

คำ ผกา
คืนสู่เหย้าสลิ่ม
สนธิ ลิ้มทองกุล เปิดตัวมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ตั้งเป้าหาสมาชิกให้ได้หนึ่งล้านคน
และภาพที่น่าสนใจคือ จตุพร พรหมพันธุ์ กับสนธิ กอดกันบนเวที สนธิรับจตุพรเป็นน้องชาย
หากมองสถานการณ์อย่างไม่ซับซ้อน นี่อาจเป็นภาพช็อกความรู้สึก เพราะในการรับรู้จากประวัติศาสตร์การเมืองไทยระยะใกล้ จตุพรคือภาพของ นปช. และสนธิคือภาพของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จตุพรคือแดง และสนธิคือเหลือง
แต่การเมืองไทยหลังการรัฐประหารปี 2549 มีพลวัตที่ซับซ้อนกว่านั้น มีทั้งมิติที่เป็นความก้าวหน้าและมิติที่ถอยหลังล้าหลังทับซ้อนกันอยู่ค่อนข้างพิสดาร
อย่าลืมว่ากลุ่มคนที่อยู่บนเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยของสนธิในยุคเมืองไทยรายสัปดาห์ล้วนแต่เป็นกลุ่มที่เป็นคนหัวก้าวหน้า
เป็นฝ่ายซ้าย
เป็นเอ็นจีโอ
เป็นปัญญาชน
กลุ่มคนเหล่านี้คือกลุ่มคนกลุ่มเดียวกันกับคนที่ออกมาต้านรัฐประหาร ต่อสู้กับเผด็จการในยุคพฤษภาทมิฬ 2535 และเราต้องไม่ลืมว่าหนังสือพิมพ์ผู้จัดการของบ้านพระอาทิตย์ครั้งหนึ่งเคยเป็นหนังสือพิมพ์ที่ “ก้าวหน้า” ที่สุดของประเทศไทย
คำว่า “บ้านพระอาทิตย์” ที่ถนนพระอาทิตย์ไม่ใช่แค่สำหนักงานหนังสือพิมพ์ แต่เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นปัญญาชนของยุคสมัย คอลัมนิสต์ของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการล้วนแล้วแต่นักวิชาการแถวหน้าของประเทศ ไม่ว่าจะเป็น รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ เกษียร เตชะพีระ สุวินัย ภรณวลัย หนังสือพิมพ์ผู้จัดการยุคนั้นครบเครื่องทั้งข่าวการเมืองในประเทศ ข่าวเศรษฐกิจ ข่าวต่างประเทศ
ที่สำคัญเป็นหนังสือพิมพ์ที่ยกระดับข่าวศิลปะ วัฒนธรรม วรรณกรรมให้เป็น section ที่สำคัญเท่าๆ กับข่าวการเมือง
อีกทั้งยังเปลี่ยนการรับรู้ของสังคมไทยว่า ข่าวบันเทิงไม่ใช่ข่าวดารา แต่ข่าวบันเทิงของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการคือข่าวงานเสวนาวรรณกรรม งานเปิดตัวหนังสือ งานเปิดนิทรรศการศิลปะ
หนังสือพิมพ์ผู้จัดการในเวลานั้นมีความคล้ายกับประชาไทในเวลานี้ในเวอร์ชั่นที่ “รวยกว่า” และทรงอิทธิพลในแวดวงคนหัวก้าวหน้า
พูดง่ายๆ ว่า จะดูว่าใครฉลาดก็ดูที่ว่าเขาอ่าน “ผู้จัดการ” หรือเปล่า
นอกจากปัญญาชนและชนชั้นกลางที่มีการศึกษา (แปลว่ามีความตื่นรู้ทางการเมืองในระดับที่สูงกว่าคนอ่านหนังสือพิมพ์หัวสี) จะอ่าน “ผู้จัดการ” แล้ว พวกเขายังอ่านนิตยสาร “อาทิตย์รายสัปดาห์” ที่มี ชัชรินทร์ ไชยวัฒน์ เป็นผู้ก่อตั้งและเป็นบรรณาธิการ
ชื่อเสียงของชัชรินทร์ ไชยวัฒน์ นั้นคือจุดยืนที่แข็งแกร่ง กล้าหาญในการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลประชาธิปไตยครึ่งใบตลอดการอยู่ในอำนาจของเปรม ติณสูลานนท์
เพราะฉะนั้น หากเราไล่เรียงชื่อของคน “มีชื่อเสียง” ในยุคนั้นที่เป็นปัญญาชน ไม่ว่าจะเป็น ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ จรัส สุวรรณมาลา ปริญญา เทวานฤมิตรกุล เกษียร เตชะพีระ รสนา โตสิตระกูล เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นิธิ เอียวศรีวงศ์ เสรี สุวรรณภานนท์ สุริยะใส กตะศิลา สุภิญญา กลางณรงค์ สุวินัย ภรณวิลัย ประเวศ วะสี รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์
รวมไปถึงกลุ่มนักวิจารณ์วรรณกรรม ศิลปะ ในยุคที่เซ็กชั่นศิลปวัฒนธรรมในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรุ่งเรือง นิตยสาร “สีสัน” คือแหล่งรวมคอลัมนิสต์หัวก้าวหน้า อาทิตย์รายสัปดาห์คือหัวหอกในการต่อสู้กับเผด็จการ จนมาถึงยุคสยามรัฐรายสัปดาห์ ภายใต้ บก. รุ่งเรือง ปรีชากุล (ผู้สร้าง ฮิมิโตะ ณ เกียวโต และ คำ ผกา ขึ้นมาในวงการ) คอลัมนิสต์ในสยามรัฐรายสัปดาห์ยุคนั้น มีทั้ง อัญชลี ไพรีรักษ์ ไชยันต์ ไชยพร วีระ สมบูรณ์
คนเหล่านี้ล้วนแต่อยู่ในแนว “วิพากษ์” ทักษิณทั้งสิ้น
เหตุที่ต้องไล่เรียงรำลึกความหลังก็เพื่อให้เข้าใจว่าม็อบเสื้อเหลืองพันธมิตรที่ออกมาไล่ทักษิณ ชินวัตร ในสมัยนู้นไม่ได้ปลุกความเกลียดชังคุณทักษิณและตระกูลชินวัตรได้ในชั่วข้ามคืน กลุ่มคนที่เป็น “ชนชั้นนำทางปัญญา” ของสังคมไทยเหล่านี้ เป็นทั้งนักเคลื่อนไหวต่อต้านเผด็จการในสมัยพฤษภาทมิฬ เป็นกลุ่มคนที่มีส่วนในการผลักดันให้เกิด ส.ส.ร. เป็นกลุ่มคนที่มีส่วนในการร่างรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่ได้ชื่อว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุดของประเทศไทยด้วยซ้ำ (ซึ่งฉันค้านความเชื่อนี้มาโดยตลอด ตรงกันข้ามฉันมองว่ารัฐธรรมนูญปี 2540 นี่แหละตัวสร้างการเมืองคนดีและการมีองค์กรอิสระมากำกับฝ่ายการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง เหตุเพราะไม่ไว้ใจประชาชน)
ดังนั้น หากจะมีใครถามว่าทำไมในปี 2548 คนชั้นกลางที่มีการศึกษา นักวิชาการ สื่อมวลชน ศิลปิน นักเขียน ปัญญาชนสาธารณะ ทุกคนจึงเฮโลสาระพาไปกับม็อบไล่ทักษิณของสนธิ
ก็เพราะคนที่ออกมาบอกว่า “ทักษิณเลว” ล้วนแต่เป็นนักเคลื่อนไหว นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยทั้งสิ้น
มีหนังสือ “รู้ทันทักษิณ” ที่เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง เป็นบรรณาธิการ มีนักวิชาการแบบนิธิ เอียวศีววงศ์ เขียนบทความในหนังสือเล่มนั้น
ถามว่า สำหรับคนชั้นกลางที่มีการศึกษาระหว่าง อ.นิธิ กับทักษิณ เราจะเชื่อใคร เราก็ต้องเชื่อ อ.นิธิ มากกว่าอยู่แล้ว
นิตยสารฟ้าเดียวกันในสมัยนั้นก็ทำฉบับทักษิโณมิกส์ มีเล่มที่ออกมาทำเรื่องตากใบ
ฝ่ายเอ็นจีโอก็ออกมาโจมตีเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจของทักษิณที่ไม่เห็นหัวชาวบ้าน (มองว่านโยบายกองทุนหมู่บ้านคือประชานิยม ซื้อเสียงผ่านนโยบาย)
เพราะฉะนั้น เมื่อคนดีๆ ทุกคนที่ฉันเอ่ยมาข้างต้น ล้วนแต่เป็นวีรบุรุษประชาธิปไตย ล้วนแต่เป็นผู้ต่อสู้กับเผด็จการ เมื่อพวกเขาออกมาไล่ทักษิณก็แปลว่าทักษิณเลวจริง โกงจริง เป็นเผด็จการรัฐสภาจริง
ไม่อย่างนั้นคนที่เป็นนักประชาธิปไตยเขาจะเกลียดทักษิณทำไม การไปยืนอยู่ในฝั่งสีเหลืองจึงเป็น “หน้าที่” ของปัญญาชนในการต่อสู้กับนักการเมืองชั่ว
ทักษิณกำลังจะกินรวบประเทศ เราต้องหยุดยั้งการกินรวบนี้เพื่อปกป้องประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และอำนาจของพลเมืองอย่างเรา
นี่คือสารตั้งต้นของเวทีไล่ทักษิณของสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นเรื่องของคนมีการศึกษา คนที่กังวลเรื่องสิทธิมนุษยชน และประโยค “ยูเอ็นไม่ใช่พ่อ” คือประโยคที่ทำให้ปัญญาชน นักวิชาการหัวเสียที่สุด
ส่วนชาวบ้านที่รักทักษิณ เลือกทักษิณ ถูกมองว่าเป็นคนโง่ที่ถูกหลอกซื้อด้วยผลประโยชน์ระยะสั้นไม่กี่บาท ไม่มีความเข้าใจว่าการพัฒนาอย่างยั่งยืนคืออะไร และคนเหล่านี้ก็กลายเป็น “ควายแดง” ในเวลาต่อมา
จนช่วงท้ายๆ ที่ม็อบพันธมิตรฯ ถึงจุดที่ได้รับความนิยมสูงสุดก็ในห้วงของการปลุกใจด้วยโวหาร “ลูกจีนรักชาติ” ที่มาพร้อมกับทฤษฎีสมคบคิดว่าทักษิณทะเยอทะยานจะเป็นประธานาธิบดี มีเรื่องปฏิญญาฟินแลนด์
จากสารตั้งต้นของนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตย จึงไฮบริด เป็นนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตย สิ่งแวดล้อม มนุษยชน และปกป้องสถาบัน
จนทั้งหมดนี้นำไปสู่การรัฐประหารปี 2549 ท่ามกลางเสียงไชโยโห่ร้องดีใจของชนชั้นกลางไทยที่กำจัดทักษิณออกไปจากประเทศไทยและการเมืองไทยเสียที
ใครที่เพิ่งสนใจการเมืองและมานั่งอ่านบทความของฉันอยู่ตอนนี้อาจจะขมวดคิ้วว่ามีด้วยหรือ สังคมไทยที่โห่ร้องยินดีกับการรัฐประหาร มีการเต้นโคโยตี้หน้ารถถัง มีคนนำดอกกุหลาบไปมอบให้กับทหารเป็นการขอบคุณ
มีกลุ่มปัญญาชนจำนวนน้อยนิด นับนิ้วมือได้ ที่พยายามจะส่งเสียงว่าการรัฐประหารไม่ถูกต้อง แม้กระนั้นในท่ามกลางจำนวนอันน้อยนิดนี้ก็ยังต้องใส่หมายเหตุว่า
“ฉันไม่เอารัฐประหาร แต่ฉันเกลียดทักษิณนะ ไม่เคยเห็นด้วยกับทักษิณนะ รู้ว่าทักษิณทำไม่ถูก แต่ไม่ควรทำรัฐประหารไง” (มันจะตายให้ได้หากต้องยอมรับว่าทักษิณเป็นนายกฯ ที่ดี)
ใช้เวลานานหลายปี และคงไม่ต้องย้อนไปเล่าเรื่องเก่าว่าคนเสื้อแดงถูกรังเกียจเดียดฉันท์อย่างไรบ้างในตอนนั้น เป็นทั้งควายแดง ทาสทักษิณ เป็นทั้งโจร เป็นทั้งผู้ก่อการร้าย
กว่าสังคมไทยจะค่อยๆ เรียนรู้ว่าการรัฐประหารคือการปล้นอำนาจของประชาชน เพราะในปี 2553 สื่อกระแสหลักยังออกมาร้องเพลงเฉลิมฉลอง Big cleaning กันอยู่เลย
ความเปลี่ยนแปลงในภูมิทัศน์ทาง “ปัญญา” ของปัญญาชนไทยเริ่มขยับหลังเหตุการณ์สังหารประชาชนกลางเมืองหลวงปี 2553 ปัญญาชนสายเสรีนิยม อย่างสำนักนิธิ เอียวศรีวงศ์ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ธงชัย วินิจจะกูล เริ่มหันมาแสดงตัวอยู่ในฟากฝั่งเดียวกันกับนิติราษฎร์ พร้อมๆ กับการเคลื่อนไหวเกี่ยวกับมาตรา 112
หลังการเลือกตั้งปี 2554 ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขึ้นมาเป็นนายกฯ ปัญญาชนที่เคยเป็นเนื้อเดียวกันสมัยก่อน 2549 แตกออกมาเป็นสองสายชัดเจน มีนิติราษฎร์ ที่ขับเคลื่อนเข้มข้นที่สุด มีสายเสรีนิยมที่ผันตัวเองจากเหลืองมาเป็น “นักวิชาการฝ่ายประชาธิปไตย”
และเป็นห้วงเวลาของการแตกหักกันในหมู่นักวิชาการสายสังคมศาสตร์ นั่นคือฝ่ายของกลุ่ม สมบัติ จันทรวงศ์ ไชยันต์ ไชยพร กับกลุ่ม นิธิ ธงชัย ชาญวิทย์ พวงทอง ภวัครพันธุ์ ประจักษ์ ก้องกีรติ
และเป็นที่มาของการเรียกนักวิชาการกลุ่มนี้ว่า “นักวิชาการหัวก้าวหน้า”
จนกระทั่งมีม็อบนกหวีด ภาพของกลุ่มปัญญาชนหัวก้าวหน้าต่อต้านรัฐประหารกับกลุ่มปัญญาชนนกหวีดเริ่มมีเส้นแบ่งชัดเจนขึ้น และทำให้บทบาทของนักวิชาการต้านรัฐประหารโดดเด่นขึ้นมาอย่างมีนัยสำคัญ
พร้อมๆ กับการเติบโตของ voicetv ที่เป็นแพลตฟอร์มนำเสนอแนวคิดทางการเมือง สังคมที่ “ก้าวหน้า” กว่าใครเขาในเวลานั้นและไม่เป็นที่นิยมดูในหมู่มวลมหาประชาชนไทยเลย เสพ ฟัง กันในกลุ่มเล็กๆ
ณ จุดนี้เองที่เหมือนจะมีนักวิชาการ “เสื้อแดง” ที่ไม่ใช่ หมอเหวง โตจิราการ อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ กับเขาบ้าง
อย่างไรก็ตาม ในสมัยของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ นักวิชาการกลุ่มนี้ก็ไม่เห็นด้วยกับนโยบายจำนำข้าว และรุนแรงที่สุดคือไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมสุดซอยของนายกฯ ยิ่งลักษณ์
และนั่นคือที่มาของวาทกรรม “รัฐบาลเพื่อไทยทำทุกอย่างเพื่อเอาทักษิณกลับบ้าน” “สู้ไปกราบไป” และ “ดีลแล้วโดนหลอก”
จุดเปลี่ยนของภูมิทัศน์ทางการเมืองของปัญญาชนไทยขยับอีกรอบเมื่ออยู่ภายใต้รัฐบาลประยุทธ์ และพรรคอนาคตใหม่ถือกำเนิดขึ้น
ณ วันนั้นสังคมไทยประสบความสำเร็จในการปลดล็อกตัวเองออกจากวาทกรรมรัฐประหารคือทางออกของประเทศ และเกิดปรากฏการณ์ตาสว่าง
น่าจะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทยที่คำว่ารัฐประหารเป็น dirty word อย่างเป็นทางการ สำหรับฉันถือว่าเราพากันมาไหลมากในเรื่องนี้
การเปิดตัวพรรคอนาคตใหม่ทำให้ในฝั่งประชาธิปไตยดีใจว่า เรามีพรรคการเมืองในฝั่งนี้เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเป็นพรรคคนหนุ่มสาว พรรคนรุ่นใหม่มาเสริมทัพคนรุ่นเก่าอย่างเพื่อไทย
และแม้แต่ตัวฉันเองก็มองว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะ “นักวิชาการ” สายเสรีนิยมที่ทำใจเลือกเพื่อไทยไม่ได้ จะได้มีทางเลือกเป็นธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นปิยบุตร แสงกนกกุล
เพราะมองเช่นนี้ voicetv ณ เวลานั้นจึงเชียร์พรรคอนาคตใหม่มาก เรียกได้ว่ามากกว่าพรรคไทยรักษาชาติด้วยซ้ำ เพราะบุคลากรของพรรคอนาคตใหม่ก็เป็นศิษย์เก่า voicetv หลายคน จึงทำให้เกิดทั้งยุครุ่งโรจน์ของ voicetv และยุครุ่งโรจน์ของพรรคอนาคตใหม่ มาจนถึงพรรคก้าวไกล
และมาจนถึงช่วงม็อบปี 2563 ที่กระแสสังคมกำลังเบื่อรัฐประบาลประยุทธ์ และซ้ำเติมกันด้วยสถานการณ์โควิด การเข้ามาของคลับเฮาส์ กำเนิดของรายการการเมืองที่แสดงจุดยืนต่อต้านเผด็จการ จนทำให้เกิดปรากฏการณ์ของการกลับไป revisit ประวัติศาสตร์เสื้อแดง และ “คนรุ่นใหม่” ที่ออกมาไล่ประยุทธ์
ย้อนกลับไปให้คุณค่าของม็อบเสื้อแดงในแบบที่ “ควายแดง” ไม่เคยได้รับสถานะแบบนั้นมาก่อน
หลังจากที่พรรคไทยรักษาชาติถูกยุบ
พรรคเพื่อไทยก็รณรงค์ให้คนออกไปเลือกพรรคอนาคตใหม่ในเขตที่พรรคเพื่อไทยไม่ได้ส่ง และยังมีภาพความสัมพันธ์ของการเป็นพรรคการเมืองที่เป็นแนวร่วมกันอยู่
แต่ตัวฉันเองเริ่มเอะใจกับแนวทางของพรรคอนาคตใหม่ตั้งแต่การพูดเรื่องการเมืองใหม่ การไม่ซื้อเสียง การเมืองสะอาด
สิ่งที่สะกิดต่อมเอ๊ะของฉันคือ ทำไมพูดจาเหมือน “สลิ่ม” แต่ตรงนี้เองที่เป็นจุดขายของพรรคอนาคตใหม่ เพราะคนที่อกหักจากม็อบพันธมิตรฯ ม็อบนกหวีดที่อยากปฏิรูปการเมือง (ไม่ใช่สายลูกจีนรักชาติ) ก็มองว่าอุดมการณ์ของพรรคนี้ตรงจริต ตอบโจทย์
มันก็คงไม่เป็นธรรมกับพรรค “ส้ม” เท่าไหร่นัก หากเราจะมองว่าเขาต้องมาเป็นแนวร่วมแนวเดียวกันกับพรรคเพื่อไทย
เพราะหากเขามีอุดมการณ์เหมือนพรรคเพื่อไทยก็ไม่มีเหตุให้ต้องไปเหนื่อยยากตั้งพรรคใหม่
ฉันคิดว่า กลุ่มผู้ก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ก็เห็นแล้วว่าแนวทางของพรรคเพื่อไทยไม่ตอบโจทย์เขา และชัดเจนว่าแนวทางการต่อสู้ทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยเป็นสายประนีประนอม อะไรยอมได้ยอม
ในฐานะที่เคยเป็นเพื่อน พูดคุยกับปิยะบุตรมาก่อนหน้าที่เขาจะตั้งพรรคอนาคตใหม่กัน ปิยบุตรก็ปรารภอยู่บ่อยครั้งว่า “สู้แบบเพื่อไทยเมื่อไหร่จะชนะ เพื่อไทยไม่กล้า กลัวเกินไป ยอมเกินไป”
ส่วนฉันก็มองว่าแนวทางแบบนั้นเป็นเด็กเกินไป ฟุ้งฝันเกินไป และมองไปรอบๆ ก็ล้วนแล้วเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อกันทั้งนั้น จะเอาอะไรไปสู้
เลือกตั้ง 2562 ภูมิทัศน์ทางการเมืองของปัญญาชนไทยขยับไปรอบหนึ่ง นั่นคือเป็นยุคที่ปัญญาชนพันธมิตรรวมทั้งแกนนำอย่าง สนธิ เจิมศักดิ์ ประเวศ ไชยันต์ นักการเมืองอย่างอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็ไปทำตัวโลว์โปรไฟล์กันหมด มีเพียงอัญชลี ไพรีรักษ์ ที่ยังรักษาแนวต้านของ “สื่อ” ของกลุ่มเสื้อเหลืองดั้งเดิม
เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาแห่งการจำศีลของกลุ่มนี้ ไม่ได้หายไปไหนแค่ “รอเวลาออกมา”
เลือกตั้ง 2566 ภูมิทัศน์ทางการเมืองของปัญญาชนไทยก็ขยับครั้งใหญ่อีกครั้งหลังจากที่พรรคเพื่อไทยปล่อยมือจากพรรคก้าวไกลไปตั้งรัฐบาลกับพรรคการเมืองที่เคยเป็นรัฐบาลสมัยประยุทธ์
กระแสความนิยมของพรรคก้าวไกลพุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุดจากกระแสพิธาฟีเวอร์ หลังเลือกตั้งสถานการณ์พาให้พรรคก้าวไกลและพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ไปอยู่ในจุดของโศกนาฏกรรมอันสง่างามเหมือนรักที่ไม่สมหวัง แต่ตราตรึงของโรมิโอกับจูเลียต
การสร้างวาทกรรมข้ามขั้วตระบัดสัตย์ที่แสนเร้าใจ ชั่ววูบหนึ่งทางอารมณ์มีคนที่รีบร้อนต้องเลือกข้างที่ “ถูกต้อง” รีบโชว์จดหมายลาออกจากสมาชิกพรรคเพื่อไทย เพราะการผละออกจากพรรคเพื่อไทย หรือ voicetv ณ ขณะนั้นคือความเท่ คือความหมายของการยืนหยัดเหยียดตรงอย่างห้าวหาญ
ณ จุดนั้นเอง เป็นโอกาสของคนจำนวนหนึ่งที่มี “ประเด็น” เจ็บปวด น้อยใจ แค้นใจกับพรรคเพื่อไทยในเรื่องอื่นๆ อยู่เป็นทุนเดิม เช่น โดนเลย์ออฟ โดนปฏิเสธในเรื่องนั้นเรื่องนี้ ตำแหน่งนั้นตำแหน่งนี้ ดังที่คุณทักษิณเคยพูดว่า “เหมือนเลี้ยงหมา เอาข้าวให้กินมาเรื่อยๆ วันหนึ่งหยุดให้ หมาก็มาแว้งกัด”
ฉันไม่ได้บอกว่ามันมีแต่มิติของผลประโยชน์ แต่มันคงปะปนกันระหว่างความน้อยใจ เคยทุ่มเทให้ทำไมไม่ได้รับความสำคัญ หรืออาจจะแค่เมื่อไม่รับเป็นมิตรก็เป็นศัตรูให้แตกหักกันไปข้าง
ณ จุดที่พรรคเพื่อไทยเจอพะยี่ห้อข้ามขั้วตระบัดสัตย์จึงมีกลุ่มคนที่ฉวยใช้จังหวะนี้ดีดตัวออกจากการเป็น “แดง” แล้วสถาปนาตัวเองเป็นประชาธิปไตยเลือดแท้ แดงแท้ คนที่ยังอยู่กับพรรคเพื่อไทยคือพวกแดงทรยศ
หมอเหวง อ.ธิดา นักวิชาการสายเสรีนิยมทั้งหมดคงเหมือนยกภูเขาออกจากอกเพราะได้ปลดปล่อยพันธะที่มีต่อพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะในห้วงเวลาที่ทักษิณกลับเมืองไทย ทุกอย่างมันช่างเข้าเค้าไปหมด เพื่อไทยทรยศประชาชน อุ๊งอิ๊งพาพ่อกลับบ้าน ตระบัดสัตย์ต่อเสียงของประชาชนที่ต้องการให้เพื่อไทยจับมือกับก้าวไกลเป็นรัฐบาล
จังหวะนี้คือเป็นจุดที่แม่น้ำหลายสายไหลมาบรรจบกันพอดี
สีส้มที่ทั้งบาดหมางและเป็นคู่แข่งกัน
สีเหลืองที่หายไปจำศีลรอวันกลับมา
สื่อแบบสุทธิชัย หยุ่น ที่มีรัฐบาลเพื่อไทยเป็นความโอชาทางอารมณ์
การไหลไปบรรจบกันของจตุพรกับสนธิจึงเป็นเพียงภาพแรก เพราะเดี๋ยวจะมีอีกหลายภาพตามมา
และเชื่อฉันเถอะ เดี๋ยวนักวิชาการแบบเกษียร ธงชัย ชาญวิทย์ กับเวทีของสนธิ จตุพรก็จะเขยิบเข้าใกล้กันมากขึ้น
นักการเมืองคณะก้าวหน้าหลายคน รวมถึงพิธาก็จะเคลื่อนไหวเป็นแนวหนุนซึ่งกันและกัน โดยมีสื่อกระแสหลักนำโดยหยุ่นและพวก และ “ติ่งข่าว” เป็นลูกคู่คลอกันไป
เพียงแต่ปีกของทางฝั่งส้มจะพยายามท่องไว้ว่า รัฐประหารไม่ใช่ทางออก แต่โยนหมากนี้ไปให้อีกเวทีเล่นแทน และหากมันเกิดขึ้นจริงก็จะร้อง
“อุ๊ปสส์ ก็เนี่ย รัฐบาลเพื่อไทยมันดีลล่ม สมน้ำหน้า”
หากวาดภาพออกมาเป็นแผนผังก็จะเห็นสภาพการหลอมรวมกันของเฟสหนึ่งกับเฟสสอง มีจุดศูนย์รวมใจอยู่ที่ทักษิณ อุ๊งอิ๊ง ชั้นสิบสี่ รัฐล้มเหลว เฟลสเตต นักเขียน สื่อ นักวิชาการอิสระ สื่อคุณภาพ ไหลๆ ไปกองอยู่ที่เดียวกันนั่นคือตระกูลชินมันกลับมากัดกินประเทศอีกแล้ว
เป็นภาคต่อของการเคลื่อนไหวของปัญญาชนยุค “รู้ทันทักษิณ” กันอีกครั้ง และทุกคนก็อ้างความชอบธรรมในฐานะนักประชาธิปไตย นักต่อสู้ บางคนเคยเป่านกหวีด ไม่เป็นไร เนียนๆ ไปเป็นส้ม มีภารกิจโค่นล้มทักษิณเหมือนกัน
ในฐานะนักเรียนประวัติศาสตร์ ฉันไม่เชื่อว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยแม้จะมีอะไรบางอย่างที่คล้าย แต่มันจะไม่มีวันเป็นอย่างเดิม
สมการการเมืองไทยวันนี้ไม่ได้มีแค่เหลืองกับแดง แต่มีเฟสหนึ่งกลับมาแอ็กทีฟ มีส้ม มีนางแบก มีน้ำเงิน และการรื้อสร้างวาทกรรม “คนดี” ที่ทำให้ “ส้ม” เสื่อมมนต์ขลังไปจากช่วงรุ่งโรจน์ของพิธาอย่างหนัก
บอกได้เลยว่า การเมืองไทยจะสนุก เข้มข้นทุกวัน
ขอสติปัญญาและการรู้เท่าทันอยู่กับเราทุกคน
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022