
เลือกตั้ง อบจ. 1 ก.พ. 2568 บทเรียนและก้าวต่อไป | ธเนศวร์ เจริญเมือง

บทความพิเศษ | ธเนศวร์ เจริญเมือง
เลือกตั้ง อบจ. 1 ก.พ. 2568
บทเรียนและก้าวต่อไป
ภาพรวมจากอดีตถึงปัจจุบัน
องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เกิดขึ้นเมื่อปี 2498 หรือ 23 ปี หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 และ 8 ปี (2490) หลังจากทิศทางการเมืองไทยเริ่มถอยหลังไปสู่ระบอบอํานาจนิยม
ด้วยเหตุดังกล่าว แม้ว่าคนคิดคือ นายกฯ (จอมพล ป.) ได้แนวคิดนี้จากการไปเยือนสหรัฐ และดูงานการบริหารท้องถิ่นที่นั่น แต่เมื่อนํากลับมาใช้ในไทย กลุ่มอํานาจนิยมก็บิดเบือนความหวังด้วยการแต่งตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งเป็นตัวแทนส่วนกลางในท้องถิ่นให้เป็นนายก อบจ. อีกตําแหน่งหนึ่ง หมายความว่าให้ตัวแทนฝ่ายมหาดไทยได้ครองตําแหน่งผู้นําท้องถิ่นไปพร้อมๆ กัน
สรุป ประเทศนี้มีจังหวัดที่ตั้งขึ้นมาให้เป็นสมบัติของส่วนกลาง พอคิดจะมีองค์กรบริหารระดับจังหวัดคือ อบจ.ให้เป็นของท้องถิ่น ส่วนกลางก็มาเอาไปอีก และก็เป็นเช่นนี้มาแต่นั้นเพราะภายใต้การปกครองแบบประชาธิปไตยที่สลับกับรัฐประหารหลายๆ ครั้งในช่วง 40 ปี (พ.ศ.2500-2540) ระบบราชการก็ถือโอกาสครอบงําการบริหารท้องถิ่นตลอดมา
เมื่อรัฐธรรมนูญ 2540 เปิดทางให้แก่การกระจายอํานาจสู่ท้องถิ่นอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก ก็ส่งผลให้นายก อบจ.มาจากการเลือกตั้งเริ่มจากให้ ส.จ.เลือกกันเอง และต่อมา ประชาชนในแต่ละจังหวัดก็ได้สิทธิเลือกนายก อบจ.โดยตรงเป็นครั้งแรกเริ่มเมื่อปี 2547 หรือ 20 ปีนี้เอง
ดังนั้น เราจะพบว่าชื่อ อบจ.มีมานานแล้ว แต่ถูกสกัดกั้นด้วยระบอบอํานาจนิยมรวมศูนย์ ทําให้ อบจ.ถูกส่วนกลางยึดไป ที่เห็นกันวันนี้ ก็เพิ่งพัฒนามาได้เป็นเรื่องเป็นราว 20 ปีนี้เอง
ไม่แปลกใจที่คนรู้จัก อบจ.ผิวเผิน
การเลือกตั้งนายก อบจ.และ ส.จ.
เมื่อ 1 ก.พ. 2568
ด้วยสายตาประชาธิปไตยแบบรอบด้าน กลุ่ม อ.ก.ป. (อนาคตใหม่-ก้าวไกล-ประชาชน) จึงเป็นกลุ่มการเมืองแรกในสังคมนี้ที่เห็นความสําคัญของการปกครองท้องถิ่นอย่างจริงจัง
การเลือกตั้ง อบจ.ในเดือนธันวาคม 2563 คณะก้าวไกลส่งผู้สมัครลงสู้ตําแหน่งนายก อบจ.ถึง 44 จังหวัด และส่งลงสมัคร ส.จ.อีกราว 60 จังหวัดทั่วประเทศ
แม้ไม่ได้รับเลือกเป็นนายก อบจ.แม้แต่คนเดียว แต่ก็ได้ ส.จ.มาถึง 57 คน และต่อจากนั้น ผู้สมัครของพรรคก้าวไกลก็มาชนะการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนพฤษภาคม 2566 ได้เป็นที่ 1 ถึง 151 คน กวาด ส.ส.ทั้งจังหวัดของภูเก็ตและ 7 ใน 10 ของเชียงใหม่
จากจุดนี้เองที่การเลือกตั้งนายก อบจ.ที่อุดรธานีและอุบลฯ ในตอนปลายปี 2567 จึงทําให้อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ต้องกระโดดลงมาช่วยหาเสียงผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้ง อบจ.อย่างจริงจังเป็นครั้งแรกและส่งผลให้การเลือกตั้งนายก อบจ. และ ส.จ.ทั่วประเทศในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างมากในสังคมไทย
ไม่เคยมีครั้งใดในประวัติศาสตร์ที่ผู้นําระดับชาติและพรรคการเมืองใหญ่จะให้ความสนใจการเมืองการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นมากถึงเพียงนี้
กระนั้นก็ตาม ข้อแรก จํานวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 27.99 ล้านคน ไปใช้สิทธิ 16.36 ล้านคน คิดเป็น 58.45% ลดลงจาก 62% ในปี 2563 ทั้งๆ ที่ กกต.ตั้งเป้าหมายว่า 65%
ข้อที่สอง จํานวนบัตรเสีย 9.31 แสนใบ (5.69%) และจํานวนผู้ไม่ประสงค์จะเลือกใคร 1.15 ล้านคน (7.08%) ก็ยังคงสูงใกล้เคียงกับ 4 ปีก่อน
ข้อที่สาม ในสังคมที่มีการจ่ายเงินซื้อเสียงขายสิทธิที่ทราบกันทั่วไปมาตลอด 4 ทศวรรษ ก่อน 1 กุมภาพันธ์ ก็มีการพูดเรื่องการรับผู้คนไปฟังการหาเสียงตามจุดต่างๆ พร้อมกําหนดสีเสื้อ มีการจ่ายเงิน และหลายแห่งมีอาหารให้ หรือมีเฉพาะการซื้อเสียงเป็นระยะๆ “คืนหมาหอน” หมดสมัยไปหลายปีแล้ว และยังมีวิธีอื่นๆ อีกสารพัด แต่ไม่ปรากฏว่า กกต.จะพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้
ข้อที่สี่ จากจํานวน 90,715 หน่วยเลือกตั้งทั่วประเทศ มีคําถามว่ามีกี่หน่วยที่ประชาชนเข้าไปสังเกตการณ์การนับคะแนน มีกลุ่มหรือองค์กร หรือราษฎรอาสา หรือสื่อจํานวนเท่าใดที่เข้าไปตรวจสอบการนับคะแนน การรายงานผลการนับคะแนนในแต่ละจุด ฯลฯ
สังคมไทยเรามีพลเมืองเข้มแข็ง ชุมชนเข้มแข็ง เจ้าหน้าที่คุมหน่วยที่ซื่อสัตย์ และสื่อมวลชนที่เข้มแข็ง ฯลฯ มากพอไหมที่จะตรวจตราและประกันความถูกต้องของงานที่มากมายเหล่านี้?
ข้อที่ห้า เหตุผลบางข้อที่ กกต.อ้าง เช่น หน่วยเลือกตั้งหลายจุดในบางจังหวัดอยู่ไกลมาก การเดินทางลําบากและมีอันตราย การนับคะแนนต้องใช้เวลา หรือการขอให้โรงงานห้างร้านหยุดงานให้คนงานไปเลือกตั้ง ฯลฯ เหล่านี้เป็นเหตุสําคัญของการกําหนดวันเลือกตั้งที่มีผลกระทบการลงคะแนนของผู้คนจํานวนมาก เหตุใดจึงกําหนดวันเสาร์แบบง่ายๆ ทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นวันที่มีคนทํางานจํานวนมากและการเดินทางกลับต่างจังหวัดใช้เวลา
ข้อที่หก ทุกฝ่ายอ้างว่าสนับสนุนประชาธิปไตย แต่ขณะที่การเลือกตั้งแต่ละครั้งใช้เงินจํานวนมหาศาล แต่กฎหมายกลับปล่อยให้ผู้บริหารที่มาจากการเลือกตั้งฉวยโอกาสลาออกก่อนครบวาระไม่นาน แล้วก็จัดการเลือกตั้งกรณีพิเศษเพื่อการเลือกตั้งประเภทนี้ สุดท้าย 1 กุมภาพันธ์ จึงมีการเลือกตั้งนายก อบจ.เพียง 47 จังหวัด จาก 76 จังหวัดทั่วประเทศ
และ ข้อที่เจ็ด เราใช้เงินจํานวนมากไปดูงานในต่างประเทศ ในโลกยุคเทคโนโลยีข่าวสาร การเลือกตั้ง อบจ. กลับไม่มีการเลือกตั้งล่วงหน้า และไม่มีการลงคะแนนออนไลน์หรือทางไปรษณีย์เพื่อแสดงความเคารพต่อเสียงของประชาชนด้วยการให้ทางเลือกในการลงคะแนน
วิเคราะห์ปัญหาของ อบจ.
นั่นคือข้อเท็จจริง 7 ข้อที่เกิดขึ้น และเราสามารถประมวลสรุปเป็นปัญหาได้ ดังนี้
1. คนจํานวนมากยังขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทแท้จริงของ อบจ. การรับรู้ที่จํากัดดังกล่าว เกิดจากการที่ท้องถิ่นถูกลิดรอนอํานาจอย่างมากนับตั้งแต่นโยบายการรวมศูนย์อํานาจในปี 2435 และเพิ่มขึ้นเป็นขั้นๆ โดยเฉพาะด้านการศึกษา ศาสนา และการบริหารจัดการท้องถิ่นแต่ละด้าน
ที่ผ่านมา รัฐให้ผู้ว่าฯ และข้าราชการส่วนภูมิภาคคุมงานของท้องถิ่นและควบคุมองค์กรปกครองท้องถิ่น รวมทั้ง อบจ.ตลอดมา, การศึกษาไม่ทําให้ประชาชนในท้องถิ่นรู้จักท้องถิ่นของตน ไม่ให้บทบาทและการมีส่วนร่วมเพื่อดูแลและบริหารงานแต่ละด้านในท้องถิ่น, เมื่อหลักสูตรการเรียนขาดเนื้อหาเกี่ยวกับความเป็นมาและปัญหาท้องถิ่น เน้นแต่ประวัติศาสตร์ของชาติที่ทําให้คนทั้งประเทศรับรู้ร่วมกัน แต่แผ่วเบาเหลือเกินเมื่อพูดเรื่องของท้องถิ่นที่ตนเองเกิดและอยู่มาตลอดชีวิต
ระบบการสอนในสถาบันการศึกษาทั้งของเยาวชนและวัดที่ขาดเนื้อหาของท้องถิ่น นับวันยิ่งทําให้ท้องถิ่นต่างๆ เหมือนกันที่รูปแบบสิ่งก่อสร้างและงานศิลป์ รวมทั้งทัศนนิยมวัตถุ สถาบันอุดมศึกษาในภูมิภาคไม่มีผลงานสําคัญเกี่ยวกับท้องถิ่นศึกษา แต่มีป้ายใหญ่, สร้างอาคารและคณะเกิดใหม่ แทบทุกสถาบันสนใจงานพิธีกรรม, งานโชว์, งานประดิษฐ์คิดค้น ผลงานระดับโนเบลยังไม่มีการฝันถึง ฯลฯ
ด้วยเหตุดังกล่าว จึงมีคําถามออกมาว่า มีผู้ว่าฯ จังหวัดแล้วเหตุใดจึงต้องมีนายก อบจ.ให้ซํ้าซ้อน สะท้อนความรู้ที่จํากัดเกี่ยวกับการบริหารท้องถิ่น ผู้ว่าฯ แทบทุกจังหวัดที่โยกย้ายแทบทุกปีไปจังหวัดอื่นหรือเข้าส่วนกลาง ผู้ว่าฯ ไม่ใช่ตัวแทนของคนท้องถิ่น และจังหวัดต่างๆ ก็ไม่เคยมีผู้บริหารที่มาจากพวกเขา แก้ไขปัญหาให้พวกเขาในวาระ 4 ปี ก็ด้วยเหตุนี้อย่างไรเล่า นายก อบจ.ถึงต้องก้าวขึ้นมามีบทบาทให้จังหวัดต่างๆ เสียที
ไม่น่าแปลกใจเลยที่หน่วยการเลือกตั้ง อบจ. 4 หน่วยในสถาบันอุดมศึกษาแห่งหนึ่งในภาคเหนือ เมื่อ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มีผู้ไปใช้สิทธิตํ่า ทั้งที่ไม่ต้องฝ่าการจราจรไปเลือกตั้ง (ยกเว้นหน่วยที่ 26 ที่ควรค้นคว้าต่อว่าเหตุใดจํานวนเปอร์เซ็นต์ของผู้ไปใช้สิทธิจึงสูงเป็นพิเศษ)
อนึ่ง เป็นที่น่าสังเกตว่าบัตรเสียที่เกิดขึ้นในหน่วยภายในสถาบันการศึกษาอยู่ในระดับตํ่ามาก จึงน่ามีการศึกษาเปรียบเทียบกับหน่วยเลือกตั้งในสถาบันการศึกษาอื่นๆ ทั่วประเทศ
2. การจัดการเลือกตั้งในวันเสาร์ซึ่งเป็นวันทํางานของคนจํานวนมาก เป็นอุปสรรคสําคัญที่จะต้องไม่เกิดขึ้นอีก และปัญหาการไม่จัดให้มีการเลือกตั้งล่วงหน้า, ไม่จัดให้มีการเลือกตั้งทางไปรษณีย์และออนไลน์ ก็เป็นอุปสรรคสําคัญที่ประชาชนหลายกลุ่มไม่อาจใช้สิทธิใช้เสียงได้
3. ปัญหาผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่ประสงค์จะเลือกใคร น่าศึกษาว่าปัญหานี้เกิดขึ้นมากน้อยเพียงใดในการเลือกตั้ง ส.ส. และการเลือกตั้งแบบอื่นๆ
จากบทเรียนของประเทศที่เป็นประชาธิปไตยมานาน จํานวนบัตรเสียและจํานวนผู้ไม่ประสงค์จะเลือกใครไม่ควรสูงกว่า 3% จากปัญหาที่กล่าวมา 3 ข้อแรก สรุปได้อย่างน้อย 3 เรื่อง คือ
หนึ่ง ความตื่นตัวในเรื่องการไปเลือกตั้งสําหรับประเทศที่ประชาธิปไตยพัฒนาแล้ว จํานวนเปอร์เซ็นต์ของผู้ไปลงคะแนนไม่ใช่ปัญหาชี้ขาด ภาคประชาสังคมที่เข้มแข็งและฝ่ายตัวแทนประชาชนในสภาสามารถผลักดันการเปลี่ยนแปลงได้ ขณะที่สังคมที่ประชาธิปไตยยังต้องพัฒนาต้องไม่สนใจเฉพาะตัวเลขผู้ไปลงคะแนน แต่ต้องสนใจบทบาทการตรวจสอบผลักดันงานการเมืองในระหว่าง 4 ปีของวาระการทํางานด้วย ซึ่งสําคัญมากๆ
สอง การไม่ประสงค์เลือกใครย่อมเป็นปัญหาหากมีจํานวนสูง ประเด็นคือ กระบวนการคัดเลือกผู้สมัครต้องเข้มแข็ง และภาคการเมืองต้องตรวจสอบและกระตุ้นให้คนอาสาเข้าไปทํางานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ใช่สังคมไม่สนใจเลือกใคร และไม่สนใจตรวจสอบการทํางาน ซึ่งจะไม่ต่างอะไรกับการรับเงินซื้อเสียง แล้วเลือกเขาให้เขาเข้าไปถอนทุนคืน
และ สาม ระบบต้องส่งเสริมให้คนไปลงคะแนน, ไม่ให้เกิดความสับสน และหาหลักฐานมัดผู้กระทําผิด ไม่ใช่ปล่อยให้พูดกันทั้งสังคม แต่ฝ่ายรัฐบอกว่าไม่มีหลักฐานเอาผิด นี่คืองานของ กกต.และฝ่ายนิติบัญญัติ เช่น
1. ต้องจัดการเลือกตั้งในวันหยุด
2. ผู้สมัครในกลุ่มเดียวกัน ก็ควรได้รับหมายเลขเดียวกัน เป็นการง่ายต่อความจําและการตัดสินใจสําหรับทุกฝ่าย
3. ส่งเสริมการเลือกตั้ง ได้แก่ ส่งคะแนนทางไปรษณีย์ และออนไลน์ และด้วยเครื่องมือสื่อสารสมัยใหม่และการเลือกตั้งล่วงหน้า
และ 4. ฝังตัวในกลุ่มกระทําผิดด้านซื้อเสียง เพื่อรวบรวมหลักฐานสําคัญให้ได้ ฯลฯ
ทางออกของปัญหาเหล่านี้จึงมิใช่เพียงให้ กกต.รณรงค์ทุกทางเพื่อให้ประชาชนไปเลือกตั้ง แต่ต้องคิดแก้ไขที่กลไกและโครงสร้างของรัฐ ได้แก่ การแก้ไขปรับปรุงหลักสูตรการเรียนในสถาบันทุกระดับ เป็นเนื้อหาร่วมที่นักเรียนนักศึกษาทุกคนต้องรับรู้ นั่นคือ ต้องอาศัยการนําของฝ่ายการเมือง เป็นงานของฝ่ายการศึกษา องค์กรปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย ฝ่ายศาสนา และฝ่ายประชาสัมพันธ์ เป็นงานของทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายบริหาร ซึ่งยังไม่เกิดขึ้น
ที่ผ่านมา สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็คือ การเมืองระดับชาติลงมาใส่ใจหาเสียงให้การเมืองท้องถิ่น ขั้นต่อไป คือ การแข่งขันทําผลงานระหว่างพรรคและบ้านใหญ่ที่ชนะหลายจังหวัดกับพรรคที่ชนะจังหวัดเดียว พร้อมๆ กับการปรับปรุงกลไกการส่งเสริมการเลือกตั้งครั้งใหญ่ที่กล่าวมาของ กกต.
ข้อสุดท้าย ขอฟันธงว่า บทบาทของการปฏิรูปการศึกษาโดยรัฐที่จะไปปรากฏในสถาบันต่างๆ และบทบาทของสื่อมวลชนยุคใหม่จะมีความหมายอย่างยิ่งในช่วง 2 ปีต่อจากนี้
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022