เว็บไซต์นี้ใช้คุ้กกี้เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีมีประสิทธิภาพยิ่งขี้น อ่านเพิ่มเติมคลิก (Privacy Policy) และ (Cookies Policy)
bg-single

ปมขัดแย้งไทย-กัมพูชา จับตา เจซีบี 14 มิ.ย. เขมรยื่นศาลโลก คอนเน็กชั่น ทักษิณ-ฮุนเซน ดาบสองคม

12.06.2025

ปมขัดแย้งไทย-กัมพูชา

จับตา เจซีบี 14 มิ.ย.

เขมรยื่นศาลโลก

คอนเน็กชั่น ทักษิณ-ฮุนเซน ดาบสองคม

ภายหลังรัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาบรรลุข้อตกลงปรับกำลังทหารบริเวณช่องบก กลับไปอยู่ในจุดเดิมปี 2567 เพื่อลดการเผชิญหน้า สร้างบรรยากาศเอื้อต่อการประชุม (Joint Boundary Commission – JBC) ไทย-กัมพูชา ในวันที่ 14 มิถุนายน 2568

ย้อนไทม์ไลน์ความขัดแย้งระลอกล่าสุด (เรียบเรียงโดยมติชนออนไลน์) 13 กุมภาพันธ์ 2568 ประชาชนกัมพูชาและทหารกัมพูชาขึ้นไปบนปราสาทตาเมือนธม อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ตั้งอยู่ในพื้นที่อธิปไตยของไทย และร้องเพลงชาติกัมพูชา ฝ่ายไทยยื่นหนังสือประท้วงอย่างเป็นทางการ

27 กุมภาพันธ์ 2568 พล.อ.เมา โซะพัน ผู้บัญชาการทหารบกกัมพูชา ลงพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต ส่งทหาร 80 นาย พร้อมอาวุธประจำกายในพื้นที่ช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี มีการตำหนิกำลังพลทหารกัมพูชา เหตุปล่อยให้ทหารไทยมาทำกิจกรรมทางศาสนาที่ศาลาตรีมุข

1 มีนาคม 2568 เกิดเหตุเพลิงไหม้ศาลาตรีมุข สัญลักษณ์มิตรภาพไทย-ลาว-กัมพูชา หน่วยในพื้นที่ได้รับข่าวสารว่ามีทหารกัมพูชาพร้อมอาวุธเข้ามาวางกำลัง พร้อมดัดแปลงพื้นที่ รุกล้ำเข้ามาในเขตประเทศไทยบริเวณช่องบก ประมาณ 150 เมตร

ช่วงเช้า 28 พฤษภาคม 2568 ฝ่ายไทยจัดกำลังลาดตระเวนพิสูจน์ทราบ แต่ฝ่ายกัมพูชาใช้อาวุธปืนยิงฝ่ายไทย จึงเกิดการปะทะกันขึ้น

ช่วงสายวันเดียวกัน พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ประชุมทางไกลผ่านจอภาพร่วมกับ พล.อ.เมา โซะพัน ผบ.ทบ.กัมพูชา โดยทั้งสองฝ่ายเห็นชอบให้ปรับกำลังออกจากแนวปะทะเพื่อลดการเผชิญหน้า

และนัดหมายพบหารือกันที่ช่องจอม จังหวัดสุรินทร์

29 พฤษภาคม 2568 มีการประชุมหารือระหว่าง ผบ.ทบ.ไทย และ ผบ.ทบ.กัมพูชา ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันใน 3 ประเด็น

1. มีความเห็นร่วมกันในการใช้กลไก JBC ในการแก้ไขความขัดแย้งในครั้งนี้

2. บรรลุข้อตกลงในการถอนกำลังออกจากจุดที่ปะทะ

3. ผู้บังคับบัญชาทั้งสองฝ่ายจะกำกับดูแลกำลังพลให้อยู่ภายใต้กรอบการเจรจาอย่างเคร่งครัด

อย่างไรก็ตาม ต่อมาฝ่ายกัมพูชาออกแถลงการณ์ว่าจะไม่ปรับกำลังทหารออกจากแนวปะทะ ซึ่งไม่สอดคล้องกับข้อตกลงร่วมกันระหว่าง ผบ.ทบ.ทั้งสองประเทศ

4 มิถุนายน 2568 ไทยโต้แย้งแถลงการณ์ของรัฐบาลกัมพูชา ยืนยันพื้นที่ 4 แห่ง ได้แก่ พื้นที่ช่องบก (อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี), ปราสาทตาเมือนธม (อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์), ปราสาทตาเมือนโต๊ด (อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์) และปราสาทตาควาย (อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์) อยู่ในเขตอธิปไตยของไทย

ดังนั้น การที่กัมพูชาจะยื่นเรื่องให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศพิจารณาพื้นที่ทั้ง 4 แห่ง จึงนับว่าเป็นความพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริง

วันที่ 7 มิถุนายน 2568 ผบ.ทบ.ได้ลงนามในคำสั่งกำหนดอำนาจให้ ผบ.กกล.บูรพา และ ผบ.กกล.สุรนารี มีอำนาจในการควบคุมการเปิด-ปิดจุดผ่านแดนทุกประเภทตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเป็นผลสืบเนื่องจากมติที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2568

โดยในรายละเอียด ทบ.ได้กำหนดมาตรการควบคุมการเปิด-ปิด จุดผ่านแดนทุกประเภทตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เริ่มมาตรการดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน 2568 เวลา 19.00 น.

ฝ่ายกัมพูชา โดย พล.ท.สรัย ดึก รอง ผบ.ทบ. และผู้บัญชาการกองพลสนับสนุนที่ 3 ได้เชิญฝ่ายทหารไทย นำโดย พล.ต.สมภพ ภาระเวช ผบ.กกล.สุรนารี ทั้งสองฝ่ายได้บรรลุข้อตกลงในประเด็นสำคัญ คือทั้งสองฝ่ายเห็นชอบการปรับการวางกำลังให้กลับไปสู่แนววางกำลังเดิมเมื่อปี 2567 พร้อมทั้งกลบคูติดต่อ (คูเลต) กลับไปสู่สภาพเดิม สร้างบรรยากาศที่เกื้อกูลต่อการประชุม JBC ใน 14 มิถุนายน 2568

นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องร่วมกันที่จะใช้กลไกคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น เป็นช่องทางหารือการแก้ไขปัญหาระดับพื้นที่อย่างต่อเนื่องในอนาคต

ผศ.อัครพงษ์ ค่ำคูณ อดีตคณบดีวิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้สัมภาษณ์ในรายการ The Politics ทางช่อง Youtube matichon tv ว่า รัฐบาลจะต้องใช้เหตุการช่วงที่ผ่านมาเป็นบทเรียน โดยเฉพาะที่ช่องบก ซึ่งกัมพูชามีการขุดสนามเพลาะ (คูเลต) ล้ำเข้ามาจริง แต่ประเด็นคือเมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นที่ช่องบก ทำไมไม่จัดการให้จบที่ช่องบก ไปเกี่ยวอะไรกับอีก 797.350 กิโลเมตรในบริเวณอื่น

เพราะเรามีทั้งคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee – RBC) แม่ทัพคุยกันให้จบ ซึ่งสุดท้ายรองแม่ทัพก็ไปคุย ลดกำลังลง ซึ่งมันลดกำลังตั้งแต่แรกแล้ว อย่าให้สถานการณ์ที่อยู่ภายใต้ความสามารถคุยกันได้ของ RBC มันไม่ต้องขึ้นไปถึง JBC

ถ้าไทยมีหลักฐานว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายรุกก่อน แล้วเกิดความเสียหายจากการปะทะในเช้าวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ไทยจะต้องทำรายงานชี้แจงทางการว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างไร มีการยั่วยุจากฝ่ายกัมพูชาอย่างไร

ผศ.อัครพงษ์กล่าวว่า ไทยเป็นประเทศซึ่งปฏิบัติตามกฏบัตรสหประชาชาติ ดังนั้นต้องอ้างกฎบัตรสหประชาชาติ มาตรา 33 ถ้าเกิดข้อพิพาทกันระหว่างสองประเทศ เริ่มจากการเจรจา (Negotiation) การไต่สวน (Inquiry) การไกล่เกลี่ย (Mediation) อนุญาโตตุลาการ (Arbitration) แล้วถึงจะไปสิ่งที่เรียกว่า Jurisdiction คือการใช้กฎหมาย คือศาลโลก

เพราะฉะนั้น ไทยต้องสื่อสารออกไปว่า ไทยเน้นสิ่งที่สหประชาชาติแนะนำให้ทำอย่างดีที่สุด คือการเจรจา

ผศ.อัครพงษ์บอกอีกว่า ในกรณีที่กัมพูชาพยายามนำเรื่องขึ้นสู่ศาลโลก ไทยต้องเตรียมคำประท้วงถึงกัมพูชาอย่างเป็นทางการ

1. เราไม่รับเขตอำนาจศาลโลก

2. เหตุการณ์ที่ช่องบกมิใช่เรื่องผิดปกติ อ้างอิงจาก MOU 43 ไทยและกัมพูชาเป็นมิตรประเทศที่มีเหตุการณ์ล้ำไปล้ำมาอยู่แล้วเป็นปกติ การไปศาลโลกคือการปฏิบัติผิดมาตรฐานจริยธรรมของกฎบัตรสหประชาชาติ ไทยต้องย้ำว่าสิ่งที่กัมพูชาทำคือการทำเกินขั้นตอนที่บัญญัติไว้จาก MOU 43 ดังนั้น ไทยจะไม่ไปศาลโลก แต่จะขอใช้การเจรจาในฐานะมิตรประเทศ

นอกจากนี้ ไทยยังต้องสื่อสารถึงสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UNGA) เพราะกัมพูชาสามารถยื่นได้ถ้ามีเหตุคับขันหรือเหตุอันควรให้บรรเทาทุเลาความเดือดร้อน ในกรณีนี้คือมีการสร้างสถานการณ์ในการใช้ความรุนแรง และมีผู้เสียชีวิต

3. แจ้งประเทศสมาชิก UNGA ว่าไทยเป็นสมาชิกที่ดีของสหประชาชาติ ปฏิบัติตามมาตรา 33 กลไกการระงับข้อพิพาท ไทย-กัมพูชาไม่ได้มีข้อพิพาท เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นมาตรฐานทั่วไป กัมพูชาทำเช่นนี้ แสดงว่ากัมพูชามิได้มองว่าการเจรจาเป็นสิ่งสำคัญ

นอกจากนี้ ไทยยังต้องสื่อสารต่อศาลโลก กรณีกัมพูชาสามารถยื่นคำร้องฝ่ายเดียวว่า กระบวนการศาลโลกมิได้นำมาซึ่งการยุติข้อพิพาทถาวร ยกตัวอย่างกรณีปราสาทพระวิหาร ซึ่งไทยและกัมพูชาขัดแย้งกันตั้งแต่ พ.ศ.2502 จนถึง พ.ศ.2505 ที่มีคำตัดสิน เป็นเวลากว่า 63 ปีผ่านมาแล้วที่ไทยและกัมพูชาไม่ได้ข้อยุติเรื่องเหล่านี้เลย

กลไกศาลโลกจึงมิใช่ทางออกของ 2 ประเทศนี้ ขอให้ไทยและกัมพูชาใช้ MOU 43 เพราะทั้งสองประเทศได้ตกลงกันไว้เป็น 20 กว่าปีแล้ว

ผศ.อัครพงษ์ย้ำว่า เหล่านี้คือสิ่งที่ไทยต้องยืนยันในการประชุม JBC 14 มิถุนายน 2568

ส่วนกรณีหลายฝ่ายมองว่า ความสัมพันธ์ระหว่างนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กับรัฐบาลสมเด็จฮุน เซน ของกัมพูชา อาจมีส่วนช่วยยุติความขัดแย้งนั้น

ศ.ดร.ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ ศูนย์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต กล่าวในงานเสวนา ‘ช่องบก-ตาเมือน : ข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา บนกระดานการเมืองและเวทีศาลโลก’ จัดโดยสาขาวิชาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา และ โครงการ ‘ศิลป์เสวนา’ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ว่าความสัมพันธ์นายทักษิณกับรัฐบาลสมเด็จฮุน เซน อาจเป็นดาบสองคม เพราะความสัมพันธ์นี้มาถึงจุดที่สมเด็จฮุน เซน มีสิทธิเรียกร้องอะไรบางอย่างจากนายทักษิณได้

เพราะว่าในหลายๆ ครั้ง ฝ่ายนายทักษิณเรียกร้องขอความชอบธรรมมากกว่าฝ่ายรัฐบาลสมเด็จฮุน เซน ที่มีการเรียกร้องต่อนายทักษิณ มีตัวแปรสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เช่น การลี้ภัยของนายทักษิณก็ได้ความชอบธรรมจากรัฐบาลกัมพูชา

ในทางกลับกัน สมเด็จฮุน เซน ไม่ได้ต้องการความชอบธรรมจากนายทักษิณในการสร้างความเข้มแข็งในรัฐบาลตนเองของกัมพูชา จุดที่กัมพูชาน่าสนใจในหมากเกมนี้ที่มีความมั่นใจว่า เรื่องจะจบโดยที่กัมพูชาได้แต้มต่อมากกว่าไทย

ปมขัดแย้งไทย-กัมพูชาครั้งนี้ เดิมพันการเมืองสูงยิ่งนัก



เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต

ฟังเสียง ‘เยาวชน’ | ปราปต์ บุนปาน
“One Plan” โมเดลใหม่ ขับเคลื่อนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สู่การพัฒนาที่ยั่งยืนในทุกพื้นที่
ตลาด..ชีวิตและความหวัง | เรื่องสั้น : มีนา ฟ้าศุกร์
ทำเล
ไม้ดัดในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร | กวีกระวาด : สิริวตี
ดาวกับดวงวันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม 2568
‘กฤษฎีกา-เพื่อไทย’ มองต่างมุม ไพ่ในมือรักษาการนายกฯ ผ่าทางตัน ‘ยุบสภา’ ได้หรือไม่ได้
ภาษีปนาวุธ ทรัมป์ถล่มข้ามทวีป ทีมไทยแลนด์ร่อแร่
‘ภูมิธรรม’ จัดแถวมหาดไทย ล้างบาง ‘สิงห์น้ำเงิน’ ประเดิมย้าย 2 อธิบดีเข้ากรุ จับตา ‘เขากระโดง’ เปิดแผล ‘ปราสาทสายฟ้า’
แค่ลมหายใจ ก็รู้ทันใดว่าอ้วน!!
การปกครองเปลี่ยน-แฟชั่นปรับ : แฟชั่นสมัยคณะราษฎร-สงคราม (12) เจ้านายสนับสนุนรัฐนิยมในสมัยสร้างชาติ
สวนสาธารณะสูงวัย : สังคมภายนอกครอบครัว และบทเรียนจากเฉิงตู