนี้ตามประสาของผมเองว่า “แผนรองรับการเปลี่ยนผ่าน” ซึ่งมีความหมายในทางบวก และมีความหมายครอบคลุมกว้างขวางกว่าแผนการสืบทอดอำนาจ
ในทัศนะของผม การรองรับการเปลี่ยนผ่านนั้น หมายถึงการเปิดโอกาสให้กับคนรุ่นใหม่ได้เติบโตขึ้น ได้มีเวลาเตรียมความพร้อม ได้สะสมความรู้ประสบการณ์ ผู้ใหญ่ในองค์กรก็เปิดใจกว้างที่จะถ่ายทอดความรู้ ข้อมูลต่างๆ ให้กับผู้ที่ก้าวเดินตามมา มีความเข้าใจและยอมรับความเปลี่ยนแปลงที่คนรุ่นใหม่จะนำเสนอ และอย่าผูกใจมั่นว่าสิ่งที่เราทำมาแล้วคือสิ่งที่ดีที่สุดในโลก
สิ่งที่คนรุ่นใหม่ในองค์กรของเราจะรับผิดชอบและรับช่วงงานต่อไปในวันข้างหน้า เขาย่อมมีแนวทางของเขาที่ไม่จำเป็นต้องเหมือนเราสนิท ทุกคนก็รักองค์กรเหมือนกัน ไม่มีใครรักมากกว่า หรือน้อยกว่า
ขณะเดียวกันคนรุ่นใหม่ขององค์กร ก็ต้องไม่ละเลยที่จะเรียนรู้วัฒนธรรมขององค์กรที่มีมาแต่เดิม เลือกเฟ้นสิ่งซึ่งมีคุณค่ามีประโยชน์ในระยะยาวเก็บไว้เป็นแนวทางในการทำงาน เปิดใจกว้างที่จะรับฟังข้อมูลและประสบการณ์ของผู้ที่รับผิดชอบงานขององค์กรมาก่อน
สิ่งใดที่ควรปรับเปลี่ยน ควรยกเลิก ก็รู้จักวิธีดำเนินการตามเป้าประสงค์นั้นอย่างพอเหมาะพอสม นำแนวคิดใหม่ความรู้ใหม่เข้ามาใช้ประโยชน์เพื่อพัฒนาองค์กรอย่างชาญฉลาด ใช้ความเร็วหรืออัตราเร่งที่สมควรแก่กรณี
วิธีการอย่างนี้ ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องใช้แต่เฉพาะในองค์กรขนาดใหญ่ขนาดเล็กของภาคเอกชนหรือภาครัฐเท่านั้น แม้กระทั่งองค์กรมหึมา เช่นประเทศของเราโดยรวม ก็ต้องคิดอ่านในเรื่องแบบนี้ด้วยเช่นกัน
คนที่เกษียณอายุมาสิบปีแล้ว มีเรื่องอยากจะฝากไว้ให้ช่วยกันคิดเพียงแค่นี้ล่ะครับ
Happy birthday to Me
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022