

บทความพิเศษ | สุภา ปัทมานันท์
‘คำชม’ (ほめ言葉) ใครๆ ก็อยากได้
ในช่วงเวลาที่รู้สึกทุกข์ใจ ห่อเหี่ยว ท้อแท้ หมดแรง ขาดพลังใจ เครียดจากปัญหาการงาน การเงิน หรือมนุษย์สัมพันธ์กับคนรอบข้าง หากมีใครสักคนเห็นข้อดี ชื่นชมให้กำลังใจ เห็นคุณค่าในตัวเรา ย่อมให้ความชุ่มชื่นหัวใจ เป็นพลังให้สู้กับปัญหาต่อไปได้
“คำชม” จึงมีความหมายต่อผู้รับอย่างคาดไม่ถึง (อ่าน สุภา ปัทมานันท์ “พลังแห่งคำชม” มติชนสุดสัปดาห์ 23 กันยายน 2565)
ญี่ปุ่นมีการสำรวจพนักงานประมาณ 2,700 คน “ท่านคิดว่าการได้รับคำชมช่วยเพิ่มพลัง ความกระตือรือร้นในการทำงานได้หรือไม่” 76% เห็นด้วย และ “ท่านได้รับคำชมในที่ทำงานบ้างหรือไม่” 66% ตอบว่า “ไม่ค่อยได้รับคำชม”
เหตุใด จำนวนคนที่รู้สึกว่าไม่ค่อยได้รับคำชมจึงมีมาก
ศาสตราจารย์ ทาคาชิ ไซโต คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเมจิ ชี้ให้เห็นว่า เมื่อเปรียบเทียบกับคนชาติอื่นๆ แล้ว นับว่าคนญี่ปุ่นไม่ค่อยมีโอกาสที่จะ “ได้รับคำชม” หรือ เป็นฝ่าย “พูดคำชม” ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว โรงเรียน หรือที่ทำงาน
เนื่องจากภายใต้วัฒนธรรมญี่ปุ่นที่ให้ความสำคัญกับการอ่อนน้อมถ่อมตัว การนิ่งเงียบ อดทน ไม่แสดงตัวเด่นเกินคนอื่นๆ ทำให้ไม่ค่อยมีการพูดชมกันซึ่งๆ หน้าบ่อยนัก
เมื่อคนญี่ปุ่นได้รับอิทธพลจากวัฒนธรรมตะวันตก เริ่มเข้าใจว่า “คำชม” นี้ก่อให้เกิดผลดี ก็อยากได้รับคำชมบ้าง
แต่ในความเป็นจริง ในชีวิตประจำวันไม่มีใครพูดคำชมให้เลย หรือนานๆ ทีอาจจะได้รับการชมเชยบ้าง ทำดีแล้ว แต่ไม่ได้รับการชม ความต้องการกับการตอบสนองไม่สัมพันธ์กันเสียแล้ว
พูดชมอย่างไร? จึง “สื่อ” ความรู้สึกถึงอีกฝ่ายหนึ่งได้
ศาสตราจารย์ไซโต แนะว่า อย่าสักแต่พูดชมว่า “ทำดีแล้ว” เพียงแค่นี้ไม่ได้สร้างความประทับใจ ดีใจ แก่ผู้ได้ยินเลย หรืออาจถูกแปลความเป็นพูดเยินยอแบบไม่จริงใจ
อาจารย์ยกตัวอย่างในคลาสเรียน เมื่อนักศึกษานำเสนอรายงานวิชาการที่ค้นคว้ามา อาจารย์จะชมว่า “พูดเสียงดังฟังชัด มีท่าทางประกอบด้วยดีมาก” “มีตัวอย่างใกล้ตัวประกอบเนื้อหา ทำให้เข้าใจง่าย” เป็นต้น
เป็นวิธีชมเชยที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจในตัวเองแก่ผู้รับ ทำให้กระตือรือร้น และมีพลังในทางบวก
หากมีข้อแนะนำหรือข้อแก้ไข ก็ควรกล่าวคำชมก่อนแล้วค่อยชี้แนะ
สรุปง่ายๆ คือ “ชมก่อนติ” นั่นเอง ไม่ยากเลย
อย่างไรก็ตาม เป็นที่รู้กันดีว่า คนญี่ปุ่นขี้อาย การพูดแสดงความรู้สึกชื่นชมอย่างชัดเจนออกมา ช่างยากเย็นจริงๆ โดยเฉพาะผู้ชาย ที่ต้องรักษาภาพ “แมนๆ” ซีเรียส ไม่หน่อมแน้ม ยิ่งเป็นความสัมพันธ์ในครอบครัว ระหว่างสามีภรรยาด้วยแล้ว ชายเป็นใหญ่ หญิงเป็นผู้อยู่ในโอวาท จึงไม่ง่ายเลยที่จะเอ่ยคำชมภรรยาออกมา
ถือว่าเป็นหน้าที่ของภรรยาที่ต้องดูแล ทำงานในบ้านให้เรียบร้อย ไม่บกพร่อง เป็น “หน้าที่” ก็ต้องทำให้ครบถ้วนอยู่แล้ว ทำไมจะต้อง “พูดชม” ล่ะ?
แต่ถ้าทำไม่ครบ บกพร่องสิ ก็ต้อง “ตำหนิ” ทันที อย่าบกพร่องอีกนะ!
ชายญี่ปุ่นวัย 66 ปี อดีตพนักงานบริษัท ในวัยหนุ่มมุ่งมั่นทำงานมาตลอด เคยถูกส่งไปทำงานที่ไต้หวัน ได้สังเกตเห็นพนักงานชายรีบทำงาน รีบกลับบ้าน ช่วยภรรยาทำงานบ้าน จึงเริ่มหันกลับมานึกถึงตัวเอง เคยไปดื่มหลังเลิกงาน เมาแอ๋กลับบ้าน แล้วยังดุด่า หงุดหงิดใส่ภรรยาที่มาช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าอีก
สิ่งที่ทำให้เขาเริ่มใจไม่ดี คือ เพื่อนร่วมงานที่มีนิสัยแบบเดียวกันนี้ ภรรยาทนไม่ไหว เก็บเสื้อผ้าออกจากบ้านไปแล้ว
นับเป็นเหตุบังเอิญที่เขามีโอกาสเข้าฟังการบรรยายเกี่ยวกับการแสดงความรู้สึกขอบคุณคนใกล้ชิด คนในครอบครัว จึงเริ่มเข้าใจความรู้สึกของภรรยา รู้แล้ว สำนึกแล้ว แต่จะให้พูดชมออกจากปาก มันช่างยากเย็นเสียนี่กระไร!
ลองเขียนคำขอบคุณ คำชม ภรรยาใส่แผ่นกระดาษเล็กๆ แอบวางไว้บนโต๊ะอาหารตอนกลางคืน ภรรยาจะต้องมองเห็นในตอนเช้าอย่างแน่นอน ทำอย่างนี้เป็นประจำ ภรรยาอ่านแล้วก็ชุ่มชื่นใจ เริ่มเห็นรอยยิ้มของเธอบ่อยขึ้น กลายเป็นครอบครัวที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มแทนเสียงบ่น
ส่วนภรรยาเก็บรวบรวมแผ่นกระดาษคำชมไว้ได้หลายกล่อง นานๆ ทีหยิบมาอ่านย้อนหลังด้วยใจพองโต
“คําชม” ทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปจริงๆ
ใครๆ ก็อยากได้รับ “คำชม”
ความจริงข้อนี้ ทำให้ชายญี่ปุ่นวัย 43 ปี ยึดอาชีพ “พูดชม” คนอื่น มีคนได้รับคำชมจากเขาแล้วกว่าหนึ่งหมื่นคน เขากลายเป็น “คุณลุง พูดชม” เป็นที่รู้จักกันแล้ว อาชีพนี้ทำอย่างไรน่ะหรื ?
เขาถือป้าย “พูดชม จริงจัง” ยืนอยู่ริมถนนที่มีผู้คนผ่านไปมาพลุกพล่าน วันนี้มีพนักงานชายวัยกลางคนเดินเข้ามาใกล้ เขาจึงทักทายแล้วถามอายุ ชายผู้นั้นตอบว่า “52 ครับ” “โอ้โฮ 52 เหรอครับ มากกว่าผมตั้ง 10 ปี ดูไม่ออกเลย หน้าตาอ่อนกว่าวัย ดูท่าทางใจดี ยิ้มแย้มเป็นมิตรจังครับ ใครๆ ก็อยากเข้าใกล้”
ได้ยินอย่างนี้ ใครบ้างจะไม่เขิน แต่ดีใจแน่นอน เขาบอกว่า “ทำงานระดับผู้บริหาร ไม่ค่อยได้ยินใครมาชมหรอก แต่พอได้ยินคำชมก็แอบปลื้ม ใจฟูนะ”
มีผู้คนแวะเวียนเข้าไปหา “คุณลุง พูดชม” ไม่ขาดสาย บางวันมากถึง 70 คน คนที่เข้าไปหา พูดคุยกับคุณลุงแล้วเดินยิ้มแย้มจากไปทุกคน
บางคนบอกว่า “เวลามีเรื่องทุกข์ใจ ท้อแท้ พอได้ยินคำชมตัวเราที่กำลังคิดลบ ก็เหมือนได้รีเซ็ตตัวเองใหม่ พร้อมสู้ต่อไป”
“อยู่ในที่ทำงานที่ใช้ระบบจับผิด หักคะแนน ไม่มีใครชมให้ได้ยินหรอก ทำดีก็เสมอตัว อยากได้ยินคำชมบ้าง พอได้ยินแล้วก็ชุ่มชื่นหัวใจจริงๆ”
“คุณลุง พูดชม” เป็นใคร? มาทำอาชีพนี้ได้อย่างไร?
คุณลุงเรียนจบเพียงชั้นมัธยมปลาย แล้วเข้าทำงาน ย้ายงานไปหลายแห่ง เข้าสู่วงจรการพนันมีหนี้ผ่อนบ้าน มิหนำซ้ำพ่อป่วย จนสุดท้ายถูกให้ออกจากงาน ไม่มีบ้านอยู่ ใช้ชีวิตอยู่ตามถนน คิดว่าจะหาเงินอย่างไรดี
คิดเองง่ายๆ ว่าพูดชมคนก็แล้วกัน คงไม่มีใครไม่อยากได้ยินคำชมจากคนอื่นหรอก จึงไปหาซื้อหนังสือเทคนิคการพูดคำชม จากร้านหนังสือเก่ามาศึกษาด้วยตนเอง แล้วก็เพิ่มเทคนิคของตัวเองด้วยการจดบันทึกคำชมที่ให้แก่ผู้คนในแต่ละวันเอาไว้ หากได้เจอกันอีกจะได้ทักทายอย่างสุภาพว่า “เราเคยเจอกันแล้วนี่ครับ” เพียงแค่นี้ก็ยิ่งเพิ่มความประทับใจ มีคนจำเราได้ ท่ามกลางคนอื่นที่เมินเรา!
“คุณลุง พูดชม” ไม่ได้เป็นเพียงผู้ให้คำชม เมื่อเห็นอีกฝ่ายเริ่มมีรอยยิ้ม เห็นประกายจากดวงตาเริ่มมีความหวัง หลังจากได้ถ่ายทอดความท้อแท้ให้คุณลุงฟัง และได้รับกำลังใจกลับไป ตอนนั้นคุณลุงก็เป็นฝ่ายได้รับความรู้สึกอิ่มใจ ที่มีส่วนช่วยให้อีกคนหนึ่งมีรอยยิ้ม
คุณลุงทำงานสัปดาห์ละ 4 วัน รายได้เฉลี่ยเดือนละ 1.5 แสนเยน น้อยกว่าเงินเดือนพนักงานเข้าใหม่เกือบครึ่ง แต่มีวันพักผ่อน เป็นงานอิสระ และเริ่มเป็นที่รู้จักปากต่อปากในโลกออนไลน์แล้วด้วย เพราะว่า…
“คำชม” ใครๆ ก็อยากได้!
เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต

