
การทรงกลดครั้งสำคัญ ในประวัติศาสตร์โลก ปัญจสุริยา (อาทิตย์ 5 ดวง) เหนือฟ้ากรุงโรม

ในบทความตอนแรก ผมได้เกริ่นเกี่ยวกับการทรงกลดปัญจสุริยาและสัปตสุริยาเหนือฟ้ากรุงโรมเอาไว้ คราวนี้มาดูรายละเอียดกันครับ
เริ่มจากกรณีปัญจสุริยาเหนือฟ้ากรุงโรมในปี ค.ศ.1629 ก่อน
หลักฐานระบุว่า พระคาร์ดินัลฟรานเชสโก บาร์เบรีนี (Francesco Barberini) ได้ส่งแผนภาพและคำบรรยายการทรงกลดครั้งนี้ไปให้นักดาราศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ชื่อ นิโกเลาส์ โคลด ฟาบรี เดอ เปแรสก์ (Nicolas Claude Fabri de Peiresc) จากนั้นเปแรสก์ก็ส่งสำเนาเอกสารไปให้อีกหลายคน โดยหนึ่งในผู้ที่ได้รับข้อมูลนี้ ได้แก่ นักดาราศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ชื่อ ปีแยร์ การซองดี (Pierre Gassendi)
การ์ซองดีนี้เองที่เป็นผู้เขียนและตีพิมพ์บันทึกแรกสุดเกี่ยวกับการทรงกลดปัญจสุริยาในเอกสารยาว 10 หน้าที่เรียกว่า Phaenomenon rarum
เอกสาร Phaenomenon rarum นี้ตีพิมพ์ในปี ค.ศ.1629 แต่ต่อมาการ์ซองดีได้นำข้อมูลไปตีพิมพ์ใหม่ในชื่อ Parhelia เนื่องจากไม่พอใจกับคุณภาพของเอกสาร Phaenomenon rarum ที่เขาไม่ได้ดูแลการจัดทำ

เอกสาร Phaenomenon rarum
เนื้อหาในเอกสาร Phaenomenon rarum กล่าวถึงการทรงกลดปัญจสุริยาโดยอ้างอิงแผนภาพที่ปรากฏในเล่ม (ภาพที่ 2) ทั้งนี้ ผมคัดเลือกข้อความบางส่วนมาให้อ่าน ดังนี้
1) “A คือ ตำแหน่งของผู้สังเกตที่กรุงโรม B คือ จุดเหนือศีรษะ C คือ ดวงอาทิตย์จริง”
2) “รอบดวงอาทิตย์ที่ C มีวงเส้นไอริส (iris) ที่ไม่สมบูรณ์สองเส้นซึ่งมีจุดศูนย์กลางร่วมกัน แต่มีลักษณะสีแตกต่างกัน”
3) “วงเล็กด้านใน DEF มีรูปร่างเกือบเต็มวงสมบูรณ์กว่า และแม้ว่าจะมีช่องเปิดระหว่าง D กับ F แต่ปลาย D และปลาย F ก็พยายามเชื่อมต่อกันอยู่เรื่อยๆ ซึ่งบางครั้งก็ต่อติดเต็มวง แต่แล้วก็เกิดช่องเปิดขึ้นมาอีก”
4) “วงไอริสอีกเส้นด้านนอกจางกว่า สังเกตได้ยากกว่า คือ GHI วงนี้มีหลายสี แต่สีต่างๆ ไม่คงตัวอย่างมาก”
5) “วงเส้นไอริสวงที่สาม KLMN มีขนาดใหญ่มากและมีสีขาวตลอดเส้น”
6) “บริเวณจุดตัดร่วมระหว่างวงกลมนี้ (หมายถึง ไอริสวงที่สาม) กับวงไอริสด้านนอก GHI มีพาร์ฮีเลียนสองตำแหน่งคือ N และ K ซึ่งทั้งคู่ไม่สมบูรณ์ โดย K แสงจางกว่า แต่ N สว่างจ้ากว่า…พาร์ฮีเลียน N สั่นเล็กน้อยและส่งหางแหลม NOP ออกไป”
7) “พาร์ฮีเลียนที่ L และ M ซึ่งอยู่ไกลออกไปจากจุดยอดฟ้า B ไม่สว่างเหมือนพาร์ฮีเลียนที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้ (หมายถึง พาร์ฮีเลียน N และ K) แต่มีลักษณะกลมกว่าและมีสีขาวเช่นเดียวกับเส้นวงกลมที่พาร์ฮีเลียนทั้งสองเกาะอยู่

แผนภาพอาทิตย์ทรงกลดเหนือฟ้ากรุงโรมในปี ค.ศ.1629 จากหนังสือ Phaenomenon rarum
ข้อมูลในข้อ 1 แสดงตำแหน่งอ้างอิงหลักของแผนภาพ
ข้อมูลในข้อ 2-4 มีส่วนที่ตีความได้ง่ายและยาก ส่วนที่ง่ายก็คือ เส้นไอริสวงใน คือ วงกลมขนาด 22 องศา (22-degree circular halo) ที่ยากก็คือ เส้นไอริสวงนอก ซึ่งนักวิชาการจำนวนหนึ่งสันนิษฐานว่าอาจจะเป็นการทรงกลดวงกลมขนาด 28 องศา (เรียกว่า การทรงกลดของไชเนอร์ หรือ Scheiner’s halo)
แต่นักวิชาการบางท่าน เช่น วอลเทอร์ เทป (Walter Tape) และ กุนเทอร์ พี. เคินเนน (Gunther P. K?nnen) เชื่อว่าน่าะเป็นการทรงกลดแบบเซอร์คัมสไครบด์ (circumscribed halo) ซึ่งจริงๆ แล้วมีรูปร่างหนึ่งเป็นวงรี แต่ภาพเขียนผิดเป็นวงกลม
เส้นไอริสสีขาวในข้อ 5 ปัจจุบันเรียกว่า วงกลมพาร์ฮีลิก (parhelic circle) เป็นวงกลมที่มีเส้นขนานไปกับขอบฟ้า วงกลมนี้มีขนาดใหญ่เมื่อดวงอาทิตย์อยู่ใกล้ขอบฟ้า และมีขนาดเล็กลงไปเมื่อดวงอาทิตย์อยู่สูงขึ้น
พาร์ฮีเลียนในข้อ 6 และ 7 อันได้แก่ K, N, L และ M คือ บริเวณสว่างจ้า และเมื่อนับรวมกับดวงอาทิตย์จริงที่ C ก็เปรียบเสมือนว่ามีดวงอาทิตย์ 5 ดวง บนท้องฟ้านั่นเอง

ภาพจำลองด้วยคอมพิวเตอร์แสดงปรากฏการณ์ปัญจสุริยาเหนือฟ้ากรุงโรม อาทิตย์ 5 ดวง หมายถึง อาทิตย์จริงที่ C และแสงจ้าเสมือนดวงอาทิตย์ที่ K, L, M และ N
ภาพ : บัญชา ธนบุญสมบัติ
เพื่อให้เข้าใจเหตุการณ์นี้มากขึ้นจากมุมมองของวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน ผมจึงลองสร้างโมเดลการทรงกลดจำลอง (simulated halos) ขึ้นมาด้วยโปรแกรม HaloPoint 2.0 ดังภาพที่มีแบ๊กกราวด์สีดำ
จากการจำลองเหตุการณ์พบว่า คำอธิบายหนึ่งที่เป็นไปได้ก็คือ ดวงอาทิตย์อยู่สูงจากขอบฟ้าประมาณ 43 องศา จึงจะทำให้พาร์ฮีเลียน K และ N อยู่บนเส้นวงนอก
ทั้งนี้ ผลึกน้ำแข็งส่วนใหญ่ที่ทำให้เกิดอาทิตย์เสมือนอีก 4 ดวง ได้แก่ ผลึกน้ำแข็งรูปแผ่น (plate crystal) ซึ่งโดยเฉลี่ยวางตัวในแนวนอน แต่ต้องแกว่งกวัดประมาณ +/- 5 องศา จึงจะทำให้มองเห็นพาร์ฮีเลียน L และ M ได้ค่อนข้างชัด
ข้อมูลจากอดีตนั้น หากศึกษาเชื่อมโยงกับความรู้อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น วิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน ก็จะช่วยให้เราเห็นมุมมองใหม่ๆ และอิ่มเอมไปกับมรดกทางภูมิปัญญาได้ดีทีเดียวครับ
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022