

เมนูข้อมูล | นายดาต้า
ร้อนฉ่า ‘สถานบันเทิงครบวงจร’
ความเปลี่ยนแปลงในรัฐบาลลุกลามไปใหญ่โต ถึงขั้น “พรรคภูมิใจไทย” ต้องเปลี่ยนสถานะเป็นฝ่ายค้าน
แม้ว่าเหตุผลที่ “พรรคภูมิใจไทย” ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการในทำนองรับไม่ได้ที่จะอยู่ร่วมงานกับนายกรัฐมนตรี-แพทองธาร ชินวัตร หลังได้รับทราบเนื้อหาในคลิปเสียงที่ถูกแอบอัดการคุยทางโทรศัพท์กับ “ฮุน เซน” ผู้นำกัมพูชา ด้วยท่าทีของลุง-หลานในเรื่องปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่ชายแดน
แต่เป็นที่รับรู้กันนั่นเป็นเหตุผลที่ใช้เป็นข้ออ้างภายหลังพรรคภูมิใจไทยขัดแย้งกับพรรคเพื่อไทยเรื่องที่ “ทักษิณ ชินวัตร” ต้องการเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยที่ “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยนั่งอยู่มาให้คนจากพรรคเพื่อไทยไปนั่งแทน แต่ “พรรคภูมิใจไทย” ไม่ยอม ถึงขั้นประกาศพร้อมเป็น “ฝ่ายค้าน” หากถูกยึดกระทรวงมหาดไทยคืนจริง
เมื่อ “นายกฯ แพทองธาร” ยืนกรานตามความต้องการของพ่อ และพรรคภูมิใจไทยไม่เปลี่ยนใจ การแยกทางเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนนั้น ก่อนจะเกิดวิกฤตคลิปฮุน เซน แล้ว
อย่างไรก็ตาม เรื่องที่ผู้ติดตามการเมืองยังหาคำตอบชัดเจนไม่ได้คือ “เหตุผลที่ทักษิณต้องเอากระทรวงมหาดไทยมาบริหารเองคืออะไร”
การใช้กลไกข้าราชการเพื่อเตรียมเลือกตั้งที่หยิบยกขึ้นมาอธิบายกันนั้น ใช่จริงหรือ เพราะที่ผ่านมาพรรคที่ชนะเลือกตั้งไม่จำเป็นต้องเป็นพรรคที่คุมกระทรวงมหาดไทย พรรคที่มีรัฐมนตรีคุมกระทรวงนี้เสียอีกที่แพ้ซ้ำซากมาทุกยุคทุกสมัย
จึงมีความคิดว่าเป็นไปได้หรือไม่ว่าแรงผลักดันหลักที่ทำให้ “ทักษิณ” ต้องคอนโทรลมหาดไทยคือ “เอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์” ที่มี “กาสิโน” อยู่ในนั้น
การที่ “พรรคภูมิใจไทย” ทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องคุยยาก แถมมีท่าทีแปลกๆ คล้ายจะต่อต้านโดยอาศัยอำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หากเคลียร์กันไม่ลงตัว จึงถูกหยิบขึ้นมาเป็นข้อสังเกตว่าอาจจะเป็นเหตุที่แท้จริงที่ทำให้ “ทักษิณ” ต้องยึดกระทรวงมหาดไทยมาบริหารเอง
เพียงแต่ว่าแม้จะไม่มี “พรรคภูมิใจไทย” เป็นตัวขวาง ชั่วโมงนี้กระแสต้านโครงการนี้ก่อรูปจนน่าจะหักฝ่าได้ไม่ง่ายนักแล้ว
จากผลสำรวจของ “นิด้าโพล” ล่าสุดถึงโครงการนี้ ร้อยละ 56.72 ไม่เห็นด้วยทั้งสถานบันเทิงครบวงจรและกาสิโน
แม้แต่เมื่อให้ข้อมูลว่า ไม่ใช้งบประมาณของรัฐ และคาดว่าจะสร้างรายได้ให้ประเทศ 12,000-39,000 ล้านบาทต่อปี ยังมีผู้ไม่เห็นด้วยทั้งโครงการถึงร้อยละ 84.5
เช่นเดียวกับเมื่อชี้แจงว่ารัฐบาลมีมาตรการป้องกันการฟอกเงิน และควบคุมผู้เข้าใจบริการ ผู้ไม่เห็นด้วยยังมากถึงร้อยละ 81.47
แม้จะอ้างถึงการระบุไว้ พ.ร.บ.จัดตั้งชัดเจนว่าต้องนำรายได้ไปใช้เพื่อสนับสนุนการศึกษา ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง ผู้ไม่เห็นด้วยก็ยังมากถึงร้อยละ 78.21
เมื่อถามถึงความเชื่อในผลการพิจารณาของสภาในต้นเดือนกรกฎาคมนี้ ร้อยละ 37.10 เชื่อว่าไม่ผ่าน, ร้อยละ 27.48 เห็นว่าจะเลื่อนการพิจารณาออกไป, ร้อยละ 19.85 คิดว่าจะผ่านวาระแรก, ร้อยละ 8.17 ไม่ตอบ, ขณะร้อยละ 7.40 คิดว่าจะมีการยุบสภาก่อนการพิจารณา
นั่นหมายความว่าในมุมความคิดเห็นของประชาชน ถูกชักนำให้ไม่เอาด้วยกับโครงการนี้อย่างชัดเจน
หากเอาผลโพลนี้มากำหนดวิธีการจัดการ มีหนทางเดียวเท่านั้นคือ ร้อยละ 61.60 เห็นด้วยกับการทำประชามติ
แต่นั่นย่อมเป็นเรื่องท้าทายอย่างยิ่ง เพราะหาก “ทักษิณ” เห็นว่าประเทศจำเป็นต้องทำให้โครงการนี้เดินหน้าต่อให้ได้ถึงขนาดยอมเสี่ยงที่จะลดเสียง ส.ส.ที่จะสนับสนุนรัฐบาล ซึ่งกระทบต่อเสถียรภาพแน่นอน
ระหว่างการทำประชามติซึ่งยากจะควบคุมผล กับการยืนกรานแบบ “หักดิบ” กันไปเลย
เป็นเรื่องน่าติดตามอย่างชวนระทึกยิ่งว่า “ทักษิณ” จะเลือกทางไหน
ท่ามกลางข่าวลือมากมาย ถึงเบื้องหน้าเบื้องหลังของโครงการนี้
เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต

