เมื่อเวลา 13.00น. วันที่ 3 กรกฎาคม ที่กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ปปป.) เครือข่ายทนายปกป้องพระพุทธศาสนา นายจรูญ วรรณกสิณานนท์ น.อ.(พิเศษ) วินัย เสวกวิ ทนายวรกร พงศ์ธนากุล นำหลักฐาน เดินทางมายื่นหนังสือ พล.ต.ต.กมล เหรียญราชา ผบก.ปปป. เพื่อตรวจสอบคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) อ้างมติคณะรัฐมนตรีโดยมิชอบ โดยมีพนักงานสอบสวนบก.ปปป. เป็นตัวแทนรับเรื่อง
สืบเนื่องจากกรณีที่คณะกรรมการกฤษฎีกา ได้อ้างมติคณะรัฐมนตรีโดยมิชอบ เพื่อจัดทำร่าง พ.ร.บ.สงฆ์ใหม่ตามที่คณะกรรมการกฤษฎีกา(คณะพิเศษ) ได้เปิดรับฟังความเห็นของพระภิกษุและประชาชนทั่วไปเพื่อประกอบการจัดทําร่างพ.ร.บ. คณะสงฆ์ใหม่ โดยอ้างมติคณะรัฐมนตรีมีเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2561 และมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 4 เมษายน 2560 ให้มีการจัดทําร่างกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 โดยร่างพ.ร.บ.คณะสงฆ์ใหม่ได้มีการรับฟังความคิดเห็น มีการเปิดให้ประชาชนรับฟังความคิดเห็น เพื่อประกอบการจัดทําร่างพ.ร.บ. ดังกล่าว แต่ไม่มีการเชิญกลุ่มคณะสงฆ์ที่ได้รับผลกระทบเข้ามารับฟังความคิดเห็น อีกทั้งการเปิดรับฟังความคิดเห็นใช้เวลาแค่ 7 วันเท่านั้น
นายจรูญกล่าวว่า การทำร่างพ.ร.บ.คณะสงฆ์ใหม่ ทางคณะกรรมกฤษฎีกาได้ให้เหตุผล 3 ข้อ คือ 1.มหาเถรสมาคมบางรูปแก่ชราภาพไม่อาจปฏิบัติงานได้ต่อเนื่อง 2.พระบางรูปต้องคดีไม่ตั้งอยู่ในที่ศรัทธาเลื่อมใสของพุทธศาสนิกชน แต่เมื่อตรวจสอบพบว่าไม่มีมติร่างพ.ร.บ. ดังกล่าว ตนเห็นว่าเป็นการกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมายเพราะคณะสงฆ์เป็นผู้ที่ได้รับความเสียหาย ซึ่งที่ผ่านมามหาเถรสมาคมได้ปกครองตามแบบแผนคณะสงฆ์ แต่เมื่อมีการแก้ไข อาจเปิดช่องทางให้นักการเมืองเลือกพระสงฆ์ที่ตัวเองควบคุมได้ ซึ่งศาสนาอาจจะได้รับผลกระทบ
น.อ.(พิเศษ) วินัย กล่าวว่า เรื่องศาสนาควรแยกขาดจากการเมือง เพราะนักการเมืองมีหลายศาสนา ถ้าเอาการเมืองแทรกแซงศาสนา นักการเมืองอาจจะมีการสอดไส้เกิดผลเสียทางศาสนา ส่วนการเปิดรับฟังความเห็นประกอบการจัดทำร่างกฎหมายดังกล่าวก่อนสรุปส่งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพียง 7 วัน ตนรู้สึกว่าเร่งรัดเกินไป รวมถึง หากไม่มีพระสงฆ์หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องไม่ได้ร่วมร่างกฎหมาย สุดท้ายแล้วจะออกมาเป็นเช่นไร
โดยหลังจากนี้จะเดินทางไปที่ผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อร้องกรณีดังกล่าว อีกทั้งเตรียมที่จะเดินทางไปที่สนช.เพื่อยื่นคัดค้านร่างกฎหมายดังกล่าว
เบื้องต้น พนักงานสอบสวน บก.ปปป. รับเรื่องดังกล่าวไว้ตรวจสอบ ก่อนเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป
