
ทรัมป์-สี ในบริบท Game Theory : ก้าวย่างการถอยก่อนจะพังทั้งคู่!

กาแฟดำ | สุทธิชัย หยุ่น
ทรัมป์-สี ในบริบท Game Theory
: ก้าวย่างการถอยก่อนจะพังทั้งคู่!
ใครติดตามลีลาและกลยุทธ์การต่อรองระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์ กับสี จิ้นผิง ในสงครามการค้ารอบนี้ก็คงเห็นความแยบยลแห่งการเอาชนะกันด้วยแนวทางที่ไปกันคนละทาง
โดยที่ทั้งสองฝ่ายต่างมั่นใจว่าวิถีของตนจะเอาชนะเกมนี้ได้
ผมเปรียบเทียบ Art of the Deal ของทรัมป์กับ Art of War หรือตำรา “พิชัยสงคราม” ของซุนวู ที่สี จิ้นผิง นำมาใช้ในการเผชิญหน้ากันแล้ว
วันนี้ลองเปรียบเชิงมวยตามหลัก Game Theory บ้าง
ผมสนใจ Game Theory มานาน แต่เพิ่งคิดขึ้นได้ว่าการเจรจาต่อรองระหว่างสองผู้ยิ่งใหญ่ครั้งนี้มีความสอดคล้องกับเกมการทายใจกันและกันเพื่อตัดสินใจที่จะให้ฝ่ายตนได้ประโยชน์สูงสุด
แต่มันเป็นเกมเสี่ยงไม่น้อย
หากเดาถูก หรือหากมีการใช้วิธีเกทับบลั๊ฟฟ์แหลกแล้วได้ผลก็อาจจะชนะเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
แต่หากประเมินอีกฝ่ายหนึ่งผิดก็อาจสิ้นเนื้อประดาตัวได้เช่นกัน
เนื้อแท้ของ Game Theory คือการที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่
หรือจะไว้ใจอีกฝ่ายหนึ่งได้จริงๆ แค่ไหน
การจะได้ประโยชน์สูงสุดจาก Game Theory ในเบื้องต้นจึงจะสามารถทำได้หลายกรณี เช่น หักหลังอีกฝ่าย ในกรณีที่รู้ว่าอีกฝ่ายจะไม่หักหลังเราอย่างแน่นอน
หรือไม่ก็ร่วมมือกับอีกฝ่าย ในกรณีที่รู้ว่าอีกฝ่ายจะไม่หักหลังเรา (แต่ถ้าอีกฝ่ายหักหลังเราขึ้นมา ก็ซวย) ตกลงกันมาแต่แรก (โกงเงื่อนไขของเกม) เพื่อทำให้เลือกเหมือนกันเพื่อที่ทั้ง 2 ฝ่ายจะเจ็บตัวน้อยที่สุด หรืออาจะเรียกว่า “ฮั้ว” ก็ย่อมได้
การเผชิญหน้าระหว่างทรัมป์กับสี จิ้นผิง เข้ากับ Game Theory เพราะเริ่มต้นต่างฝ่ายต้องการผลประโยชน์สูงสุด
แต่เมื่อสถานการณ์เข้าสู่ภาวะตาต่อตา ฟันต่อฟัน ต่างฝ่ายต่างก็เริ่มยอมรับ (แบบไม่บอกใคร) ว่ามันเป็นไปไม่ได้
จึงต้องยอมลดราวาศอกกัน
แต่จะถอยอย่างไรไม่ให้เสียหมดหน้าตักคือประเด็นหลัก
ทรัมป์กับสีเริ่มปะทะกันครั้งแรกอย่างเปิดเผยสมัยทรัมป์ 1.0
ในช่วงปี 2018-2019 เปิดศึกทางการค้าอย่างรุนแรง ทั้งสองฝ่ายต่างเรียกเก็บภาษีสินค้าของอีกฝ่าย หวังว่าจะกดดันให้อีกฝ่ายยอมอ่อนข้อ
เพราะไม่มีฝ่ายไหนอยากถูกมองว่าอ่อนแอหรือยอมแพ้
เข้าสู่ภาวะตัวอย่างการพิสูจน์ความสามารถในการ “เดาทาง” อีกฝ่ายหนึ่งอย่างร้อนแรง
Game Theory มีตัวอย่างที่กล่าวขวัญกันเสมอคือ “เกมไก่อ่อน”(Game of Chicken) และ “เกมนักโทษ” (Prisoners’ Dilemma)
เกมไก่อ่อนคือสถานการณ์ที่ผู้เล่นสองคนขับรถพุ่งเข้าหากัน ถ้าไม่มีใครหลบ ก็ชนกันแหลก
แต่ถ้าใครหลบก่อน จะถูกมองว่าเป็น “ไก่อ่อน” (ขี้ขลาด) ดังนั้น แต่ละฝ่ายจึงอยากให้อีกฝ่ายเป็นคนหลบ
ในกรณีของอเมริกากับจีน ทรัมป์และสี ต่างพูดว่า : “เราจะไม่ถอย เธอต้องเป็นฝ่ายยอม!”
ถ้าไม่มีใครยอม (ไม่มีฝ่ายใดยอมลดเงื่อนไขการค้า) ผลลัพธ์คือ เศรษฐกิจทั้งสองฝ่ายเสียหาย
ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยอม (เช่น จีนยอมลดกำแพงภาษี), อีกฝ่ายก็จะดูชนะทั้งในทางเศรษฐกิจและการเมือง
แต่ถ้าทั้งสองไม่ยอม ก็เสี่ยงต่อการเสียหายหนัก เช่นเดียวกับรถชนในเกมไก่อ่อน
วิเคราะห์ในมุมมองตามทฤษฎีเกมก็อาจตีความได้ว่า ผู้นำแต่ละฝ่ายย่อมต้องการแสดงความแข็งแกร่งเด็ดขาดทั้งสำหรับประชาชนของตนและประชาคมโลก จึงไม่ยอมเป็นฝ่ายถอย
แต่ท่าทีที่แข็งข้อมากเกินไปอาจทำให้พังไปทั้งคู่ได้เช่นกัน
ส่วนเกมนักโทษหรือ Prisoner’s Dilemma ก็นำมาเปรียบเทียบได้กับการต่อรองระหว่างทรัมป์กับสีเช่นกัน
ตามกติกาของเกมนักโทษ ผู้เล่นสองคนต้องเลือกว่าจะร่วมมือ หรือหักหลังอีกฝ่าย
ถ้าทั้งสองร่วมมือ ทั้งคู่จะได้ผลลัพธ์ที่ดี
แต่ถ้าอีกฝ่ายร่วมมือแต่ฝ่ายเราหักหลัง ฝ่ายหนึ่งจะได้เปรียบสูงสุด ส่วนอีกฝ่ายเสียหายหนัก
แต่ถ้าทั้งสองหักหลังกัน ต่างก็เสียกันทั้งคู่
ถ้าทรัมป์และสีร่วมมือกัน (ลดภาษี ยอมรับกติกาการค้าอย่างยุติธรรม), ทั้งสองประเทศจะได้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
แต่ถ้าฝ่ายหนึ่งหักหลัง (เช่น ขึ้นภาษีฝ่ายเดียว), ฝ่ายนั้นอาจได้เปรียบในระยะสั้น
ถ้าทั้งสองฝ่ายหักหลังหรือแอบแทงข้างหลังต่อกัน (ต่างฝ่ายต่างขึ้นภาษี), ทั้งสองประเทศจะเจ็บตัว
หากตีความตามหลัก Game Theory ก็จะสรุปบทเรียนได้ว่า แม้การร่วมมือจะให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด แต่ความไม่ไว้ใจต่อกันแบบมนุษย์กิเลสหนา หรือผู้นำประเทศที่ไม่สันทัดในเกมการต่อรอง หวังแต่จะเอาชนะคะคานกันก็จะทำให้ทั้งสองฝ่ายเลือกทางที่ทำร้ายกันและกันแทน
ดังนั้น หากยกเอาสองเกมนี้มาเปรียบเทียบกับสถานการณ์ปัจจุบันเราก็จะสรุปได้ว่า
ในกรณีเกมไก่อ่อนนั้น คำถามคือใครจะยอมก่อน? ทั้งสองไม่อยากดูอ่อนแอ ถ้าไม่มีใครยอม ทั้งคู่เสียหาย
ส่วนถ้าเล่นเกมนักโทษ หากจะให้ผลออกมาดีสำหรับทั้งสองฝ่ายก็ควรจะร่วมมือกัน แต่ความกลัวว่าอีกฝ่ายจะหักหลัง ทำให้ทั้งคู่เลือกทำร้ายกันเอง
สงครามการค้าระหว่างทรัมป์กับสีสะท้อนถึงการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ ที่ขึ้นอยู่กับความคาดเดาว่าอีกฝ่ายจะทำอย่างไร ทฤษฎีเกมช่วยอธิบายว่าทำไมการร่วมมือจึงเป็นเรื่องยาก
และทำไมสถานการณ์ถึงยกระดับได้ง่าย แม้ทั้งสองฝ่ายจะรู้ว่าทางออกที่ดีที่สุดคือการไม่เผชิญหน้า
ความไม่ไว้ใจซึ่งกันและกัน เช่น สหรัฐกลัวจีนขโมยเทคโนโลยี, จีนกลัวสหรัฐพยายามขัดขวางการเติบโต จึงเลือกที่จะหักหลังกัน ด้วยการขึ้นภาษีและตอบโต้กันไปมา สุดท้ายคือทั้งคู่เสียผลประโยชน์ แม้จะตั้งใจปกป้องตัวเอง
ท้ายสุด บทเรียนจากเกมนี้คือ : แม้การร่วมมือจะดีที่สุด แต่ในโลกแห่งความจริง ความไม่ไว้ใจและความกลัวเสียเปรียบ ทำให้คนเลือกทางที่แย่ลงโดยไม่รู้ตัว
สงครามการค้าระหว่างทรัมป์กับสีไม่ได้เป็นแค่เรื่องของภาษี แต่มันคือการทดสอบจิตวิทยา ความกล้าหาญ ความไว้ใจ และการเล่นเกมเชิงกลยุทธ์ในระดับประเทศ
หากผู้นำทั้งสองเข้าใจว่าความร่วมมือไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่คือการเลือกทางฉลาด เราอาจเห็นเศรษฐกิจโลกที่มั่นคงกว่านี้
คำถามคือใครจะเป็นคนที่ทั้งสองฝ่ายไว้วางใจพอที่จะเชื่อว่าแนวทางการเผชิญหน้าอย่างที่เห็นอยู่นั้นมีแต่จะทำให้ทั้งโลกปั่นป่วนวุ่นวายอย่างที่เห็น
ตัวอย่างที่เห็นชัดคือก่อนหน้านี้คือทรัมป์ยืนยันตลอดว่าจีนเดือดร้อนมากกว่าอเมริกา ดังนั้น เขาเชื่อว่าสีจะเป็นคนต่อสายมาหาเขาก่อน
สี จิ้นผิง แม้จะอยากเจรจาเพราะปักกิ่งก็เดือดร้อนเช่นกัน แต่ก็รักษาท่าทีที่ “ฉันไม่แคร์ แกเดือดร้อนกว่าฉัน”
ว่าแล้ว ทรัมป์ก็ออกข่าวว่าจีนติดต่อมาแล้ว
จีนโต้ว่าไม่จริง วอชิงตันอย่าปล่อยข่าวสับสน ปักกิ่งไม่ใช่ฝ่ายติดต่อไป
จังหวะบังเอิญทั้งสองฝ่ายนัดไปเยือนสวิตเซอร์แลนด์ในสัปดาห์เดียวกัน
จึงนัดไปเจอกันที่ “ประเทศเป็นกลาง”
กระนั้น ก็ยังไม่มีฝ่ายไหนยอมรับว่าเป็นคนขอนัดหมาย
ท้ายที่สุด ทั้งสองฝ่ายก็ปล่อยให้ทั้งโลกคาดเดาไปเอง
กว่าจะปีนบันไดลงมาพร้อมๆ กันได้ โลกทั้งใบก็ตกอยู่ในสภาพร้อนรนและทุรนทุราย
จนถึงวันนี้!
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022