

กาแฟดำ | สุทธิชัย หยุ่น
จาก No Man’s Land
สู่ This Land is My Land
คําว่า No Man’s Land กับความตึงเครียดตรงชายแดนไทย-กัมพูชารอบนี้ทำให้ต้องใคร่ครวญการให้ศัพท์แสงที่โยงใยกับการเผชิญหน้ากับเพื่อนบ้านกันครั้งใหญ่ทีเดียว
เริ่มจาก วันนี้ 30 พฤษภาคมที่ผ่านมา ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีพูดถึงสถานการณ์บริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี หลังเกิดเหตุปะทะระหว่างทหารทั้งสองฝั่งเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม
ทักษิณบอกนักข่าวว่าเชื่อมั่นว่าสถานการณ์ที่ว่านี้ได้มีการหารือและคลี่คลายลงแล้ว
เหตุผลที่ให้คือเพราะ “ผู้ใหญ่ของทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน”
รวมถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างกองทัพ
จึงทำให้การสื่อสารเป็นไปอย่างราบรื่น
และบอกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการกระทบกระทั่งกันของทหารชั้นผู้น้อยในพื้นที่เท่านั้น
ทักษิณบอกด้วยว่า หากยึดหลักการที่ว่าพื้นที่เขตแดนที่ไม่ชัดเจนหรือยังไม่มีการปักปัน ควรเป็นพื้นที่ที่ทั้งสองฝ่ายถอยออกไปก่อน
หรือเป็นพื้นที่ “No Man’s Land” ที่ไม่มีผู้ครอบครอง
หากทำอย่างนั้น ทักษิณก็เชื่อว่าจะไม่เกิดการกระทบกระทั่งกัน
เพราะการปักปันเขตแดนทั่วโลกบางครั้งต้องใช้เวลานานและยังพูดคุยกันไม่จบ
นักข่าวถามถึงการพูดคุยกับสมเด็จอัครมหาเสนาบดี เดโช ฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา
ทักษิณระบุว่าทั้งสองรัฐบาลมีการพูดคุยกันตลอด และตนเองก็มีการพูดคุยกับสมเด็จฮุน เซน เป็นประจำ
ทักษิณเรียกร้องให้ทุกฝ่ายอย่าเติมเชื้อไฟให้เกิดการกระทบกระทั่งบริเวณชายแดน
พร้อมกับเสนอแนะว่าแทนที่จะยิงกันก็ขอให้เปลี่ยนเป็นการเตะตะกร้อร่วมกัน เพื่อกระชับมิตรจะดีกว่า
นักข่าวถามว่ามีข่าวว่า ฮุน เซน จะส่งกำลังมาเพิ่มบริเวณชายแดน ทักษิณยืนยันว่าไม่มี และได้มีการถอนกำลังทั้งหมดแล้ว
แต่ผ่านมาเพียงประมาณหนึ่งสัปดาห์ (วันที่ 7 มิถุนายนที่ผ่านมา) กลับกลายเป็นว่าผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ออกคำสั่งเรื่อง ควบคุมการเปิด-ปิดจุดผ่านแดนทุกประเภท ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา
โดยอ้างข้อมูลที่ตรงกันข้ามกับที่ทักษิณให้กับนักข่าวโดยสิ้นเชิง
คำว่า No Man’s Land กลายเป็นจุดความตึงเครียดเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
เพราะคำสั่งของกองทัพบกบอกว่าในห้วงเวลาที่ผ่านมาได้เกิด “ความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ” ขึ้นตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา
พร้อมระบุว่าพลเรือนและกำลังติดอาวุธของฝ่ายกัมพูชาได้รุกล้ำแนวชายแดนข้ามเข้ามาในราชอาณาจักรไทยหลายครั้งอย่างต่อเนื่อง
และแสดงท่าทีที่พยายามให้เกิดความเข้าใจว่าพื้นที่ที่รุกล้ำเข้ามานั้นเป็นอธิปไตยของกัมพูชา ไม่ว่าจะเป็นการร้องเพลงเคารพธงชาติ การติดอาวุธเข้ามาในพื้นที่
“ทั้งที่ชัดเจนว่าดินแดนที่รุกล้ำเข้ามานั้น เป็นอธิปไตยของราชอาณาจักรไทยโดยสมบูรณ์”
ซึ่งกองทัพบกได้สั่งการให้กำลังพลเข้าระงับเหตุโดยการเจรจา ชี้แจงเหตุผลให้ทราบและผลักดันให้บุคคลดังกล่าวออกไปเสียให้พ้นจากราชอาณาจักรไทยตามหลักสันติวิธี และด้วยความอดทนอดกลั้นต่อการยั่วยุของฝ่ายตรงข้าม
แต่พลเรือนและกำลังติดอาวุธของฝ้ายกัมพูชายังคงพยายามที่จะรุกล้ำเข้ามาในราชอาณาจักรไทย และแสดงท่าทียั่วยุโดยไม่หยุดยั้งและอย่างเปิดเผย
ทำให้เกิดความตึงเครียดขึ้นตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา และต่อประชาชนของทั้งสองประเทศ
ที่มีความสัมพันธ์อันดีมายาวนาน จนกระทั่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่กองทัพบกต้องใช้มาตรการเข้มข้นในการผลักดันผู้รุกรานให้พ้นไปเสียจากราชอาณาจักรไทย
มีความพยายามอย่างถึงที่สุดในการระงับยับยั้งความตึงเครียดตามแนวชายแดน โดยใช้กลไกที่มีการตกลงกันไว้กับกัมพูชา แต่ความพยายามดังกล่าวกลับไม่ได้รับการตอบสนองในเชิงบวกจากฝ่ายกัมพูชา
กองทัพบกจึงให้กองทัพภาคที่ 1 โดยผู้บัญชาการกองกำลังบูรพา และกองทัพภาคที่ 2 โดยผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี มีอำนาจกำหนดมาตรการ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาที่จำเป็น และเหมาะสม ในการผ่านแดนบริเวณจุดผ่านแดนทุกประเภทตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ในส่วนที่อยู่ในพื้นที่
ทําไมอยู่ดีๆ ที่ทักษิณเรียก No Man’s Land จึงกลายเป็นจุดที่ก่อให้เกิดการเผชิญหน้าที่บานปลายกลายเป็นเรื่องปิดพรมแดน?
ก็เป็นเพราะเราเรียกมันผิดๆ จนทำให้เกิดความเข้าใจที่บิดเบือนจากความเป็นจริง
บริเวณใดเป็นจุดที่ทั้งสองฝ่ายอ้างสิทธิ์ นั่นคือ Disputed Area ไม่ใช่ No Man’s Land
เพราะแปลตรงตัว No Man’s Land คือ “ดินแดนไร้เจ้าของ”
แต่ความจริงทั้งสองฝ่ายอ้างความเป็นเจ้าของ
พอเกิดปะทะกันขึ้น ฝ่ายกัมพูชาออกแถลงการณ์วันที่ 4 มิถุนายน ว่าจุดนั้น “เป็นที่รับรู้มายาวนานว่าเป็นที่ตั้งของกองกำลังกัมพูชา”
กัมพูชาไม่เคยเรียกมันว่า No Man’s Land เพราะเขาอ้างว่าอยู่ในเขตของเขา
แม้ว่ารองนายกฯ และรัฐมนตรีกลาโหม ภูมิธรรม เวชยชัย จะยังเรียกบริเวณนั้นว่า No Man’s Land แต่โฆษกกองทัพบกออกแถลงการณ์วันต่อมาว่า
… “ขณะนั้นหน่วยได้รับข่าวสารว่ามีทหารกัมพูชาพร้อมอาวุธได้รุกล้ำเข้ามาวางกำลังในพื้นที่ของประเทศไทย ฝ่ายไทยจัดกำลังขนาดเล็กเข้าไปเพื่อลาดตระเวนพิสูจน์ทราบ แต่ฝ่ายกัมพูชาได้มีการใช้อาวุธตอบโต้จึงเกิดการปะทะกัน”
แปลว่าฝ่ายทหารไทยยืนยันว่าเรื่องนี้เกิดในดินแดนไทย ไม่ใช่ใน “ดินแดนที่ไม่มีเจ้าของ” แต่อย่างใด
มองด้านการทูตและกฎหมายระหว่างประเทศ หากไทยยอมรับว่าพื้นที่นั้นเป็น No Man’s Land แต่ไม่มีการดำเนินการทางการทูตเพื่อรักษาสถานะนี้ (เช่น คัดค้านการตั้งฐานทหารกัมพูชา หรือยื่นเรื่องต่อศาลโลก/UN) ก็อาจเสียสิทธิโดยปริยาย
ฝ่ายกัมพูชาอาจตีความได้ว่าไทย “ยอมจำนนโดยพฤตินัย” (de facto acquiescence) ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อการชี้ขาดเขตแดนในอนาคต
ที่สำคัญคือต้องไม่ปล่อยให้การไม่ดำเนินการกลายเป็นการ “ยอมรับโดยนัย” (tacit recognition)
การเรียกพื้นที่นั้นว่า No Man’s Land จะไม่มีความหมาย หากในทางปฏิบัติ ฝ่ายตรงข้ามสามารถควบคุมพื้นที่
นักการทูตเตือนเสมอว่าบริเวณนั้นอาจเปลี่ยนจาก “พื้นที่พิพาท” ไปสู่ “พื้นที่ที่เสียไป” ได้ในอนาคต หากไม่มีมาตรการตอบสนองที่ชัดเจน
ดังนั้น ไม่ว่าจะมองจากแง่มุมใดจึงไม่มี ‘No Man’s Land’ ตรงนั้น
มีแต่ดินแดนไทยที่ยังไม่ปักปันเขตแดน
พอเกิดกรณีปะทะกันที่ ‘สมรภูมิช่องบก’ กัมพูชาก็ใช้ลูกไม้เก่าประกาศจะลากไทยไปศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือ ICJ อ้างว่า MOU 2543 นั้น “มีข้อจำกัดที่ทำให้ไม่สามารถแก้ปัญหาระหว่างกันได้”
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพื้นที่ช่องบก หรือ “สามเหลี่ยมมรกต” ซึ่งเป็นพื้นที่รอยต่อ 3 ประเทศระหว่างไทย-ลาว-กัมพูชา บริเวณ ต.โดมประดิษฐ์ อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี กับเมืองมุนละปาโมก แขวงจำปาสัก สปป.ลาว และ อ.จอมกระสาน จ.พระวิหาร กัมพูชา เนื้อที่ 12 ตารางกิโลเมตร
ไทยกับกัมพูชามีบันทึกข้อตกลง MOU 2543 เพื่อทำการปักปันเขตแดน
แต่ความขัดแย้งเกิดขึ้นเพราะทั้งสองฝ่ายยึดตามเส้นแบ่งเขตแผนที่ที่บางจุดต่างกัน
ไทยยึดตามแผนที่ 1:50,000 ที่ทำโดยกรมแผนที่ทหาร ในขณะที่กัมพูชายึดตามแผนที่ 1:200,000 ที่ทำมาตั้งแต่สมัยสนธิสัญญาฝรั่งเศส
มีการกำหนดจุดวางกำลังทหารโดยทหารกัมพูชา ตั้งฐานอยู่ห่างจากเส้นแบ่งเขตแดนที่ไทยยึดถือ ออกไป 1 กิโลเมตร
ฝ่ายไทยตั้งฐานห่างจากเส้นเขตแดนออกมา 1.5 กิโลเมตร
ศาลาตรีมุข ตั้งอยู่ห่างจากเส้นเขตแดนที่ไทยยึดถือไปในฝั่งกัมพูชา 500 เมตร
ทหารกัมพูชาเผาศาลาตรีมุข ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 สถานการณ์เริ่มตึงเครียด เพราะทหารกัมพูชาได้นำกำลังรุกล้ำเข้ามาในดินแดนของไทย บริเวณต้นพญาสัตบรรณ ซึ่งตั้งอยู่ห่างเส้นเขตแดนมาในฝั่งไทย 150 เมตร
ทหารกัมพูชาเริ่มขุดคูเลต เป็นแนวยาว 500-600 เมตร
ฝ่ายไทยประท้วงและเจรจาให้ทหารกัมพูชาได้นำกำลังถอยกลับไปยังที่ตั้งที่ได้ตกลงกันและยึดถือมาตั้งแต่ปี 2567
ทหารกัมพูชาไม่ยอมถอย
เกิดการปะทะกันวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 นาย
จนนำไปสู่มาตรการเข้มข้นของฝั่งไทยหลังการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติเมื่อวันที่ 6 มิถุนายนที่ผ่านมา
คำว่า No Man’s Land ก็มีอันต้องถูกลบออกจากสารบบทางการไทยเสียที
แว่วๆ เสียงเพลง This Land in My Land ลอยมาเลย!