

บทความพิเศษ สุภา ปัทมานันท์
เรื่องของคนรวยญี่ปุ่น (富裕層)
ในขณะที่ราคาข้าวญี่ปุ่นแพงขึ้นเกือบ 2 เท่า ในรอบกว่าหนึ่งปีที่ผ่านมา พนักงานกินเงินเดือน ลูกจ้างทั่วไป พากันบ่นพึมต้องซื้อข้าวซึ่งเป็นอาหารหลักเกือบทุกมื้อในราคาแพง อาหารทุกชนิดล้วนแพงขึ้น ค่าครองชีพสูงขึ้น เงินเดือน ค่าจ้างไม่เพิ่มขึ้น ไล่ไม่ทันค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นในชีวิตประจำวัน
เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2025 สถาบันวิจัยโนมูระ (野村総合研究所) รายงานตัวเลข “คนรวย” ของญี่ปุ่น ประจำปี 2023 โดยอิงจากข้อมูลของหน่วยงานราชการหลายกระทรวง
การจัดแยกระดับคนรวยมาก รวยน้อย พิจารณาจากทรัพย์สิน net financial assets (純金融資産) เช่น เงินสด เงินฝาก พันธบัตร หุ้น หุ้นกู้ เป็นต้น แต่ไม่นับรวมอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์จำพวกบ้าน ที่ดิน รถ เครื่องประดับ ฯลฯ คนที่มีมากกว่า 100-500 ล้านเยน (คำนวณคร่าวๆ 1 เยน = 0.23 บาท) จัดเป็น “คนรวย” (富裕層) มีประมาณ 1,535,000 ครัวเรือน
คนที่มีทรัพย์สินมากกว่า 500 ล้านเยนขึ้นไป จัดเป็น “คนรวยมาก” (超富裕層) มีประมาณ 118,000 ครัวเรือน เป็นชนชั้นยอดบนสุดของพีระมิด
จำนวน “คนรวยมาก” และ “คนรวย” รวมกัน 1,653,000 ครัวเรือน เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2021 เพิ่มขึ้น 11% และจำนวนรวมทรัพย์สินเพิ่มขึ้น 29%
คนที่มีทรัพย์สิน 50-100 ล้านเยน คือ “คนมีอันจะกิน” (準富裕層) เป็นชนชั้นกลางระดับบน มีประมาณ 4,039,000 ครัวเรือน
ถัดมาคือ “ชนชั้นกลาง” คนที่มีทรัพย์สิน 30-50 ล้านเยน มีจำนวนมากถึง 5,765,000 ครัวเรือน
สุดท้าย “คนทั่วไป” เป็นคนที่มีทรัพย์สินไม่ถึง 30 ล้านเยน มีมากที่สุด 44,247,000 ครัวเรือน กลุ่มนี้คือฐานล่างของพีระมิด
เริ่มมีการสำรวจความมั่งคั่งของประชากรญี่ปุ่นมาตั้งแต่ปี 2005 คนรวยมาก และคนรวย มีเพิ่มขึ้น 2 เท่า คนมีอันจะกิน เพิ่มขึ้น 1.4 เท่า คนชั้นกลาง มีจำนวนลดลง แต่คนทั่วไปกลับมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ฐานของพีระมิดขยายกว้างขึ้นแล้ว
“คนรวยมาก” และ “คนรวย” ของญี่ปุ่นใช้ชีวิตอย่างไร?
ถ้าพวกเขาอยู่ในเมืองใหญ่อย่างโตเกียว ก็อาศัยอยู่ในบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ มีรถยนต์หรู ใช้นาฬิกา เสื้อผ้าแบรนด์เนม กินอาหารฝรั่งเศสในโรงแรมห้าดาว ชีวิตหรูอยู่สบาย จัดว่าเป็น “คนรวยรุ่นเดิม” (旧富裕層)
แต่ขณะนี้มี “คนรวยรุ่นใหม่” (新富裕層) เป็นคนรุ่นใหม่ที่รวยจริง แต่มีรูปแบบการใช้ชีวิตเปลี่ยนไปจากเดิม เป็นที่น่าจับตา
บริษัทบัตรเครดิตชื่อดังหลายแห่งในญี่ปุ่น ที่เชื้อเชิญให้คนรวยระดับบนมาเป็นแขกพิเศษถือบัตรวีวีไอพี หรือบัตรสเปเชียลไดมอนด์ ทำการสัมภาษณ์ลูกค้ามากกว่า 1,000 คน เก็บข้อมูลลูกค้าเป็นความลับ เพื่อทราบทัศนคติและรูปแบบการบริโภคของลูกค้า เพื่อเสนอบริการและสิทธิประโยชน์ต่างๆ ให้เป็นที่ถูกใจ
บริษัทบัตรเครดิตได้เปรียบเทียบรูปแบบการใช้ชีวิตที่ต่างกันของ “คนรวยรุ่นเดิม (โอลด์ริช)” กับ “คนรวยรุ่นใหม่ (นิวริช)” ให้เห็นภาพ
พวก “โอลด์ริช” กินอาหารในร้านระดับมิชลิน เลี้ยงรับรองแขกของตัวเองในโรงแรมระดับห้าดาว มีรถยนต์หรู ใช้แบรนด์เนม มีบ้านเดี่ยวใหญ่โตหรูหรา มีบ้านพักตากอากาศหรูส่วนตัวที่คารูอิซาวา (軽井沢)
แต่พวก “นิวริช” นิยมไปร้านอาหารที่ต้องจองคิวล่วงหน้านานๆ หรือใช้ระบบเฉพาะสมาชิกเท่านั้น ไม่ชอบเปิดเผยที่อยู่อาศัย ขับรถเฟอร์รารี่ ใส่นาฬิกาโรเล็กซ์
ให้ความสำคัญกับการลงทุนเพิ่มสินทรัพย์ อาศัยอยู่ในแมนชั่นหรูชั้นเพนต์เฮาส์ ที่ไม่ได้เป็นเจ้าของแต่อาจเช่าอยู่ก็ได้ บ้านพักตากอากาศก็เป็นแบบแชริ่ง เป็นเจ้าของร่วมกัน
ความแตกต่าง คือ “โอลด์ริช” ให้ความสำคัญกับ “วัตถุ” หรูราคาแพงที่ใครๆ ก็ใฝ่ฝันอยากมี อยากเป็นเจ้าของ
แต่ “นิวริช” ให้ความสำคัญกับความรู้สึกและการแสดงตัวตนที่เชื่อมโยงกับทัศนคติของตัวเอง ไม่ได้เน้น “วัตถุ” แต่เน้นความแปลกใหม่และพิเศษสุดชนิดที่คนธรรมดาไม่มีวันมีโอกาสทำได้เลย
ยกตัวอย่าง ประสบการณ์ที่สมาชิกนิวริชระดับไดมอนด์อยากลอง เช่น ขึ้นบอลลูนไปบนชั้นบรรยากาศสตราโทสเฟียร์ ไปชมพื้นผิวโลกพร้อมๆ กับดื่มแชมเปญชิลๆ
บางคนจ่ายเงินให้ นครวัด กัมพูชา ปิดการเข้าชมของผู้อื่น 1 วัน เพื่อความเป็นส่วนตัว นั่งรับประทานอาหารพลางดื่มด่ำกับมรดกโลก เป็นต้น
ประสบการณ์พิเศษสุดเหล่านี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าถ้าไม่ใช่คนรวยมากๆ แล้วจะมีใครทำได้
คนทำได้จริงเป็นสมาชิกบัตรเครดิตระดับไดมอนด์ที่มีค่าธรรมเนียมปีละ 242,000 เยน และต้องมียอดใช้จ่ายปีละหลายสิบล้านเยนขึ้นไปเท่านั้น
แต่ที่น่าสนใจ คือพวกนิวริชไม่ได้ใช้เงินแล้วจบกัน แต่ต้องเป็นการต่อยอดทางธุรกิจอีกทางหนึ่งด้วย เมื่อได้พบปะกับคนระดับเดียวกัน รวยพอกัน มีโลกทัศน์แบบเดียวกัน ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกัน เป็นช่วงเวลาที่มีค่านำไปสู่การลงทุน หรือคิดโปรเจ็กต์ใหม่ๆ ด้วยกัน
ผลที่คาดหวังคือ ยิ่งเพิ่มจำนวนทรัพย์สินยิ่งๆ ขึ้นไปอีก รวมไปถึงการส่งลูกไปเรียนโรงเรียนดังหลายแห่งในต่างประเทศเพื่อสร้างคอนเน็กชั่นกับบรรดาลูกคนรวย หวังผลไปถึงตอนลูกโตก็ยังคงมีสังคมรอบตัวเป็นคนรวย ง่ายต่อการทำธุรกิจร่วมกัน
พวกคนรวย “นิวริช” ญี่ปุ่นไม่ใช่จะไม่สนใจ “วัตถุ” เสียทีเดียว ของแบรนด์เนมต่างๆ ถ้ามีเงินใครๆ ก็ซื้อได้ อย่างนี้ไม่เด่น คนรวย “นิวริช” จะควักเงินซื้อก็ต่อเมื่อพิจารณาเห็นโอกาสที่จะเพิ่มมูลค่าในตัวสิ่งของนั้นๆ เช่น การซื้อรถยนต์วินเทจคันละไม่กี่สิบล้านเยนวันนี้ อย่างไรเสีย ราคาก็จะพุ่งขึ้นในอนาคต ถึงตอนนั้นก็เท่ากับได้รถมาครอบครองฟรี พร้อมกับเงินกำไรจำนวนหนึ่ง
จากมุมมองของคนธรรมดา คิดว่าเป็นเพียงการฟุ่มเฟือยซื้อของแพงที่คนทั่วไปเอื้อมไม่ถึง แต่คนรวย “นิวริช” ได้คำนวณแล้วถึงกำไรก้อนงามในอนาคต รวยแล้วก็ยิ่งรวยเพิ่มขึ้นอีก
คนธรรมดาเมื่อเห็นสินค้าที่ถูกใจ รู้สึกอยากเป็นเจ้าของ ก็ตัดสินใจซื้อทันที แต่คนรวย “นิวริช” จะมองสินค้าในแง่การลงทุน ถ้าซื้อวันนี้ วันข้างหน้ามูลค่าจะเพิ่มขึ้นไหม จะเป็นประโยชน์กับธุรกิจของตัวเองไหม จะช่วยประหยัดภาษีได้ไหม เป็นต้น นี่คือความต่างระหว่างคนรวยกับคนธรรมดา (ที่ไม่รวย) นั่นเอง
คนธรรมดาญี่ปุ่นจำนวนมากต้องดิ้นรน อยู่ให้ได้ในภาวะค่าครองชีพสูงขึ้น
ไม่น่ามีเวลาฝันจะเป็น “คนรวยมาก” บนยอดพีระมิดกระมัง?
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022