

บทความต่างประเทศ
โครงการนิวเคลียร์อิหร่าน
กับศึกใหญ่ในตะวันออกกลาง
ทั้งโลกถอนหายใจโล่งอกได้ในระดับหนึ่ง หลังจากสงครามระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล ซึ่งดำเนินมาเป็นเวลา 12 วันเต็ม ยุติลง ตามข้อเสนอหยุดยิงของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
แต่เพียงไม่ช้าไม่นาน ระดับความตึงเครียดก็พุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง เมื่อต่างฝ่ายต่างออกมากล่าวหาซึ่งกันและกันว่า ละเมิดความตกลงหยุดยิงดังกล่าว
พร้อมๆ กับที่รายงาน “ลับ” ของหน่วยข่าวกรองอเมริกันหลุดออกมาสู่สาธารณะ ระบุชัดเจนว่า จากการประเมินเบื้องต้น 2 ใน 3 แหล่งนิวเคลียร์ของอิหร่านที่ตกเป็นเป้าโจมตีของกองทัพอเมริกัน ไม่ได้ถูก “ทำลายสิ้นซาก” อย่างที่ทรัมป์อ้าง แต่ได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อย และเชื่อว่าจะสามารถกลับมาปฏิบัติการได้ใหม่ภายใน 2-3 เดือนเท่านั้นเอง
รายงานที่อยู่ใน “ชั้นความลับ” ดังกล่าว จัดทำโดยสำนักงานข่าวกรองกลาโหม (ดีเฟนซ์ อินเทลลิเจนซ์ เอเยนซี หรือดีไอเอ) ที่เป็นหน่วยข่าวกรองทางทหารของกระทรวงกลาโหม (เพนตากอน) ของสหรัฐอเมริกา สรุปไว้ว่า องค์ประกอบสำคัญของแหล่งนิวเคลียร์ใต้ดิน 2 แหล่ง คือ ที่นาทานซ์ กับอิสฟาฮาน ซึ่งรวมถึงอุปกรณ์หมุนเหวี่ยงเพื่อเพิ่มสมรรถนะแร่กัมมันตภาพรังสี ยังคงอยู่ในสภาพดีเพียงพอต่อการเริ่มต้นปฏิบัติการตามโครงการได้ใหม่ภายในไม่กี่เดือน
ยิ่งไปกว่านั้น ดีไอเอยังรายงานไว้ด้วยว่า ฝ่ายอิหร่านได้เคลื่อนย้ายยูเรเนียม ที่ผ่านการเสริมสมรรถนะแล้วจนสามารถใช้เป็นอาวุธได้ ซึ่งเดิมเก็บไว้ในแหล่งนิวเคลียร์ที่ตกเป็นเป้า ออกไปจัดเก็บไว้ในที่ “ลับ” อื่น ก่อนหน้าที่จะมีการโจมตี
ข้อมูลดังกล่าวได้จากการสรุปผลการประเมินผลการโจมตีภายใน “เซนทรัล คอมมานด์” หรือกองบัญชาการกลาง ที่ทำหน้าที่กำกับดูแลปฏิบัติการทางทหารในตะวันออกกลางโดยเฉพาะ สวนทางกับคำประกาศของทรัมป์ก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง โดยทรัมป์อ้างว่า แหล่งเสริมสมรรถนะยูเรเนียมใต้ดิน 2 แห่ง คือ นาทานซ์ กับฟอร์โดว์ “ถูกทำลายโดยสิ้นเชิง” เช่นเดียวกับที่อิสฟาฮาน ซึ่งเป็นสถานที่จัดเก็บยูเรเนียมที่ผ่านการเสริมสมรรถนะแล้ว
สิ่งที่สหรัฐอเมริการอคอยในเวลานี้คือ ข่าวกรองจากภาคพื้นดินในอิหร่าน แหล่งข่าวรายหนึ่งระบุว่า ถ้าหากข่าวกรองภาคพื้นดินซึ่งเชื่อว่าจะมีรายงานเข้ามาภายในไม่กี่วันข้างหน้า ยืนยันว่าทั้ง 3 แหล่ง โดยเฉพาะฟอร์โดว์ไม่ได้ถูกทำลาย ก็สามารถพูดได้ว่าความเสียหายจริงๆ ที่เกิดจากการโจมตีอาจเล็กน้อยอย่างยิ่ง
ฟอร์โดว์ถือเป็นแหล่งนิวเคลียร์ที่ได้ชื่อว่ามีการป้องกันดีที่สุด แน่นหนาที่สุดของอิหร่าน ส่วนที่เป็นอุปกรณ์เสริมสมรรถนะยูเรเนียมของฟอร์โดว์ถูกสร้างขึ้นลึกลงไปใต้เทือกเขาซากรอส ไม่ต่ำกว่า 40-50 เมตร ซ่อนตัวอยู่ใต้ชั้นหินของภูเขา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหินปูนและหินโดโลไมต์
ไม่กี่วันก่อนหน้าการโจมตีครั้งสำคัญของสหรัฐอเมริกา ปรากฏรายงานข่าวในเดอะ การ์เดียน สื่อของประเทศอังกฤษ อ้างว่า เมื่อรัฐบาลทรัมป์เริ่มเข้าบริหารประเทศ เพนตากอนจัดให้มีการบรรยายสรุปให้บรรดานักการเมืองที่ได้รับการแต่งตั้งเข้ามาควบคุมกระทรวงกลาโหม มีเนื้อความตอนหนึ่งระบุว่า ระเบิดขนาดใหญ่ จีบียู-57 ที่มีน้ำหนักกว่าหมื่นกิโลกรัม หากนำมาใช้กับแหล่งนิวเคลียร์อย่าง ฟอร์โดว์ จะ “ไม่สามารถทำลาย” ฟอร์โดว์อย่างสมบูรณ์แบบได้
สำนักลดภัยคุกคามทางกลาโหม (ดีทีอาร์เอ) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่บรรยายสรุป ระบุว่า จีบียู-57 ไม่สามารถเจาะลงไปใต้ดินลึกพอที่จะทำลายฟอร์โดว์ วิธีเดียวที่จะทำลายแหล่งนิวเคลียร์นี้ได้ก็คือ การใช้อาวุธนิวเคลียร์เชิงยุทธวิธี (tactical nuclear weapon) เท่านั้น
ในการโจมตีแหล่งนิวเคลียร์อิหร่านครั้งนี้ สหรัฐใช้เครื่องบินทิ้งระเบิดแบบ บี-2 ทิ้งระเบิด จีบียู-57 รวม 12 ลูกถล่มฟอร์โดว์ และอีก 2 ลูก ถล่มนาทานซ์ หลังจากนั้นเรือดำน้ำอเมริกันยิงจรวดโทมาฮอว์กอีกราวๆ 30 ลูกเข้าใส่แหล่งนิวเคลียร์ที่อิสฟาฮาน เป็นที่มาของคำอวดอ้างของทรัมป์ที่ว่า แหล่งนิวเคลียร์อิหร่านถูกทำลายสิ้นซากในเวลาต่อมา
ทรัมป์ออกมาตอบโต้รายงานข่าวของสื่อเกี่ยวกับกรณีนี้อย่างกราดเกรี้ยว โดยเฉพาะซีเอ็นเอ็นและนิวยอร์ก ไทมส์ ที่เริ่มเป็นรายแรก ย้ำคำเดิมว่า แหล่งนิวเคลียร์อิหร่านถูกทำลายลงโดยสมบูรณ์
ทำเนียบขาวออกมากล่าวหาสื่อเหล่านี้ว่า พยายามดิสเครดิต และด้อยค่าความสำเร็จในปฏิบัติการที่องอาจกล้าหาญของบรรดานักบินอเมริกันที่ปฏิบัติภารกิจได้ “อย่างสมบูรณ์แบบ”
อย่างไรก็ตาม เจดี. แวนซ์ รองประธานาธิบดี ออกมายอมรับกับสื่อเมื่อ 22 มิถุนายนที่ผ่านมาว่า สหรัฐอเมริกาไม่ได้ล่วงรู้ว่าอิหร่านจัดเก็บยูเรเนียมที่ผ่านการเสริมสมรรถนะจนใช้เป็นอาวุธได้แล้วไว้ที่ไหน โดยระบุว่า “เรากำลังดำเนินการซึ่งจะล่วงรู้ภายในไม่กี่สัปดาห์อย่างชัดเจนว่า เราได้ทำอะไรบางสิ่งบางอย่างกับเชื้อเพลิงนิวเคลียร์เหล่านั้นไปแล้วหรือไม่”
ราฟาเอล กรอสซี ผู้อำนวยการสำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (ไอเออีเอ) กล่าวในเวลาต่อมาว่า ไอเออีเอเองก็ไม่สามารถตรวจสอบและระบุตำแหน่งที่จัดเก็บยูเรเนียมซึ่งผ่านการเสริมสมรรถนะเพื่อให้มีความบริสุทธิ์สูงถึง 60 เปอร์เซ็นต์แล้วของอิหร่านได้ ปริมาณของยูเรเนียมที่ไม่สามารถบอกได้ว่าอยู่ที่ไหนนี้ มีไม่น้อยกว่า 400 กิโลกรัม
นัยสำคัญว่าด้วยการถูกทำลายหรือไม่ได้ถูกทำลายของแหล่งนิวเคลียร์อิหร่านทั้งสามแหล่งก็คือ ตราบใดที่อิหร่านยังสามารถใช้งานแหล่งนิวเคลียร์ทั้ง 3 อยู่ต่อไปได้ โอกาสที่อิหร่านจะสามารถมีอาวุธนิวเคลียร์ไว้ในครอบครองก็ยังเป็นไปได้ และตราบใดที่อิหร่านยังสามารถครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ได้ อิสราเอลก็จะไม่รามือนิ่งนอนใจเป็นอันขาด
ซึ่งนั่นหมายถึงโอกาสที่ศึกตะวันออกกลางจะปะทุขึ้นอีกครั้งนั่นเอง