

บทความพิเศษ | ธงชัย วินิจจะกูล
เลิกใส่ตรวนอานนท์ นำภา และผู้ต้องขังเถิด
ก่อนอื่นใด ขอแก้ความเข้าใจผิดๆ 3 ประการ คือ
1. มิได้หมายความว่าปัญหาอื่นของกระบวนการยุติธรรมเป็นปัญหาสำคัญน้อยกว่าเรื่องนี้ ผมขอยืนยันความเห็นว่าระบบกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมมีปัญหาและควรจะต้องปฏิรูปหรือยกเครื่องครั้งใหญ่ รวมทั้งการไม่ให้ประกันตัวที่ยังเป็นปัญหาสำคัญมากๆ
อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่มักถูกมองข้ามคือการราชทัณฑ์และเรือนจำ รวมทั้งปัญหาที่น่าจะแก้ไขได้ไม่ยากก็กลับไม่มีการปรับปรุงแก้ไขแต่อย่างใด นั่นคือการใส่เครื่องพันธนาการกับผู้ต้องขัง
2. ข้อเรียกร้องให้ถอดตรวนอานนท์ มิใช่ทำให้เขามีอภิสิทธิ์ไม่ต้องทำตามกฎหมาย ตรงกันข้าม กฎหมายปัจจุบันห้ามใส่เครื่องพันธนาการกับผู้ต้องขังยกเว้นเพียงบางกรณี แต่ปัจจุบันการใส่ตรวนและกุญแจเท้ากับผู้ต้องขังชายกลายเป็นการปฏิบัติปกติ การร้องขอให้ถอดตรวนกลับต้องร้องขอให้ยกเว้น คำร้องของผมเป็นการขอให้ทำตามกฎหมายที่มีอยู่
3. กรณีนี้มิใช่การขออภิสิทธิ์ให้แก่อานนท์เหนือผู้ต้องขังอื่นๆ ตรงกันข้าม หากศาลเห็นด้วยกับคำร้องนี้และทำการไต่สวน เป็นไปได้ที่จะเป็นบรรทัดฐานที่อาจนำไปสู่การถอดตรวนกับผู้ต้องขังทั้งระบบ
ยกเว้นเพียงบางกรณี เช่น กระทำความผิดร้ายแรงต่อชีวิตผู้อื่น หรือมีประวัติพยายามหลบหนี เป็นต้น
ตามประวัติเกี่ยวกับเครื่องพันธนาการในระบบราชทัณฑ์ไทยตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 และที่บัญญัติใน พ.ร.บ.ราชทัณฑ์หลายฉบับตลอดร้อยปีที่ผ่านมา เราทราบว่าเครื่องพันธนาการเปลี่ยนแปลงไปในยุคต่างๆ เพื่อลดความป่าเถื่อนโหดร้าย กล่าวคือ จากโซ่หนักเส้นใหญ่เป็นเส้นเล็กลงเบาลง เป็นต้น
แต่การเปลี่ยนแปลงกลับขึ้นๆ ลงๆ เคยมีบางช่วงยกเลิกโซ่ตรวนที่ขาและข้อเท้า ผู้ต้องหาออกจากเรือนจำจึงมีเพียงกุญแจมือเท่านั้น ต่อมาตรวนล่ามโซ่สองขาก็กลับมาใหม่
เครื่องพันธนาการยังคงอยู่มาจนทุกวันนี้ด้วยเหตุผลเดียวเหมือนเดิมตลอดร้อยปี คือ ป้องกันผู้ต้องขังหลบหนี
กฎหมายให้เจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมมีอำนาจใช้ดุลพินิจใส่เครื่องพันธนาการกับผู้ต้องขังบางรายได้แล้วแต่กรณี
แต่ปัจจุบัน เกิดการเหมารวมไปหมดว่าผู้ต้องหาอาจจะหลบหนี จึงให้ใส่เครื่องพันธนาการทุกรายทุกกรณีที่เดินทางมาศาล ทำให้ข้อยกเว้นกลายเป็นแนวปฏิบัติทั่วไป
นี่เป็นการเหมารวมอย่างโหดร้ายที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ไม่สนใจกับมนุษยธรรมและความเป็นมนุษย์ของนักโทษส่วนใหญ่ เอาปัญหาที่เกิดจากนักโทษจำนวนน้อย นานๆ สักครั้งหนึ่งมาเป็นเหตุที่กระทำต่อผู้ต้องขังทั้งหมด
คงจะเป็นเพราะเจ้าหน้าที่มีภาระหนักต้องทำคำอธิบายว่าทำไมจึงใส่ตรวนรายนั้นแต่ไม่ใส่รายนี้ จึงแก้ปัญหาด้วยการโยนให้นักโทษทั้งหมดรับเคราะห์โดนทรมานกันถ้วนหน้า เป็นการหาทางออกที่โหดร้ายมาก
ในทางปฏิบัติ แทนที่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จะต้องอธิบายว่าทำไมต้องใส่ตรวนในกรณีหนึ่งๆ จึงกลายเป็นว่าผู้ต้องขังและทนายกลับต้องร้องขอเป็นกรณีๆ ว่าทำไมจึงของดเว้นไม่ให้ใส่ตรวน
นอกจากนี้ จนบัดนี้ผมก็ยังไม่พบว่ากฎระเบียบใดห้ามไม่ให้ผู้ต้องขังใส่รองเท้าในห้องพิจารณาคดี ต้องเดินตีนเปล่าในศาล นี่เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการปฏิบัติกับเขาอย่างต่ำกว่าคนเต็มคน ใช่หรือไม่
ถึงแม้เหตุผลทางการคือป้องกันการหลบหนี แต่ผมเห็นว่าการปฏิบัติเหล่านี้เป็นมรดกจากการ “ราชทัณฑ์” แบบจารีตก่อนสมัยใหม่ที่เห็นว่าคนคุกไม่ใช่มนุษย์เต็มคน ต้องกดกำราบให้สยบต่ออำนาจของเจ้าหน้าที่ของหลวง
ในสมัยก่อน ค่านิยมเช่นนี้มากับหลักกฎหมายแบบจารีตที่ถือว่าคนคุกมีความผิดไว้ก่อนจนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าตนบริสุทธิ์ การทรมานเพื่อรีดคำสารภาพจึงเป็นการปฏิบัติปกติ ในปัจจุบันยกเลิกหลักกฎหมายแบบจารีตไปหลายอย่าง แต่ยังมีมรดกตกทอดอีกหลายอย่าง รวมทั้งหลายๆ อย่างที่เกี่ยวกับสภาพในเรือนจำและการปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง
ผมมีโอกาสไปฟังการพิจารณาคดีของอานนท์มา 4-5 ครั้ง ทุกครั้งจะเห็นเขาถูกล่ามด้วยกุญแจข้อเท้าและโซ่ตรึงขาสองข้างไว้ให้เดินไม่ถนัด และไม่ให้ใส่รองเท้า แม้กระทั่งในวันที่เขาทำหน้าที่ทนาย อานนท์ก็อยู่ในชุดนักโทษมีกุญแจข้อเท้า มีโซ่ล่ามและไม่สวมรองเท้าเช่นกัน
ภาพที่เห็นทำให้เกิดคำถามว่าต้องปฏิบัติกับ “คน” แบบนั้นเชียวหรือ
อานนท์เป็นทนายความ มีความรู้ความสามารถเป็นที่เคารพของผู้คนจำนวนมาก เป็นบุคคลสาธารณะซึ่งเรารู้จักกันดีว่าสุภาพน่านับถือ เขามิได้มีพฤติกรรมพยายามหลบหนี มิได้ประพฤติผิดทำร้ายใคร ไม่มีอำนาจและมิได้ใช้อำนาจในทางที่ผิดหรือมิชอบอย่างอีกหลายคนที่ลอยหน้าลอยตาอยู่ในสังคม
คนแบบนี้สมควรจะได้รับการยกย่อง ไม่ใช่ปฏิบัติต่อเขาราวกับไม่ใช่มนุษย์เต็มคน
ผมจึงมีความเห็นร้องต่อศาลว่า
หนึ่ง การใส่ตรวนหรือกุญแจเท้ากับผู้ต้องขัง ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 4, 25, 28 ขัดต่อกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมือง ข้อ 14 ตลอดจนถึงมาตรา 26 แห่ง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 (กรุณาลองไปค้นหาข้อกฎหมายเหล่านี้ดูนะครับ)
นอกจากนี้ พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 ที่ใช้ปัจจุบัน มาตรา 21 บัญญัติห้ามใช้เครื่องพันธนาการแก่ผู้ต้องขัง เว้นแต่เพียงบางกรณีที่เจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่ควบคุมเห็นว่าสมควรต้องใช้เครื่องพันธนาการ
จะเห็นได้ว่าเจตจำนงของกฎหมายห้ามใช้เครื่องพันธนาการ แต่ให้ใช้ได้เป็น “ข้อยกเว้น” เท่าที่จำเป็น เช่น กรณีนักโทษอุกฉกรรจ์ หรือสงสัย หรือมีประวัติพยายามหลบหนี
นักโทษส่วนข้างมากมิได้มีพฤติกรรมหรือประวัติเช่นนั้น และมิได้มีข้อหาหรือประกอบอาชญากรรมอย่างอุกฉกรรจ์แต่อย่างใด
จึงน่าจะถึงเวลาแล้วที่การใส่เครื่องพันธนาการควรจะเป็นเพียงข้อยกเว้นตามเจตจำนงของกฎหมาย ไม่ใช่แนวปฏิบัติตามปกติ จนต้องมาร้องเรียนให้ปลดพันธนาการเป็นกรณียกเว้น
สอง ความวิตกว่าผู้ต้องหาอาจหลบหนีนั้น โดยสถิติและโดยสามัญสำนึก เป็นไปได้น้อยมาก เพียงไม่กี่คดี การเหมารวมว่านักโทษส่วนใหญ่พยายามหลบหนีจึงต้องพันธนาการย่อมไม่ถูกต้อง เป็นการเหมารวมที่โหดร้าย
ยิ่งไปกว่านั้นการหลบหนีมักเกี่ยวข้องกับการทุจริตหรือมีผู้ช่วยเหลือ เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เกือบทั้งหมดปฏิบัติหน้าที่อย่างสุจริต ย่อมเพียงพอที่จะไม่ให้เกิดกรณีดังกล่าวได้ง่ายๆ
ในเมื่อการหลบหนีเป็นเพียงข้อยกเว้น การพันธนาการก็ควรเป็นข้อยกเว้นในกรณีเพื่อความปลอดภัยในห้องพิจารณาคดีแค่นั้น
สาม ท่านผู้พิพากษาบนบัลลังก์ ท่านอัยการผู้ฟ้อง ทนาย และวิญญูชนในห้องพิจารณาคดีล้วนเป็นอารยชนที่เข้าใจดีด้วยสามัญสำนึกว่าการปฏิบัติต่อมนุษย์ด้วยกันอย่างป่าเถื่อนเป็นอย่างไร น่าเวทนา น่ารังเกียจขนาดไหน
การพันธนาการนักโทษซึ่งส่วนใหญ่มิได้คิดหรือมีพฤติกรรมจะหลบหนี ย่อมเป็นที่กระทบกระเทือนต่อจิตใจของอารยชนอย่างท่านแน่นอน แล้วทำไมจึงจะต้องสืบทอดการปฏิบัติอันป่าเถื่อนเช่นนั้นต่อไป
ยิ่งผู้ถูกพันธนาการเป็นบุคคลน่าเคารพยกย่องอย่างนายอานนท์ นำภา เรายิ่งน่าจะฉุกคิดว่าแนวปฏิบัติเหมาะสมหรือไม่
สี่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแสดงพระราชดำริชัดเจนว่าเหตุผลที่ยกเลิกการสอบสวนและลงโทษแบบจารีตนครบาลเมื่อ พ.ศ.2439 นั้น เพราะแนวปฏิบัติดังกล่าวไม่ศิวิไลซ์ ไม่มีอารยธรรมในสายตาของนานาชาติ ซึ่งพระองค์ทรงเห็นด้วย
การใส่กุญแจเท้าพันธนาการแม้กระทั่งในศาล จึงเป็นสิ่งไม่สมควรด้วยเหตุผลทำนองเดียวกับที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ห้า ได้แสดงไว้อย่างชัดแจ้งแล้ว
ห้า อานนท์เป็นบุคคลที่สังคมนานาชาติให้ความน่าเชื่อถืออย่างมาก เขาได้รับรางวัลระดับโลกหลายรางวัล เช่น รางวัลจากมูลนิธิสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยจากเกาหลีใต้เมื่อปี 2564 ล่าสุดเขาได้รับรางวัลนานาชาติ Front line Defenders Award 2568
ดังนั้น คดีของเขาย่อมอยู่ในสายตาของนานาชาติจำนวนมาก การที่เขาถูกใส่พันธนาการทุกครั้งที่เขามาออกศาล ย่อมเป็นที่รับรู้จับจ้องมองเห็นจากสายตาจำนวนมากทั่วทั้งโลก จึงไม่เป็นผลดีต่อกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยแต่อย่างใด
จึงขอให้ศาลทำการไต่สวนเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมนายอานนท์ นำภา ว่ามีเหตุผลอย่างไรจึงจำเป็นต้องใส่เครื่องพันธนาการในกรณีนี้ ซึ่งเป็น “ข้อยกเว้น” ตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ 2560
การยื่นคำร้องในครั้งนี้ดำเนินการผ่านทางศาลจึงต้องเป็นกรณีผู้ต้องขังเฉพาะราย (ศาลไม่มีหน้าที่ออกคำสั่งทางนโยบาย) แต่เราไม่ได้พยายามทำให้อานนท์มีอภิสิทธิ์เหนือนักโทษอื่น ตรงกันข้าม ถ้าหากศาลทำการไต่สวนเจ้าหน้าที่ในกรณีนี้ อาจจะเป็นทางออกในทางปฏิบัติที่เป็นคุณต่อผู้ต้องขังทุกคนทุกกรณีด้วย เพราะหากถูกร้องและศาลไต่สวนกรณีนั้นว่าสมควรใส่ตรวนหรือไม่ ราชทัณฑ์จะต้องอธิบายแต่ละกรณีว่าทำไม หากไม่ต้องการแบกภาระอธิบายทุกกรณี ราชทัณฑ์ก็ควรถอดตรวนนักโทษส่วนใหญ่ เลิกปฏิบัติต่อเขาราวกับเขาไม่ใช่มนุษย์อย่างที่เป็นอยู่ ยกเว้นเพียงไม่กี่กรณีที่จำเป็นเท่านั้น
เช่นนี้จึงจะช่วยให้การบังคับใช้กฎหมายเข้ารูปเข้ารอยตามเจตจำนงของกฎหมาย
ปัญหาการใส่ตรวนอย่างป่าเถื่อนนี้ สามารถแก้ไขได้โดยอธิบดีหรือรัฐมนตรีสั่งการ หรือโดยประกาศเป็นนโยบายของรัฐบาลเกี่ยวกับเรื่องนี้ซึ่งหน่วยราชการต้องรับไปปฏิบัติ จึงย่อมเป็นคุณแก่นักโทษทั้งระบบในทุกเรือนจำ แทนที่จะต้องร้องขอเป็นกรณีๆ ดังทุกวันนี้
ขอสาธารณชนได้โปรดพิจารณา
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022