
‘มันจบแล้วครับนาย’ (ภาคสอง)? | ปราปต์ บุนปาน

ของดีมีอยู่ | ปราปต์ บุนปาน
ถ้าต้องเขียนบทความชิ้นนี้ประมาณคืนวันที่ 17 มิถุนายน
เรื่องราวเนื้อหาหลักๆ ก็คงจะเป็นความขัดแย้งระหว่าง “เพื่อไทย” กับ “ภูมิใจไทย” โดยไม่มีใครได้เปรียบ-เสียเปรียบกันอย่างเด่นชัดนัก
กล่าวคือ หากภูมิใจไทยเลือกถอนตัวไปเป็นฝ่ายค้าน เพราะไม่ยอมรับเงื่อนไขที่ต้องคืนกระทรวงมหาดไทยให้ทางเพื่อไทยในการปรับ ครม.
เพื่อไทยก็จะไม่มีคู่แข่งทางบารมีหรือคู่แข่งในการสร้างอำนาจนำอยู่ร่วมรัฐบาลชุดเดียวกัน
เมื่อเพื่อไทยได้เป็นผู้นำรัฐบาลแบบเดี่ยวๆ แล้ว จุดท้าทายก็อยู่ที่ว่า ผู้นำอย่าง “แพทองธาร ชินวัตร” และคณะ จะมีฝีมือ มีวิสัยทัศน์ขนาดไหน?
ท้าทายเพราะว่า ที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยได้บริหารกระทรวงเศรษฐกิจหลักๆ มาร่วมสองปี แต่ยังมีผลงานอันเป็นรูปธรรมไม่เด่นชัดนัก กระทั่งโครงการเรือธงอย่าง “ดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท” ก็ค่อยๆ ถูกเปลี่ยนรูปแปลงร่าง และล้มเหลวลงอย่างแทบจะ 100 เปอร์เซ็นต์แล้ว
หรือถ้าในอนาคต คนของเพื่อไทยได้นั่งว่าการกระทรวงมหาดไทยจริง ปัญหาก็มีอยู่ว่า มท.1 คนใหม่จะบริหารจัดการใช้งานเครือข่ายข้าราชการในกระทรวงได้มากน้อยแค่ไหน ต้องล้างไพ่ใหม่หมดหรือไม่ และต้องใช้เวลาสั่งสมอำนาจบารมีนานเพียงใด?
อย่างไรก็ตาม หากมองไปยังความสัมพันธ์ทางอำนาจอีกรูปแบบหนึ่ง ด้วยโจทย์ปัญหาที่ว่าใครจะสามารถเข้าใจ เข้าถึง “แก่นแท้ใจกลาง” หรือ “โครงสร้างอำนาจส่วนบน” ของสังคมการเมืองไทยได้ดีกว่ากัน ระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคภูมิใจไทย?
การวัดผลสำเร็จ (ภายหลังการปรับคณะรัฐมนตรีและการเขี่ยภูมิใจไทยไปเป็นฝ่ายค้าน) ก็มิได้อยู่ที่ว่า ทั้งสองพรรคการเมืองสามารถลงมือกระทำการอะไรได้บ้าง
แต่ต้องพิจารณาไปที่กระบวนการนิติสงครามซึ่งต่างฝ่ายต่างต้องเผชิญ หรือต่างมีชนักปักหลังอยู่ทั้งคู่ ว่าสุดท้ายแล้ว ฝ่ายใดจะถูกลงทัณฑ์หนักกว่ากัน หรือรูปการณ์อาจกลายเป็นว่า มีฝ่ายหนึ่งที่โดนลงทัณฑ์ และอีกฝ่ายไม่โดนอะไรเลย
โดยฝ่ายที่อยู่รอดปลอดภัยนี่แหละ ซึ่งจะเดินเข้าสู่สนามเลือกตั้งหนหน้าอย่างมั่นอกมั่นใจ
กระนั้นก็ดี พอต้องมานั่งเขียนบทความชิ้นนี้เอาตอนเย็นๆ ของวันที่ 18 มิถุนายน
หลังมีการปล่อยคลิปเสียงการสนทนาระหว่างนายกรัฐมนตรีไทย “แพทองธาร ชินวัตร” กับ “สมเด็จฮุน เซน” อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ออกสู่สาธารณะ โดยต่างฝ่ายต่างยอมรับว่าเป็นบทสนทนาที่เกิดขึ้นจริง
ประเด็นหลักที่ต้องหันมาครุ่นคิดใคร่ครวญ ก็คือ เนื้อหาของการเจรจาพูดคุยอย่างไม่เป็นทางการ (แต่ท้ายสุด ไม่ใช่ความลับ) ดังกล่าว นั้นสร้างผลเสียหายใหญ่หลวงต่อ “ชีวิตและอนาคตทางการเมือง” ของนายกฯ แพทองธาร
และทำให้คนส่วนใหญ่ในสังคมไทยแทบจะไม่หลงเหลือ “ความเชื่อมั่น-ความไว้วางใจ” ให้แก่ผู้นำประเทศคนปัจจุบันอีกแล้ว
หากตัด “เรื่องรัฐประหาร” ซึ่งไม่ใช่ “ทางเลือก” ของการแก้ไขปัญหาทางการเมืองตามวิถีประชาธิปไตยออกไปอย่างเด็ดขาด
ไม่ว่าสังคมการเมืองไทยจะต้องเดินหน้าไปทางไหน ระหว่างการที่นายกรัฐมนตรีต้องแสดงความรับผิดชอบลาออกจากตำแหน่ง, การยุบสภา หรือเพื่อไทยยังยืนกรานจะให้คณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบันอยู่บริหารประเทศต่อไป โดยมีบางพรรคการเมือง เช่น ภูมิใจไทย แยกตัวออกมาเป็นฝ่ายค้าน
นับจากนี้ พลัง-อำนาจ-ความนิยมของเพื่อไทยจะลดต่ำลงอย่างมหาศาล และอาจไม่ใช่คู่แข่งขันของพรรคประชาชนกับพรรคภูมิใจไทยในสนามการเมืองอีกต่อไป