

กาแฟดำ | สุทธิชัย หยุ่น
จีนจะใช้ ‘แร่หายาก’
เป็นอาวุธสยบทรัมป์?
“อาวุธไม่ค่อยลับ” ที่จีนอาจใช้ในการกดดันสหรัฐในการเจรจาคือ “แร่หายาก” หรือ rare earth
มันคือทรัพย์ในดินสินในน้ำที่สี จิ้นผิง มีเหนือโดนัลด์ ทรัมป์ อย่างชัดเจน
โลกวันนี้ อาวุธที่ทรงพลังที่สุดในการเผชิญหน้าอาจจะไม่ใช่ขีปนาวุธหรือรถถัง ไม่ใช่แม้กระทั่งอาวุธนิวเคลียร์ที่หากตัดสินใจใช้ก็เท่ากับเป็นการ “ทิ้งไพ่ใบสุดท้าย”
ผู้นำที่ฉลาดจะต้องเก็บไพ่ใบสุดท้ายไว้ถึงนาทีสุดท้ายจริงๆ และชัยชนะอาจจะมาจากการที่ไม่ต้องทิ้งไพ่ใบนั้นด้วยซ้ำ เพราะถ้าหากถึงขั้นต้องคิดถึงไพ่ใบสุดท้ายก็หมายความว่าถูกต้อนเข้ามุมแล้ว
นักยุทธศาสตร์ที่เก่งย่อมจะไม่ยอมทำศึกจนต้องคิดถึงการใช้อาวุธร้ายแรงที่ตนมี
เพราะตระหนักว่าอีกฝ่ายหนึ่งเขาก็มีไพ่ใบนี้เหมือนกัน
ทั้งสองฝ่ายต่างรู้ดีว่าไม่ว่าสถานการณ์จะบีบรัดเพียงใดก็ต้องไม่ถึงกับต้อง “เข้าตาจน” เช่นนั้น
ดังนั้น อาวุธที่ควรจะต้องนำออกมาใช้ก่อนจึงต้องมาในรูปแบบที่มีเป้าหมายเพียงเพื่อกดดันอีกฝ่ายหนึ่งให้ต้องยอมถอยสองสามก้าวเพื่อบรรลุข้อตกลงที่ต่างฝ่ายต่างพอจะรับได้เท่านั้น
ไม่ต้อนให้อีกฝ่ายหนึ่งติดมุมจนต้องคิดหาทางต่อสู้ด้วยอาวุธทำลายล้างที่มีผลทำลายล้างกว้างขวางรุนแรงจนกระทบไปทั่วโลก
อาวุธ “ใต้ดิน” จึงเป็นประเด็นที่กำลังกล่าวขวัญกันอยู่
ที่ซ่อนอยู่ใต้ดินในรูปของ “แรร์เอิร์ธ” หรือแร่หายากเป็นทรัพยากรสำคัญในการขับเคลื่อนเทคโนโลยีขั้นสูง ทั้งในภาคพลเรือนและการทหาร
ประเทศที่ถือไพ่เหนือกว่าทุกชาติในโลกเรื่องนี้คือจีน และมีสัญญาณชัดเจนมากยิ่งขึ้นทุกวันว่าปักกิ่งอาจใช้ทรัพยากรที่ตนมีอย่างอุดมสมบูรณ์นั้นกดดันสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรได้ – หากเกิดความจำเป็น
หรือแม้จะยังไม่นำออกใช้เป็นอาวุธในยามนี้ก็ส่งข่าวไปบอกให้รู้ว่าจีนมีไพ่ใบนี้ใน “คลังแสง” แห่งการต่อรอง
แรร์เอิร์ธคืออะไร? ไฉนจึงมีความสำคัญในสงครามการค้า?
แรร์เอิร์ธ (Rare Earth Elements หรือ REEs) คือกลุ่มธาตุโลหะหายาก 17 ชนิด ที่จำเป็นต่อการผลิตเทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น :
สมาร์ตโฟนและคอมพิวเตอร์
รถยนต์ไฟฟ้า
กังหันลมและแผงโซลาร์เซลล์
อาวุธไฮเทค เช่น ขีปนาวุธนำวิถี เครื่องบินรบ และระบบเรดาร์
เทคโนโลยีสีเขียวและความมั่นคงของชาติในศตวรรษที่ 21 ล้วนต้องพึ่งพาแร่เหล่านี้
จีนผลิตแรร์เอิร์ธมากกว่า 60% ของปริมาณทั่วโลก
อีกทั้งยังควบคุมกระบวนการแปรรูปมากถึง 85%
เป็นกระบวนการที่มีขั้นตอนที่ซับซ้อนและมีต้นทุนสูง
แม้บางประเทศจะมีเหมืองแรร์เอิร์ธ แต่ก็ยังต้องส่งไปให้จีนแปรรูปอยู่ดี
ทำให้จีนกลายเป็น “คอขวด” ของห่วงโซ่อุปทานโลกอย่างปฏิเสธไม่ได้
ที่เริ่มมีนักวิเคราะห์มองว่าจีนอาจจะควักอาวุธนี้ออกมาต่อรองกับทรัมป์ก็เพราะปักกิ่งเคยใช้เป็นเครื่องมือต่อรองมาแล้วในอดีต
เรื่องนี้จึงมิใช่เพียงแค่เรื่องเกทับบลั๊ฟฟ์แหลก…หรือเรื่องเด็กเลี้ยงแกะ
เพราะเมื่อปี 2010 จีนเคยตัดการส่งออกแรร์เอิร์ธไปยังญี่ปุ่นช่วงเกิดข้อพิพาททางทะเล
สร้างความตื่นตะลึงในตลาดแร่ของโลก ราคาพุ่งพรวด ประเทศต่างๆ ทั่วโลกตื่นตระหนก
นั่นย่อมเป็นสัญญาณชัดเจนว่าจีนสามารถและพร้อมใช้แรร์เอิร์ธเป็นเครื่องต่อรองทางการเมือง
จึงมีคำถามตามมาว่าถ้าสี จิ้นผิง ใช้ “แร่หายาก” เป็นเครื่องมือต่อรอง สหรัฐจะเผชิญความเสี่ยงแค่ไหน?
ทรัมป์ย่อมตระหนักดีว่าสหรัฐต้องพึ่งพาแรร์เอิร์ธในการพัฒนาและสร้างเทคโนโลยีระดับสูงรวมถึงการผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์
แต่อเมริกามีเหมืองเพียงหนึ่งแห่งที่ใช้งานอยู่ที่ Mountain Pass ในแคลิฟอร์เนีย
กระนั้นก็ยังต้องส่งแร่ไปให้จีนแปรรูป
หากเกิดความตึงเครียด เช่นกรณีไต้หวันหรือสงครามการค้าระเบิดตูมตามขึ้นมารอบใหญ่ จีนอาจตัดการส่งออกแร่ให้สหรัฐ ซึ่งจะมีผลกระทบอย่างหนัก
กระทบทั้งต่อ :
การผลิตอาวุธไฮเทค
อุตสาหกรรมพลังงานสะอาด
ภาคเทคโนโลยีและเศรษฐกิจโดยรวม
ผมย้อนไปเช็กข้อมูลว่าจีนเคลื่อนไหวเรื่องนี้ล่าสุดเมื่อใด ได้ความว่าในปี 2023 จีนเริ่ม “จำกัด” การส่งออกแร่ชนิดอื่น เช่น แกลเลียม และเจอร์เมเนียม ที่ใช้ในวงจรไฟฟ้าและอุปกรณ์ทหาร
การเคลื่อนไหวครั้งนั้น นักวิเคราะห์ยุทธศาสตร์ด้านการความมั่นคงมองว่าเป็น “สัญญาณเตือน” ว่าจีนอาจทำแบบเดียวกันกับแรร์เอิร์ธ
ที่ผมคิดว่าเราต้องคิดเรื่องนี้อย่างจริงจังเพราะต้องมองเรื่องนี้ใกล้บ้านเรา
เพราะจีนไม่เพียงแต่ผลิตแร่หายากภายในประเทศเท่านั้น ปักกิ่งยังมีบทบาทสำคัญในประเทศเพื่อนบ้านของไทย โดยเฉพาะเมียนมาอย่างคึกคักในหลายๆ มิติ
และหนึ่งในสิ่งที่จีนแสวงหารอบๆ บ้านเราคือแหล่งแรร์เอิร์ธในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพราะความใกล้ชิดด้านภูมิศาสตร์ที่เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจอย่างแนบแน่น
ข้อมูลที่น่าสนใจมากคือเมียนมาครองส่วนแบ่งประมาณ 10% ของแรร์เอิร์ธที่จีนแปรรูปทั้งหมด
พื้นที่รัฐคะฉิ่นทางตอนเหนือของเมียนมา เป็นแหล่งแร่ที่มีความเข้มข้นสูง
แต่ส่วนใหญ่ถูกขุดโดยกลุ่มเหมืองผิดกฎหมาย ซึ่งมีความเกี่ยวพันกับบริษัทจีนและกลุ่มติดอาวุธท้องถิ่น
เหตุผลสำคัญที่จีนเคลื่อนไหวเข้ามามีอิทธิพลทางเศรษฐกิจในเมียนมาอย่างมากส่วนหนึ่งก็เพื่อควบคุมเส้นทางส่งแรร์เอิร์ธนี้
การลงทุนในโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ท่าเรือ ถนน และเหมืองที่ทำในนาม Belt and Road Initiative (BRI) ก็ล้วนเชื่อมโยงกับความต้องการแรร์เอิร์ธในจีนทั้งสิ้น
แต่ใช่ว่าจีนจะไม่สำเหนียกถึงผลกระทบทางลบที่อาจย้อนกลับมาปะทะตนเอง
เพราะแม้จีนจะถือไพ่เหนือกว่าชาติอื่นในเรื่องนี้ แต่การใช้แรร์เอิร์ธเป็นอาวุธอาจกระตุ้นให้ประเทศอื่นลุกขึ้นมาปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง…และไม่ตกเป็นเบี้ยล่างของจีน
นั่นคือประเทศอื่นก็อาจจะเห็นความจำเป็นที่จะต้องเร่งสร้างห่วงโซ่อุปทานของตัวเอง
หันไปหาแหล่งแร่ในประเทศอื่น เช่น ออสเตรเลีย แคนาดา หรือแม้แต่เมียนมา (โดยไม่ผ่านจีน)
หรือใช้กระบวนการรีไซเคิลและเทคโนโลยีใหม่แทน
นอกจากนี้ การใช้แรร์เอิร์ธเป็นเครื่องต่อรองทางการค้าหรือการเมืองอาจทำให้จีนถูกฟ้องร้องในองค์การการค้าโลกหรือ WTO
อันอาจจะทำให้สถานภาพของจีนถูกเซาะกร่อนในระดับความน่าเชื่อถือทั้งด้านการเมืองและเศรษฐกิจในเวทีระหว่างประเทศ แต่ในภาพรวมแล้วต้องยอมรับว่าจีนมีอำนาจมหาศาลในตลาดแรร์เอิร์ธ
ซึ่งหากใช้ในจังหวะเหมาะเจาะและในระดับพอเหมาะพอสมก็อาจสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการกดดันสหรัฐและประเทศอื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตหรือความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์
แต่การใช้ “อาวุธ” ตัวนี้มากไปหนักไปก็อาจทำให้โลกหันหลังให้จีนในระยะยาว
และนำไปสู่การลดบทบาทของจีนในห่วงโซ่อุปทานระดับโลก
บทสรุปของเรื่องนี้คือในเกมพลังอำนาจของศตวรรษนี้ แม้แต่แร่ที่เรามองไม่เห็น ก็สามารถกลายเป็นอาวุธที่ทรงพลังได้
ถ้าใช้ให้ถูกจังหวะ, ในระดับพองาม, และพร้อมจะประนีประนอมก่อนที่จะใช้มันเป็น “อาวุธทำลายล้าง” มากกว่าจะเป็น “ไพ่ต่อรอง” เท่านั้น
ที่แน่ๆ คือทรัมป์ไม่กล้าตะโกนใส่สี จิ้นผิงว่า “You don’t have cards” (คุณไม่มีไพ่เล่น)
เหมือนที่เคยตะคอกใส่ประธานาธิบดีเซเลนสกีของยูเครน…หรือปูตินของรัสเซียก่อนหน้านี้แน่นอน!
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022