

เมนูข้อมูล | นายดาต้า
ใครจะยอม ‘ตายตอนจบ’
แม้เป็นที่รู้กันว่าปัญหาหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลขาดความเชื่อมั่นในการบริหารจัดการประเทศเกิดจากความเป็นคนในตระกูล “ชินวัตร” ของ “แพทองธาร” ที่ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี
การต่อต้านคนตระกูลชินวัตรฝังรากลึกในทางเป็นความเชื่อในด้านลบของคนกลุ่มหนึ่งมายาวนาน และชัดเจนว่าในจิตใจของคนกลุ่มนี้ไม่อาจจะถอนหรือสลายอคตินั้นได้ โดยมีจำนวนไม่น้อยที่ความเกลียดชังยิ่งเติบโตเมื่อได้เห็นการเข้ามามีบทบาทสำคัญในประเทศของคนตระกูลนี้
ขณะที่อีกด้านความผิดหวังต่อ “พรรคเพื่อไทย” ที่ข้ามขั้วมาจัดตั้งรัฐบาลร่วมกันกลุ่มอำนาจที่สนับสนุนการทำรัฐประหาร ทำให้มวลชนฝ่ายที่ต้องการปกป้องประชาธิปไตยเกิดการตั้งข้อรังเกียจ โดยเหตุผลในเรื่อง “ดีลพิเศษ” นำ “ทักษิณ” กลับบ้านมาเป็นข้อกล่าวหาที่ทำให้จุดยืนของ “เพื่อไทย” เบี่ยงเบนจากประชาธิปไตย
เมื่อ “แพทองธาร” ซึ่งเป็นทายาท “ชินวัตร” จึงต้องเริ่มต้นด้วยการถูกต่อต้านและไม่ให้การสนับสนุนอย่างเต็มใจ
อย่างไรก็ตาม อีกเหตุผลหนึ่งของการส่ายหัวให้ เกิดจากท่าที “นายกรัฐมนตรีแบบเจนวาย” ที่เหมือนมีช่องว่าระหว่างวัยกับผู้ที่เคยชินกับการแสดงออกของ “ผู้นำที่อยู่กับท่าทีที่ผู้อาวุโสเคยชิน”
ยิ่งพรรคเพื่อไทยต้องเข้ามาบริหารจัดการประเทศด้วยภาคบังคับ “ไม่ยุ่งกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจที่ดีไซน์ไว้เพื่อการแช่แข็งการพัฒนา” ได้รับอนุญาตให้แก้ปัญหา “ปากท้องเฉพาะหน้า” เพื่อประคองให้พอมีอยู่มีกินกันไป ยิ่งทำสร้างความยอมรับได้ลำบาก
และเมื่อเงื่อนไขเศรษฐกิจที่นำสู่ความเสื่อมทรุดทั้งจากแรงกดดันของภายนอกที่รุนแรง และความเข้มแข็งภายในที่ไม่พอรับมือ
เกิดปรากฏการณ์ “เอาตัวไปไม่รอด” ไปทุกสาขาอาชีพ
เสียงร้อง “ไม่ไหวแล้ว” ใส่ “รัฐบาลแพทองธาร” จึงแรงขึ้น “ปีก่อนเผาหลอก ปีนี้เผาจริง” จึงกระตุ้นให้เฝ้าติดตามสถานการณ์ของประเทศอย่างอกสั่นขวัญแขวน
ซึ่งดูท่าแล้ว ความรู้สึกของประชาชนเป็นเช่นนั้นจริง
ผลสำรวจล่าสุดของ “นิด้าโพล” ที่แม้หัวหลักจะเป็นเรื่อง “วิกฤตเศรษฐกิจกับการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 3 และเฟส 4” แต่คำถามที่น่าสนใจคือ “วิกฤตเศรษฐกิจของประเทศไทยในขณะนี้” ที่ตอบว่าต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วนมีถึงร้อยละ 83.66 ขณะที่ปีที่แล้วมีแค่ร้อยละ 63.51
ที่บอกว่าต้องหาทางแก้ไขแต่ไม่เร่งด่วนปีนี้เหลือแค่ร้อยละ 9.70 ขณะปีที่แล้วร้อยละ 20.15
ที่บอกว่าไม่น่าวิตกกังวลใดๆ ปีนี้ร้อยละ 4.20 จากปีที่แล้วร้อยละ 10.08
ที่ไม่ได้เผชิญกับวิกฤต ร้อยละ 2.44 ปีที่แล้วร้อยละ 5.65
ชัดเจนว่ารู้สึกเดือดร้อนกันมากขึ้น
ขณะที่ต้องการความช่วยเหลือจากรัฐบาลอย่างเร่งด่วน ปีนี้ร้อยละ47.17 ปีที่แล้วร้อยละ 36.72, ที่รับมือด้วยตัวเองได้ร้อยละ 29.47 ปีก่อนร้อยละ 31.91, ต้องการความช่วยเหบือจากรัฐบาลแต่ไม่เร่งด่วน ร้อยละ 15.80 ปีที่แล้วร้อยละ 20.45, ที่ไม่เผชิญกับวิกฤตใดๆ ร้อยละ 7.56 ปีที่แล้วร้อยละ 10.92
พึ่งพาตัวเองกันได้น้อยลง เสียงเรียกร้องเอาจากรัฐบาลมากขึ้น
จากความเป็นไปทางการเมืองที่ส่งผลต่อ “นายกรัฐมนตรี-แพทองธาร ชินวัตร” ข้างต้น และความยากลำบากที่จะทำให้มีโอกาสสร้างผลงานให้ได้รับการยอมรับจากประชาชน และเมื่อต้องบริหารจัดการประเทศอย่างเอกภาพ พรรครัฐร่วมรัฐบาลอยู่ในสภาพทุกลักทุเล ทำให้ปฏิบัติการทุกเรื่องเกิดขึ้นได้ลำบากยากเย็นไปหมด
ยิ่งต้องอยู่ร่วมกันอย่างหวาดระแวง ยิ่งทำให้การทำตามนโยบายและมาตรการต่างๆ ประสบความสำเร็จยากลำบากขึ้นไปอีก
“ไม่ไหวแล้ว” จึงเป็นเสียงร้องของประชาชนที่รัฐบาลเองก็ย่อมได้ยิน
แต่ในความเป็นจริงคือ จะทำอย่างไรได้ ด้วยมีแต่ต้องเดินหน้าต่อไป เพราะหากถอยก็จบ ขณะที่มีชะตากรรมมากมายที่รอให้ต้องเผชิญ
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022
เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต

